เปิดตัวช่วยคนอยากลาออกแต่ไม่กล้าบอกหัวหน้า ด้วย “บริการรับจ้างลาออก” เซอร์วิสแนวใหม่ช่วยปลดล็อกจากงานร้าย ๆ
เช้าวันหนึ่งที่ฤกษ์ดีที่สุดของเดือน ใครบางคนก้าวเท้าออกจากบ้านด้วยความมาดมั่น สมองทบทวนคำพูดที่กระชับ ชัดเจนแต่ก็ถนอมน้ำใจ เพื่อไปปลดแอกตัวเองจากพันธนาการที่พรากความสุขเรามาเป็นเวลานาน แต่แล้ว… ผลลัพธ์สุดท้ายกลับเป็นการกลืนก้อนความแน่วแน่ไปพร้อมกับคำพูดที่เตรียมมาอย่างดี และค่อย ๆ ทรุดตัวอยู่หน้าคอม อดทนเร่งมือสะสางงานที่เรารัก (?) ต่อไป
“การลาออก” ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ยิ่งในสังคมที่ตีตราการกระทำนี้เป็นเรื่องของความล้มเหลวก็ยิ่งแล้วใหญ่ หลายคนใช้ความกล้าอย่างมากเพื่อที่จะหลุดพ้นจากวังวนความท็อกซิกในที่ทำงาน ในขณะที่อีกหลายคนก็อาจจะต้องติดกับเดิม ๆ อยู่อีกหลายปี ด้วยใจที่ไร้สุขเข้าไปทุกวัน เมื่อการลาออกบางครั้งยากยิ่งกว่าการบอกเลิกแฟน คนที่มองเห็นโอกาสเลยเริ่มผุดไอเดียงานบริการ ที่จะทำให้การลาออกเสร็จสิ้นอย่างง่ายดายและรวดเร็วขึ้นเป็นกอง
Bingnan Li / Unsplash
จะออกจากงานร้าย ๆ ทำไมไม่ง่ายอย่างที่คิด
หลายครั้งที่เจองานที่บั่นทอนจนใจตะโกนออกมาว่า “ไม่อยู่แล้ว!” แต่ทำไมมันถึงยากเหลือเกินที่จะพาตัวเองออกมาจากงานนั้นได้ มีเหตุผลหลายประการที่ตอบคำถามนี้ อย่างแรกคือเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่แน่นอนว่าทุกคนจะต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจว่าตนเองพร้อมจะเดินออกจากงานรึยัง ซึ่งหากเรายังไม่มีแผนสำหรับงานใหม่ รวมถึงไม่เห็นทิศทางตัวเองในอนาคต (ก่อนที่เงินเก็บจะหมด) ก็คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงไปตายเอาดาบหน้า นอกจากว่ามันสุดจะทนจริง ๆ
ขณะที่ความผูกพันที่มีต่อองค์กรหรือเพื่อนพี่น้องในองค์กรก็มีส่วนสำคัญ การทำงานในบริษัทใด ๆ เป็นเวลานานย่อมสร้างความรู้สึกภักดีต่อองค์กรขึ้นมา ไหนจะความสนิทสนมจากคนทำงานรอบข้าง ผู้ที่ร่วมเฉลิมฉลองในทุกเทศกาล ทุกความสำเร็จ และบางเสียงสะท้อนก็เล่าถึงขนาดว่ามีเพื่อนร่วมงานที่เป็นพ่อแม่ทูนหัวให้กับลูก ๆ ของเธอเลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกดังกล่าวยังก่อให้เกิดความเกรงใจ พร้อมกับความรู้สึก เช่น “ถึงสภาพมันจะแย่ แต่หัวหน้าเราก็ดีกับเรามาก” หรือ “ถ้าไม่มีบริษัทนี้ที่มองเห็นและให้โอกาส เราคงมาไม่ถึงจุดนี้” ซึ่งทำให้เรารู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ที่จะลาออก
นอกจากนี้ บริษัทแต่ละบริษัทย่อมมีเป้าหมายใหญ่ที่ตั้งใจจะไปให้ถึง ในบางครั้งการลาออกจึงทำให้รู้สึกราวกับว่าเรากำลัง “ยอมแพ้” และ “ทอดทิ้ง” ทีมที่กำลังทำภารกิจ จนถึงขั้นที่เรามองตัวเองว่าเป็นคน “เห็นแก่ตัว” อย่างไรก็ตามหากคิดในแง่ที่ว่าบริษัทรับเราเข้าทำงานเพราะเรามีทักษะบางอย่างที่ตอบโจทย์ เมื่อมองกลับกันเราเองก็ต้องการบริษัทที่เติมเต็ม มองเห็นคุณค่าของเราและเคารพเราเช่นกัน ดังนั้นเมื่อไรที่ต่างฝ่ายรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่สามารถเติมเต็มความต้องการของกันได้แล้ว ก็มีสิทธิ์จะแยกย้ายกันไป โดยไม่ต้องรู้สึกผิด
หรือบางทีความหวังและการคิดถึงวันวานอันรุ่งโรจน์ก็มีส่วนที่ดึงรั้งเราไว้เช่นกัน บริษัทที่เราอยู่มาหลายปีอาจจะให้ประสบการณ์ดี ๆ กับเรามากมาย จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นทีมบริหารใหม่ โครงสร้างใหม่ หรือแนวทางกลยุทธ์ใหม่ที่พลิกโฉมการทำงานไปจนตั้งตัวไม่ทัน และหลายครั้งเราก็อาจติดกับความหวังที่ว่าในอนาคตรูปแบบของบริษัทจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม การตั้งสติยอมรับกับการเปลี่ยนแปลง และประเมินสถานการณ์ปัจจุบันว่าเส้นทางดังกล่าวยังตอบโจทย์ค่านิยมและเป้าหมายอาชีพของเราอยู่หรือไม่ จึงเป็นหนึ่งในทางออกที่ช่วยให้เราหลุดพ้นพันธนาการนั้นได้
หากแต่หนึ่งในปัจจัยที่มีผลกับใครหลายคนมากที่สุดก็คงไม่พ้นความกลัว ทั้งในมิติของการเงินที่กล่าวไปข้างต้น ความกลัวที่จะต้องเดินออกมาจากพื้นที่ปลอดภัย ความกลัวที่เกิดจากความคิดว่าเราไม่เก่งพอที่จะไปสู้หางานใหม่ได้อีก รวมไปถึงความกลัวการตัดสินจากคนรอบข้าง (และตัวเราเอง) ในสังคมที่ผูกติดคำว่าลาออกไว้กับความหมายเชิงลบ เช่น การยอมแพ้ และน่าละอาย จนสร้างความรู้สึกกดดันให้กับตัวเองขึ้นไปอีก
Ryoji Iwata / Unsplash
ยุ่งยาก ลำบากใจ ส่งไม้ต่อให้ “ตัวแทน”
เรื่องราวหนาหูเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นว่าด้วยเรื่องรูปแบบการทำงานที่ทุ่มเทสุดขีด การให้ความสำคัญกับความภักดีต่อองค์กร ทั้งยังมีรูปแบบการจ้างงานที่ฝังรากลึกในหลาย ๆ บริษัท คือ “การจ้างงานตลอดชีพ1” (Lifetime Employment) คงทำให้หลายคนนึกภาพออกว่าการจะลาออกในสังคมนี้มันจะยากเย็นและกดดันขนาดไหน และถึงแม้จะมีความกล้าเข้าไปยื่นใบลาออก หลายครั้งก็มักจะไม่ประสบผลสำเร็จด้วยกลเม็ดหลาย ๆ รูปแบบจากหัวหน้าทั้งการพูดคุยเพื่อโน้มน้าว การบอกปัดไปอย่างดื้อ ๆ หรือไม่ก็แสดงอาการหัวเสียจนไม่มีใครกล้าต่อรอง
เพื่อป้องกันสถานการณ์ใด ๆ ที่จะขัดขวางไม่ให้การลาออกสำเร็จ “บริการรับจ้างลาออก” (taishoku daiko) จึงเกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีบริษัท “Exit” ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 เป็นบริษัทแรกที่จุดกระแสงานบริการนี้ จนปัจจุบันมีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในทำนองเดียวกันมากกว่า 20 แห่ง “เมื่อคุณพยายามที่จะลาออก พวกเขาจะทำให้คุณรู้สึกผิด” โทชิยูกิ นิอิโนะ ผู้ก่อตั้ง Exit ที่เคยเผชิญกับสถานการณ์นี้มาก่อนให้สัมภาษณ์กับ Al Jazeera ซึ่งประสบการณ์ในอดีตดังกล่าวนี้เองที่ทำให้เขาและเพื่อนสมัยเด็กอย่าง ยูอิจิโระ โอคาซากิ ปิ๊งแนวคิดเกี่ยวกับการให้คนอื่นมาลาออกแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจอกับอุปสรรคต่าง ๆ ในกระบวนการลาออก
ด้วยค่าธรรมเนียม 20,000 เยน (ประมาณ 4,700 บาท) บริษัทจะดำเนินการติดต่อกับหัวหน้างานเพื่อแจ้งความประสงค์ขอลาออก พร้อมทั้งยื่นใบลาออกในนามของลูกค้า รวมถึงเจรจาให้ลูกค้าสามารถลาออกจากงานได้ทันที แบบที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องมาพัวพันกับการเผชิญหน้าที่น่าอึดอัด และไม่ต้องกลับไปเหยียบที่ทำงานอีกเลย ซึ่งในปัจจุบันที่นายจ้างเริ่มคุ้นเคยกับบริการประเภทนี้แล้ว กระบวนการทั้งหมดก็อาจเสร็จสิ้นได้ในระยะเวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น
นิอิโนะเผยว่า ลูกค้าของเขา (ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายที่อยู่ในช่วงวัย 20 ปี) เข้ามาใช้บริการด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ ได้แก่ ความกลัวเกรงเจ้านายจนทำให้พูดคำว่าลาออกไม่ได้ และความรู้สึกผิดที่คิดอยากจะลาออก “ดูเหมือนว่าถ้าคุณลาออก มันจะเป็นบาป ราวกับว่าคุณทำอะไรที่ผิดพลาดร้ายแรง” เขากล่าว พร้อมมองว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่าด้วยความมุ่งมั่นระยะยาวคือองค์ประกอบที่จำเป็นต่อความสำเร็จ ร่วมกับระบบการศึกษาของญี่ปุ่นที่สร้างคนทำงานที่อยู่ในโอวาทจนไม่สามารถแสดงออกซึ่งความรู้สึกหรือความต้องการของตนได้ คือเหตุที่ทำให้ธุรกิจแนวนี้ได้รับความนิยมในสังคม ถึงขั้นที่แต่ละปีจะมีผู้แวะเวียนเข้ามาสอบถามถึงบริการดังกล่าวกับ Exit บริษัทเดียวก็ราวหนึ่งหมื่นรายเข้าไปแล้ว
Scott Graham / Unsplash
ในขณะที่บริษัทตัวแทนอีกแห่งที่ชื่อ “Guardian” สะท้อนว่ากลุ่มผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ของตนอยู่ในช่วงวัย 20-30 ปี และเกือบครึ่งเป็นผู้หญิง พวกเธอหลายคนต้องการลาออกหลังจากทำงานไปไม่กี่วัน เพราะว่าค่าจ้างและชั่วโมงการทำงานไม่เหมือนกับที่ตกลงกันไว้ ทั้งยังมีอีกหลายกรณีที่ลาออกไม่สำเร็จเสียทีเพราะเจ้านายพยายามจะยื้อตัวเอาไว้ เนื่องจากรับไม่ได้ที่คนที่ปลุกปั้นมากำลังจะลาออก หรือไม่ก็เพราะบริษัทกำลังประสบปัญหาการขาดแคลนพนักงานที่เรื้อรังมานาน แต่ด้วยการจัดการของตัวแทนรับจ้างลาออกมืออาชีพ ก็ทำให้กระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในเวลาราว 45 นาที
ความง่ายดายและเด็ดขาดที่ธุรกิจนี้มอบให้ลูกค้า ทำให้ผลตอบรับเต็มไปด้วยคำขอบคุณและชื่นชม เสียงสะท้อนจากลูกค้าบางคนของ Exit กล่าวว่า พวกเขาเคยมีความคิดเกี่ยวกับการจะฆ่าตัวตาย เนื่องด้วยระบบการทำงาน แต่เพราะมีบริการนี้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ พวกเขาจึงสามารถหยุดคิดเรื่องนี้ไปได้ ขณะที่ผู้ใช้บริการรับจ้างลาออกอีกหลายคนก็กล่าวว่าสิ่งนี้ช่วยให้เขานอนหลับลงหลังจากนอนไม่ได้มาหลายคืน ทั้งบางคนก็ถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ
นอกเหนือจากคำขอบคุณของผู้ว่าจ้างแล้ว ตัวบริษัทที่ทีมเข้าไปแจ้งลาออกให้หลายที่ ก็แสดงความขอบคุณเช่นกัน เนื่องจากโดยปกติแล้วคนที่เข้าไปลาออกเอง มักไม่ค่อยกล้าพูดเหตุผลที่แท้จริง เช่น แทนที่จะบอกว่าลาออกเพราะเจ้านาย ก็กลับบอกว่าลาออกเพื่อไปดูแลครอบครัว แต่การมีบริษัทเป็นสื่อกลางก็ทำให้ลูกจ้างพูดเหตุผลอย่างจริงใจ และสารนั้นก็ส่งถึงบริษัทอย่างตรงไปตรงมาผ่านตัวแทนที่เข้ามาดำเนินการ กลายเป็นสิ่งที่บริษัทขอบคุณเพราะพวกเขาจะได้เห็นปัญหาที่แท้จริงและแก้ไขมันได้อย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าทุกคนจะประทับใจกับบริการประเภทนี้เสียทีเดียว โคจิ ทากาฮาชิ ผู้จัดการจากบริษัทวิศวกรรมแห่งหนึ่งในโตเกียว ถึงกับผงะไปหลังจากได้รับแจ้งจากเอเจนซี่ตัวแทนว่าพนักงานรุ่นน้องประสงค์จะลาออกหลังจากทำงานได้ไม่กี่วัน จนถึงขั้นที่ตัวเขาเองเดินทางไปที่บ้านของพ่อแม่พนักงานเพื่อยืนยันสิ่งที่ได้ยิน “ผมบอกพวกเขาว่าผมจะยอมรับคำขอลาออกของเขา ตามที่เขาต้องการ แต่ก็อยากให้เขามาบอกผมก่อนเพื่อยืนยันความปลอดภัยของเขาเอง” ทากาฮาชิ กล่าว ทั้งยังเสริมว่าการลาออกผ่านตัวแทนมีผลกระทบเชิงลบต่อความประทับใจที่เขามีให้ผู้ใช้บริการนั้น
Fikri Rasyid / Unsplash
แม้ผลสำรวจจาก Japan Management Association จะชี้ให้เห็นว่าสังคมกำลังมีคนที่ปรารถนาจะเปลี่ยนงานหรือทำงานอิสระมากขึ้น ร่วมกับตัวเลขของผู้ใช้บริการรับจ้างลาออกที่มีไม่น้อย สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของคนญี่ปุ่นเกี่ยวกับการทำงานที่เปลี่ยนไป หากแต่การเปลี่ยนแปลงก็อาจจะยังคงต้องใช้เวลาอยู่ดี “โลกของเรามันไม่ได้แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงง่ายขนาดนั้น” นิอิโนะ ว่า “เราทำบริษัทนี้มา 6 ปีแล้วและจำนวนลูกค้าก็เพิ่มขึ้นเอาเพิ่มขึ้นเอา เพราะงั้นผมเลยเดาว่าคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แล้วผมก็ไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนไปในอีก 100 ปีข้างหน้านี้ด้วย”
กระนั้นในมุมของความหวังเล็ก ๆ ก็เชื่อว่าสักวัน ผู้คนในสังคมจะมีความกล้ามากขึ้นและมากพอที่จะยืดหยัดเพื่อความต้องการของตัวเอง เหมือนกับที่วันนี้หลายคนก็มีความกล้ามากพอที่จะไม่ยอมทนอยู่ในระบบที่ท็อกซิกและมองหาตัวช่วยในการพาตัวเองออกจากวังวนที่ไม่ต้องการอยู่ และในวันหนึ่งเราจะกล้ามากพอที่จะเดินออกมาจากงานที่ไม่อยากทำได้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน!
แต่ถ้าวันนี้ยังไม่พร้อม… ก็ลองมาใช้บริการรับจ้างลาออกกันดูสิ ☺
ที่มา : บทวิจัย “การบริหารจัดการตามแนวทฤษฎี J มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานองค์การญี่ปุ่นขนาดเล็กในตึก Empire Tower สาทร” โดย ชุติมณฑน์ กิจสกุล
บทความ “Why Is It So Hard to Leave a Bad Job?” โดย Marlo Lyons
บทความ “ทำไม “การลาออก” จึงเป็นเรื่องยากน่าลำบากใจสำหรับใครหลายคน” จาก sanook.com
บทความ “One in Three Japanese No Longer Seeking Lifetime Employment” จาก nippon.com
บทความ “In workaholic Japan, ‘job leaving agents’ help people escape awkwardness of quitting: ‘Some cry tears of joy’” โดย YURI KAGEYAMA
บทความ “In Japan, embarrassed employees pay agencies to quit for them” โดย Shiori Suzuki
บทความ “In Japan, you can pay a startup $144 to quit your job on your behalf” โดย Nidhi Pandurangi
เรื่อง : บุษกร บุษปธำรง