เปิดตำนานแฟชั่นหลุดโลกที่ “ฮาราจูกุ” กับแรงกระเพื่อมทางวัฒนธรรมสุดป็อป
ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งแฟชั่นอันน่าหลงใหลในย่าน “ฮาราจูกุ” ย่านที่ทำให้แฟชั่นกลายมาเป็นรูปแบบหนึ่งในการแสดงออกถึงความเป็นตัวตนที่แตกต่างและไม่เหมือนใคร ดินแดนที่คำว่า “หลุดโลก” คือตัวแทนของความอิสระและความกล้าที่จะเป็นตัวเองอย่างมั่นใจเพื่อก้าวออกจากบรรทัดฐานของสังคม
“ฮาราจูกุ” ในวันนี้เป็นอย่างไร
… “คิด” จะพาไปสำรวจกันตั้งแต่จุดกำเนิดย่านแฟชั่นไอคอนชื่อดังในโตเกียวแห่งนี้ทั้งช่วงขณะที่กราฟพุ่งสูงถึงขีดสุด จนถึงวันที่กาลเวลาเปลี่ยนผ่าน และพัฒนาการสู่การเป็นศูนย์กลางแห่งความคิดสร้างสรรค์ วัฒนธรรมป็อป และความเป็นแฟชั่นไอคอนของญี่ปุ่นมาจนถึงทุกวันนี้
(Elton Sa / Unsplash)
กำเนิดย่านแฟชั่นสุดล้ำ “ฮาราจูกุ”
วัฒนธรรมและแฟชั่นฮาราจูกุได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกในช่วงที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ายึดครองญี่ปุ่นหลังสงคราม ในช่วงที่กองกำลังพันธมิตรได้เข้ายึดครองญี่ปุ่นและมีทหารอเมริกันเข้ามาพำนักอยู่ในพื้นที่ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมโดยเฉพาะด้าน “แฟชั่น” สไตล์อเมริกันและตะวันตกได้หลั่งไหลเข้ามามีอิทธิพลต่อวัยรุ่นญี่ปุ่นจนเกิดเป็นกระแส “แฟชั่นฮาราจูกุ” ที่มีสีสันสดใสตัดกันเป็นเอกลักษณ์ บ่งบอกถึงความเป็นฮาราจูกุนับตั้งแต่นั้นมา
แฟชั่นสุดฮิตสไตล์ฮาราจูกุได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงปี 1980 จนถึงต้นทศวรรษ 2000 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่วัฒนธรรมย่อยอันหลากหลายได้ถือกำเนิดขึ้นและแฝงตัวอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ซึ่งสไตล์ต่าง ๆ เหล่านี้ได้ถูกเผยแพร่ลงในนิตยสาร FRUiTS นิตยสารที่นำเสนอสตรีทแฟชั่นสุดฮิตของญี่ปุ่นซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1997 ทำให้แฟชั่นฮาราจูกุกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นและมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นสมัยนั้น เช่นเดียวกับกระแสความนิยมของนิตยสารวัยรุ่นอย่าง Teen Vogue และ Seventeen ในสหรัฐอเมริกา โดย FRUiTS จะเน้นการถ่ายภาพผู้คนที่แต่งตัวในสไตล์ของตัวเองบริเวณรอบ ๆ ฮาราจูกุ รวมไปถึงพื้นที่อื่น ๆ ในโตเกียว มีคำอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับอายุ อาชีพ และแรงบันดาลใจในการแต่งตัวของแต่ละคน จนได้กลายเป็นแรงบันดาลใจในสไตล์การแต่งตัวของวัยรุ่นยุคนั้นทั้งในญี่ปุ่นเองและเผยแพร่ไปถึงโลกตะวันตกอย่างรวดเร็ว แม้แต่นักร้องชาวอเมริกันอย่าง เกว็น สเตฟานี (Gwen Stefani) ก็ยังกล่าวขวัญถึงชื่อของฮาราจูกุแห่งนี้ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากเพลง Harajuku Girls ในปี 2004 ในฐานะแคทวอล์กที่สร้างสีสันและแหล่งส่งออกสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ระดับโลก
(Gavin Anderson / Flickr)
ฮาราจูกุสไตล์
ฮาราจูกุสไตล์ที่กล่าวถึงนั้นไม่ได้มีระเบียบหรือข้อกำหนดว่าต้องเป็นแบบใดแบบหนึ่งตายตัว แต่หมายถึงการนำเอาแฟชั่นหลากสไตล์มารวมกันไว้ในที่เดียว และถึงแม้ว่าฮาราจูกุจะหมายถึงแฟชั่นหลากรูปแบบ แต่กลุ่มวัฒนธรรมย่อยของฮาราจูกุสไตล์นี้จะมุ่งเน้นไปที่คอมมูนิตีและเสรีภาพในการแสดงออกด้วยลุคต่าง ๆ ที่พร้อมเฉลิมฉลองให้กับการสำรวจตนเองและความเป็นอิสระ ที่นี่จึงนับเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เหล่าผู้คนที่มีแฟชั่นในหัวใจได้แสดงออกถึงความเป็นตัวเอง ได้ทดลองสไตล์การแต่งตัวแบบใหม่ ๆ ที่แปลกและแหวกแนวไปจากเดิม เพื่อปลดปล่อยตัวเองออกจากไม้บรรทัดของสังคม ทั้งยังเป็นแหล่งที่จะได้พบเจอกับผู้คนที่มีความชื่นชอบคล้าย ๆ กันอีกด้วย
แฟชั่นฮาราจูกุสไตล์ยังมีอิทธิพลไปยังประเทศมหาอำนาจในขณะนั้นอย่างสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่แจ็กเก็ตไปจนถึงกางเกงยีนส์ ด้วยความโดดเด่นของแฟชั่นฮาราจูกุที่แสดงออกถึงตัวตน พร้อมด้วยประกายแห่งความมั่นใจ เมื่อผสมผสานกับวัฒนธรรมย่อยต่าง ๆ ทั้งของญี่ปุ่นและตะวันตก บวกกับจินตนาการอันไร้ขีดจำกัด และการเป็นย่านแฟชั่นไอคอนที่เปิดรับทุกความมั่นใจมาจนถึงปัจจุบัน ฮาราจูกุจึงนับได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของอีกหลากหลายสไตล์แฟชั่นที่ทั่วโลกรู้จักกันดี อาทิ
- โลลิต้า (Lolita)
แฟชั่นสไตล์โลลิต้าเริ่มต้นขึ้นในปี 1970 โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากแฟชั่นหวาน ๆ แนวผู้หญิงแบบเกิร์ลลี่หรือที่เรียกว่า Otome-kei และแฟชั่นยุควิคตอเรีย โดยเป็นแฟชั่นที่เน้นความน่ารักสดใสราวกับตุ๊กตา และยังถูกแบ่งย่อยออกเป็น 3 สไตล์หลัก ทั้ง ‘โกธิก-โลลิต้า’ ซึ่งจะเน้นใช้โทนสีเข้มผสมกับสีแดงและสีม่วงเพื่อสร้างลุกและรูปลักษณ์ที่น่าขนลุก แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความน่ารักและความเป็นผู้หญิง ‘สวีท-โลลิต้า’ ซึ่งจะเน้นที่ความอ่อนหวาน เฉดการแต่งหน้าที่เบาลง และสีสันสดใสซึ่งเน้นไปที่ความขี้เล่นมากขึ้น และสุดท้ายคือ ‘คลาสสิก-โลลิต้า’ ที่มีความเป็นสไตล์วินเทจและยุโรป เน้นการใช้สีเอิร์ธโทน และมีความเรียบง่ายที่ดูสง่างามและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
- คาวาอี้ (Kawaii)
คาวาอี้ที่แปลว่าน่ารักในภาษาญี่ปุ่น คืออีกหนึ่งแฟชั่นสไตล์ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมความน่ารักของญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าแฟชั่นคาวาอี้จะได้รับความนิยมในกลุ่มผู้หญิงเป็นส่วนมาก แต่ก็เปิดโอกาสให้ผู้ชายสามารถทดลองแต่งตัวตามสไตล์นี้และใช้เครื่องประดับที่น่ารักสดใสในแบบของผู้ชายได้ด้วยเช่นกัน
- คอสเพลย์ (Cosplay)
อีกหนึ่งรูปแบบแฟชั่นการแต่งกายที่เลียนแบบมาจากการ์ตูน อนิเมะ ภาพยนตร์ หรือเกม โดยผู้สวมใส่มักแต่งกายด้วยเครื่องประดับและชุดที่ถูกสั่งตัดมาอย่างพิถีพิถัน เพราะเป็นแฟชั่นที่ต้องแต่งออกมาให้คล้ายคลึงกับต้นฉบับมากที่สุด
- กอธ (Goth)
สไตล์กอธนั้นแม้ว่าเป็นวัฒนธรรมย่อยที่แยกออกมาจากพังก์ซึ่งมีต้นกำเนิดในประเทศอังกฤษ แต่ในแบบของญี่ปุ่นนั้นมักจะถูกผสมผสานเข้ากับสไตล์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสตีมพังก์หรือโลลิต้า เพื่อเป็นการเพิ่มเสน่ห์และแรงดึงดูดให้กับสไตล์ที่ขมเข้มและมืดมนนี้กลายเป็นแฟชั่นที่เข้าถึงได้จากคนหลายกลุ่มมากขึ้น
(Eric Parker / Flickr)
ถนนทาเคชิตะ ใจกลางแห่งฮาราจูกุ
ถนนทาเคชิตะ (Takeshita) ความยาว 400 เมตร ถูกเรียกกันว่าเป็นสวรรค์ของนักช้อปและถือเป็นใจกลางย่านแฟชั่นแห่งฮาราจูกุและชิบูย่า ด้วยบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ที่จับหัวใจวัยรุ่นได้อยู่หมัด โดยหากย้อนไปในปี 1980 ถนนสายนี้เป็นตลาดซื้อขายสำหรับแบรนด์แฟชั่น และเป็นที่รู้จักกันในช่วงทศวรรษที่ 1990 ในนามของแหล่งค้าขายสินค้าแฟชั่นของอเมริกาและญี่ปุ่น จึงทำให้ถนนแห่งนี้มีชื่อเสียง ตามเทรนด์ และทันสมัยอยู่เสมอ
จนกระทั่งในปัจจุบัน ทาเคชิตะได้กลายเป็นถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงที่สุดในย่านฮาราจูกุ ทุก ๆ วันถนนแห่งนี้จะคราคร่ำไปด้วยผู้คนหลากหลายสัญชาติที่รักในแฟชั่น เข้ามาดื่มด่ำกับบรรยากาศและร้านค้าสุดแปลกที่จำหน่ายเสื้อผ้าตั้งแต่แบบดั้งเดิมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไปจนถึงเทรนด์การแต่งตัวสุดล้ำสมัย ผสมผสานสไตล์และวัฒนธรรมย่อยต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งยังมีคาเฟ่สุดคิวท์ที่ไม่เหมือนใคร พร้อมแผงขายอาหารริมทางเดินที่มีชีวิตชีวาไว้รอต้อนรับผู้มาเยือน
ในตรอกเล็ก ๆ ของถนนแห่งนี้ ยังได้รวบรวมร้านค้าชื่อดังสไตล์ฮาราจูกุสมัยใหม่ที่มีอิทธิพลต่อวัยรุ่นในโตเกียวเป็นอย่างมาก เช่น ร้าน ACDC RAG ร้านเสื้อผ้าสุดหรูหราที่ถูกประดับไปด้วยสีแดงทั่วทั้งร้านจนกลายเป็นเอกลักษณ์ จำหน่ายทั้งเสื้อผ้าแนวป็อปสุดแฟนตาซีและแนวโกธิกสุดเก๋ ตลอดจนสินค้าวัฒนธรรมป็อปเอาไว้อีกมากมาย เช่น มังงะ ตัวละครจากภาพยนตร์หรือวิดิโอเกมที่ได้รับความนิยม
ขณะที่ย่านบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างย่านชินจูกุ ก็มีห้างสรรพสินค้าใต้ดินยอดนิยมขนาดใหญ่อย่าง Shinjuku Subnade ที่เป็นแหล่งชอปปิ้งแฟชั่นสุดฮิตซึ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อย่างดี รวมไปถึงยังมีร้านค้าแฟชั่นและสินค้าเบ็ดเตล็ดอีกมากมายที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาในการเปิดร้านค้าใหม่ ๆ อยู่เสมอ ทำให้ครองใจผู้คนมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของที่ระลึกแห่งแรกในชินจูกุอย่าง Hokkaido Dosanko Plaza หรือร้านขายของเล่นแคปซูลที่ใหญ่ที่สุดในชินจูกุอย่าง Gachagacha no Mori นับได้ว่าย่านที่เต็มไปด้วยสีสันของชินจูกุนี้นี้เกิดขึ้นมาเพื่อเติมเต็มและตอกย้ำความเป็นแฟชั่นไอคอนให้กับประเทศญี่ปุ่นให้โดดเด่นยิ่งขึ้นกว่าเดิมอย่างแท้จริง
(Sineakee / Flickr)
การส่งออกวัฒนธรรมคาวาอี้
วัฒนธรรมคาวาอี้ที่กลายเป็นวัฒนธรรมย่อยและมีฮาราจูกุเป็นหนึ่งในนั้น ได้กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สามารถสร้างธุรกิจได้อย่างมากมาย ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มที่มาพร้อมกับความหลากหลายจนกลายป็นเสน่ห์อันน่าดึงดูด
นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 วัฒนธรรมคาวาอี้ถูกนับเป็นวัฒนธรรมของชาติ ซึ่งในช่วงนั้นญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่แตก เป็นเหตุให้ความมั่งคั่งของญี่ปุ่นนั้นหายไป รัฐบาลจึงหันมาสนใจการส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรม พร้อมกับมีนโยบายในการเผยแพร่วัฒนธรรมป็อปด้วยการร่างยุทธศาสตร์ “Cool Japan” ในการส่งออกสินค้าซอฟต์พาวเวอร์ ทั้ง แฟชั่น การ์ตูน และคาแรกเตอร์ต่าง ๆ ไปจำหน่ายที่ต่างประเทศ รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศยังได้แต่งตั้งทูตวัฒนธรรมคาวาอี้หรือทูตแห่งความน่ารักขึ้นเป็นตัวแทนในการเผยแพร่วัฒนธรรม
โดยเฉพาะในด้านของแฟชั่นที่ได้แฝงศิลปะและวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของญี่ปุ่นเข้าไป เพื่อกระตุ้นกระแสความนิยมของวัฒนธรรมป็อปญี่ปุ่นให้แพร่หลายไปจนถึงวัยรุ่นในปัจจุบันมากขึ้น ผ่านการจัดงานแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในต่างประเทศ จนทำให้มองเห็นอีกด้านหนึ่งของวัฒนธรรมคาวาอี้ ที่นอกจากจะเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของชาติแล้ว ยังเป็นการสร้างบทบาทให้กลายเป็นสินค้าทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศอีกด้วย
ที่มา : บทความ “A Brief History of harajuku Culture” โดย AK Anderson
บทความ “What Is Harajuku Style?” จาก thejapaneseshop.co.uk
บทความ “Harajuku Guide - Tokyo's Core of Youth Culture and Fashion” โดย Gill Princen
บทความ “Harajuku Chronicles: Diving into Tokyo's Epicenter of Fashion and Subculture” โดย Nana Young
บทความ “Harajuku: The Vibrant History of Japan’s Iconic Fashion District” จาก joyboxglobal.com
บทความ “Exploring the heart of Harajuku: a trip down Takeshita Street” โดย Aspen Plummer
บทความ “Shinjuku’s Largest Underground Shopping and Dining Area ‘Shinjuku Subnade’” จาก yokoso-shinjuku.com
บทความ “มาสัมผัสวัฒนรรม “คาวาอี้” ที่ฮาราจูกุ ดินแดนแห่งแฟชั่นกันเถอะ” จาก gotokyo.org
บทความ “Takeshita Street ถนนสายแฟชั่นและย่านช้อปปิ้งที่มีความยาว 400 เมตรในโตเกียว” โดย Chill Chill Japan
บทวิจัย “อุตสาหกรรมวัฒนธรรมกับความหลากหลายของวัฒนธรรมคาวาอี้ : คาแรกเตอร์เฮลโลคิตตี้ คุมะมง” โดย ศิรินภาเพ็ญ ปวนเพิ่ม
เรื่อง : ณัฐนิธิ ประเสริฐแท่น