ISP วิเคราะห์กัมพูชาในจุดเปลี่ยน สิ้นสุดยุคเงินฟรี สู่การเป็นรัฐลูกหนี้เต็มตัว
วันนี้ (26 ธ.ค.2568) เอกสารวิชาการฉบับพิเศษ "กัมพูชา: การแปลงโฉมจากผู้รับเงินช่วยเหลือ สู่การเป็นรัฐลูกหนี้" จากสถาบันนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ (ISP) ประจำเดือน ธ.ค.2568 วิเคราะห์การเปลี่ยนผ่านทางการเงินของกัมพูชา
ในปี 2558 ธนาคารโลกได้ยกระดับสถานะทางเศรษฐกิจของกัมพูชาจากประเทศ "รายได้ต่ำ" สู่เศรษฐกิจ "รายได้ปานกลางระดับล่าง" อย่างเป็นทางการ การจัดระดับใหม่นี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของประเทศ แต่ ในขณะเดียวกันก็ส่งผลให้ประเทศผู้บริจาค ต่างปรับลดเงินช่วยเหลือ (Grants) ที่ให้แก่กัมพูชา
การลดลงดังกล่าว บีบบังคับให้กัมพูชาต้องเปลี่ยนทิศทางไปสู่การกู้ยืมเงิน แบบเงื่อนไขผ่อนปรน (ดอกเบี้ยต่ำ) จากประเทศต่าง ๆ และ องค์การระหว่างประเทศ ที่พร้อมที่จะให้เงื่อนไขดังกล่าวแก่กัมพูชา
ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลกัมพูชา ก็เริ่มแสวงหา "แหล่งรายได้ใหม่" เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่กว้างขึ้นในงบประมาณแผ่นดิน โดยในปี 2554 รัฐบาลได้สถาปนา "ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการหนี้" ขึ้นอย่างเป็นทางการ ยุทธศาสตร์ดังกล่าวนับว่าประสบความสำร็จอย่างน่าพึงพอใจ โดยในปี 2562 หนี้สาธารณะต่างประเทศของกัมพูชาอยู่ในระดับต่ำเพียง 20.8% ของ GDP
อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 การแพร่ระบาดของโควิด-19 กลายเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ "การกู้ยืมเพื่ออุดหนุนงบประมาณ" กลายเป็นความจำเป็นพื้นฐาน และเป็น ช่วงเวลาที่รัฐบาลกัมพูชาดูจะมีความมุ่งมั่นต่อการจัดสร้าง "แหล่งรายได้ใหม่" ต่าง ๆ
รายงานของ Global Initiative Against Transnational Organized Crime หรือ GI-TOC ระบุว่า พ.ศ.2560 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อการเปิดเขตพื้นที่ลงทุนขนาดใหญ่ ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) ของเมืองสีหนุวิลล์ รวมถึงในจังหวัด ที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย ได้กลายเป็น "เกราะกำบัง" ที่เอื้ออำนวยให้ขบวนการลักลอบเปิดบ่อนพนัน ออนไลน์แก๊งคอลเซนเตอร์และธุรกิจผิดกฎหมายต่าง ๆ สามารถเข้ามาปักรากฐานในกัมพูชาได้อย่างมั่นคง
เมื่อถึงสิ้นปี 2563 หนี้ต่างประเทศได้พุ่งสูงขึ้นเป็น 25.2% ของ GDP หรือคิดเป็นมูลค่า 8,810 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประมาณ 70% เป็นหนี้ทวิภาคี และอีก 30% มาจากสถาบันระหว่างประเทศ
การบริหารจัดการการคลังในปัจจุบัน
ในปี 2568–2569 สถานภาพทางการเงินของกัมพูชา แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาการกู้ยืมจากภายนอกอย่างหนัก เพื่อประคับประคองงบประมาณแผ่นดิน เมื่อความช่วยเหลือในรูปแบบ "เงินให้เปล่า" จากประเทศตะวันตกลดลงอย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญ
ทำให้กัมพูชามีความจำเป็นมากขึ้น ที่ต้องหันไปหาเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน จากเจ้าหนี้รายประเทศ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศ สำหรับปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลกัมพูชาได้ประกาศแผนการใช้จ่ายรวมประมาณ 10,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (331,500 ล้านบาท) โดยมีความต้องการกู้ยืม ตามแผนงานที่ 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (100,750 ล้านบาท) เพื่อชดเชยการขาดดุล และระดมทุนสำหรับโครงการลงทุนสาธารณะ
5 อันดับต้นของผู้ให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่กัมพูชาในลักษณะให้เปล่า (2568–2569)
รายชื่อต่อไปนี้คือผู้ให้เงินช่วยเหลือรายประเทศ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันเป็นแหล่งทุน หลักเพื่อการพัฒนาของกัมพูชา
- จีน ประมาณการความช่วยเหลือ 1,200-1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 39,000-48,750 ล้านบาท ขอบข่ายการดำเนินงานหลัก โครงสร้างพื้นฐาน (คลองฟูนันเตโช), พลังงาน, การป้องกันประเทศ
- ญี่ปุ่น ประมาณการความช่วยเหลือ 480-520 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 15,600-16,900 ล้านบาท ขอบข่ายการดำเนินงานหลัก ท่าเรือสีหนุวิลล์, การประปาเขตเมือง, เศรษฐกิจดิจิทัล
- ธนาคารโลก ประมาณการความช่วยเหลือ 250-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 8,125-9,750 ล้านบาท ขอบข่ายการดำเนินงานหลัก การปฏิรูปการศึกษา, ถนนในชนบท, ระบบสาธารณสุข
- ADB (ธนาคารพัฒนาเอเชีย) ประมาณการความช่วยเหลือ 180-220 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5,850-7,150 ล้านบาท ขอบข่ายการดำเนินงานหลัก เสถียรภาพทางการเงิน, การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ, เทคโนโลยีดิจิทัล
- เกาหลีใต้ ประมาณการความช่วยเหลือ 120-150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3,900-4,875 ล้านบาท ขอบข่ายการดำเนินงานหลัก โครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง, ICT, การพัฒนาชนบท
จุดเปลี่ยนทางการเงินที่สำคัญในปี 2568–2569
การพุ่งสูงของการกู้ยืม
เพื่อสนับสนุนงบประมาณปี 2569 รัฐบาลวางแผนกู้เงิน 2,250 ล้าน Special Drawing Rights - SDR (ประมาณ 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 12.5% จากปี 2568 ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านจากการ "รับความช่วยเหลือ" ไปสู่การ "บริหารจัดการหนี้"
ปัจจัยจากจีน
จีนยังคงเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดและเป็นแหล่งเงินทุนหลัก ในปี 2568 จีนเริ่มเข้ามา "เติมเต็ม" ช่องว่างที่ผู้บริจาคตะวันทิ้งไว้ เช่น เงินช่วยเหลือฉุกเฉิน 4,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ (130 ล้านบาท) สำหรับการเก็บกู้กับระเบิด และการสนับสนุนโครงการคลองฟูนันเตโชที่ยังคงหาข้อยุติที่ชัดเจนไม่ได้
การลดบทบาทของตะวันตก
หลังจากการปิดตัวของ USAID ในกลางปี 2568 และการตัดงบประมาณของสหภาพยุโรป (EU) ความช่วยเหลือ (ODA) จากตะวันตกได้เปลี่ยนไปสู่โครงการ เป้าหมายด้าน "สิทธิมนุษยชน" และ "สภาพภูมิอากาศ" แทนที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
โครงสร้างหนี้ ณ สิ้นปี 2568 หนี้ต่างประเทศของกัมพูชาอยู่ที่ 12,540 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (407,550 ล้านบาท) โดย 61% เป็นหนี้จากเจ้าหนี้รายประเทศ (ส่วนใหญ่คือจีน) และ 39% มาจาก สถาบันการเงินระหว่างประเทศ
นักวิเคราะห์อิสระ และ NGO Forum on Cambodia ได้ส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับ "อัตราการกู้ยืมที่น่ากังวล" โดยเตือนว่าหากปราศจากการตรวจสอบการทุจริตที่เข้มแข็ง เงินทุนจำนวนมหาศาลนี้เสี่ยงที่จะสร้างความ ร่ำรวยให้แก่กลุ่มชนชั้นนำ ในขณะที่ทิ้งภาระหนี้ที่ไม่ยั่งยืนไว้ให้คนรุ่นหลัง
บทสรุป
ภูมิทัศน์ทางการเงินปี 2568–2569 เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของอำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจ เมื่อกัมพูชาเปลี่ยนผ่านจากผู้รับเงินช่วยเหลือไปสู่รัฐที่มีภาระหนี้สินต่างประเทศสูง ด้วยแผนการใช้จ่าย 10,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (331,500 ล้านบาท) ที่ต้องกู้เงินใหม่ถึง 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (100,750 ล้านบาท) ทำให้ประเทศต้องพึ่งพาเจ้าหนี้รายประเทศ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะจีน ที่ครองส่วนแบ่งใหญ่ที่สุด ทั้งในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และหนี้ต่างประเทศโดยรวม
การหันไปหาจีน เกิดขึ้นพร้อมกับการลดลงอย่างรวดเร็วของอิทธิพลตะวันตก อันส่งผลให้กัมพูชามีแหล่งทุนที่ หลากหลายน้อยลง ซึ่งสัญญาณเหล่านี้บ่งชี้ถึงอนาคตที่เปราะบางของสุขภาพทางการคลัง ซึ่งการกระจุกตัวของหนี้ 61% อยู่ภายในกลุ่มเจ้าหนี้รายประเทศ ผนวกกับแผนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น 12.5% ได้กระตุ้นให้กลุ่มผู้เฝ้าระวังด้านความเสี่ยงเครดิตอธิปไตย (Sovereign Credit Risks) ออกมาเตือนเรื่องความยั่งยืนของความสามารถในการชำระหนี้สิน
ความขัดแย้งทางพรมแดนกับประเทศไทยที่กำลังดำเนินอยู่ ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น เนื่องจากความขัดแย้งดังกล่าว ได้นำไปสู่การใช้จ่ายจำนวนมหาศาล ที่ไม่ได้วางแผนไว้การไหลออกของเงินลงทุนต่างชาติ และนักท่องเที่ยวต่างชาติ
รวมทั้งการหยุดชะงักของรายได้จาก "แหล่งรายได้ใหม่" และการตกงานของแรงงาน กัมพูชากว่า 1,200,000 คน ที่เคยทำงานในไทย ดังนั้น สิ่งที่กัมพูชากำลังเผชิญอยู่ คือความท้าทายรอบด้านที่จะเด่นชัดยิ่งขึ้นในปี 2569 ซึ่งทำให้ไม่แน่นอนว่า เงินกู้ 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (100,750 ล้านบาท) ตามแผนนั้นจะเพียงพอสำหรับการพยุงเศรษฐกิจหรือไม่
เหนือสิ่งอื่นใด คือ ปัญหาการทุจริตและระบบพวกพ้องที่ฝังรากลึก หากปราศจากการตรวจสอบการใช้จ่ายและมาตรการต่อต้านคอร์รัปชันที่มีประสิทธิภาพ มีความเสี่ยงสูงที่เงินทุนและเงินกู้ยืมจำนวนมหาศาล จะเกิดประโยชน์เพียงกับกลุ่มชนชั้นนำ และโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ของบุคคลกลุ่มนี้ในขณะที่ ประชาชนและคนรุ่นหลังต้องแบกรับภาระหนี้สะสม ที่อาจเติบโตแซงหน้าการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศในไม่ช้า
อ่านข่าวอื่น :
ทหารไทยยึดคืน 3 พื้นที่ บ้านคลองแผง–หนองจาน–หนองหญ้าแก้ว
ทภ.2 เผยชายแดนตึงเครียดหลายจุด กัมพูชาใช้ปืนใหญ่ - BM21 ยิงต่อเนื่อง
โป๊ปเลโอที่ 14 ให้พระดำรัสคริสต์มาส เรียกร้องเจรจายุติสงครามทั่วโลก