-1-
เสื้อผ้าและเนื้อตัวที่เปรอะเปื้อน เส้นผมที่จับตัวเป็นก้อน เหงื่อไคลที่หมักหมมจนส่งกลิ่นรบกวน อีกทั้งท่วงท่าและแววตาที่ไม่น่าไว้วางใจ หากอยู่ใกล้ในระยะเห็นสีหน้าและได้ยินเสียงพูด คุณอาจพบเรื่องราวหลากอารมณ์ บ้างขบขัน บ้างโกรธเกรี้ยว บ้างโศกเศร้า หรือบ้างสลับอารมณ์ไปมา เนื้อหาไร้ความเชื่อมโยงกับชีวิตคนทั่วไป อาจเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบ่าวไพร่กับเจ้านายผู้สูงศักดิ์ อาจเป็นผีสาง เทวดา นางฟ้า เทพเจ้า หรืออาจพ้นไปจากจินตนาการที่คาดเดาได้ ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นบทสนทนาเพียงลำพัง
น่ากลัว – คงเป็นความรู้สึกร่วมของคนจำนวนมาก
ไม่อยากอยู่ใกล้ – หลายคนคงเกิดความคิดนี้ตามมา
ราวกับถูกบันทึกให้เป็นการกระทำอัตโนมัติ เราค่อย ๆ เขยิบออกมาให้ห่าง เพื่อย้ายมายืนอยู่ในจุดที่เกิดความรู้สึกว่า ‘ปลอดภัย’ หรืออย่างน้อยก็ขออยู่ในระยะห่างที่ทำให้สบายใจ วินาทีนั้นต่อให้ไม่ได้หวาดกลัวอะไร คงน้อยยิ่งกว่าน้อยที่ใครจะให้ความสนใจ พวกเขาค่อย ๆ ออกห่างจากการรับรู้ และบางคนถึงขั้นตัดขาดราวกับไม่ใช่สิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน
คนจรจัด หรือคนบ้า ถ้าสุภาพหน่อยก็คนไร้บ้าน หรือคนป่วยทางจิต (ที่เป็นคนไร้บ้านด้วย) ไม่ว่าคุณจะเรียกพวกเขาว่าอะไร ไม่ว่าคุณจะมองพวกเขาอย่างไร ปฏิเสธไม่ได้ว่าชีวิตของพวกเขาถูกปฏิเสธ ละเลย และเบลอพร่าจากการรับรู้ของผู้คนโดยส่วนใหญ่
ผมก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น
-2-
เมื่อหลายปีก่อน เวลาหัวค่ำของวันธรรมดาที่คนจำนวนมากกำลังเบียดแทรกเพื่อขึ้นรถเมล์กลับบ้าน
เราสองคนยืนที่ป้ายรถเมล์หน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ อยู่ ๆ เธอก็หันไปมองบางอย่าง ผมหันไปมองตามทิศทางนั้น ยังไม่ทันจะเอ่ยถามอะไร เธอเดินมุ่งตรงไปที่ร้านขายน้ำแบบรถเข็น แล้วซื้อน้ำเปล่าเย็น ๆ มาหนึ่งขวด หันซ้ายหันขวา ท่าทางหวั่นใจเล็กน้อย ก่อนนำน้ำขวดนั้นไปยื่นให้ชายร่างผอมเนื้อตัวเปรอะเปื้อนที่กำลังยืนคุ้ยถังขยะ
ไม่มีรอยยิ้มตอบรับ ไม่มีคำขอบคุณตอบกลับ ชายคนนั้นยื่นมือมารับ เปิดขวด แล้วกระดกดื่มด้วยความหิวกระหาย
ทันทีที่เสร็จภารกิจ เธอเดินกลับมายืนที่ป้ายรถเมล์ และทำตัวราวกับไม่กี่นาทีนั้นเป็นเรื่องปกติในวันธรรมดา ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่เหตุการณ์สั้น ๆ นั้นได้กระทำบางอย่างกับความรู้สึกภายในอยู่พอสมควร
ผมนำเหตุการณ์วันนั้นมาครุ่นคิดอยู่เสมอ
-3-
“ทำไมถึงออกมาใช้ชีวิตแบบนี้”
“บางคนก็มีบ้านไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่อยู่บ้านล่ะ”
เป็นคำถามเดิม ๆ ที่เกิดขึ้นเวลาพูดถึงปัญหา ‘คนไร้บ้าน’ สารพัดเหตุผลถูกนำมาอธิบาย (มักเป็นคำใหญ่ๆ ที่เข้าใจยาก ๆ ) ทั้งความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความล้มเหลวของภาคเกษตร การพัฒนาที่กระจุกตัว ระบบสาธารณสุขที่ไม่มีประสิทธิภาพ สวัสดิการพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ความขัดแย้งภายในครอบครัว ไปจนถึงรสนิยมการใช้ชีวิต หรือแม้แต่การออกมาหาความหมายของการดำรงอยู่ ฯลฯ
ภายใต้ความหลากหลายของมนุษย์ ซึ่ง ‘คนไร้บ้าน’ ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่ละคนย่อมมีเหตุผลในการตัดสินใจที่แตกต่างกัน ซึ่งเท่าที่เคยอ่านและฟังมา คำอธิบายเหล่านั้นไม่มีอะไรผิด
หลายปีที่พบเห็น ‘คนไร้บ้าน’ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งกับชีวิต ผมเริ่มสนใจพวกเขามากขึ้น แต่ทุกครั้งที่นึกถึงการช่วยเหลือ นอกจากอ่านและฟังเพื่อทำความเข้าใจ แล้วนำบางเรื่องราวมาสื่อสาร ผมรู้สึกว่าในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ตัวเองไม่มีอำนาจและศักยภาพมาช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้เลย
แต่น้ำเปล่าเย็น ๆ ขวดนั้น ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมอง
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ผมผ่านไปเจอ ‘คนไร้บ้าน’ หรือ ‘คนป่วยทางจิต’ (ที่เป็นคนไร้บ้านด้วย) อยู่บ้าง แต่น้อยครั้งจะอยู่ในจังหวะที่สะดวกหยิบยื่นอะไรให้กัน บางครั้งผมอยู่บนรถเมล์ ส่วนเขาเดินอยู่บนฟุตบาท หรือบางครั้งเขาเดินสวนผ่านไปด้วยความรีบร้อน
จนกระทั่งเช้าวันนั้น
ชายคนนั้นยืนคุ้ยถังขยะอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ส่วนผมกำลังมุ่งหน้าไปที่ป้ายรถเมล์ วินาทีนั้นตัดสินใจหยุดมองว่าเขาจะหยิบอะไรขึ้นมาประทังชีวิต สองมือค่อย ๆ แหวกและหยิบทีละอย่างขึ้นมาพิจารณา สุดท้ายเป็นแก้วพลาสติกที่มีน้ำแข็งละลายผสมกับซากน้ำหวาน เขาหยิบขึ้นมากระดกดื่มด้วยความหิวกระจาย ผมเขยิบมามองสีหน้าและแววตาเพื่อประเมินความเป็นมิตร แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าและหวาดระแวง
"เอาวะ" เป็นวลีเรียกความมั่นใจ ผมไม่ได้กลัวเขาทำร้าย แต่ลังเลว่าสิ่งที่คิดจะทำ เป็นสิ่งที่เขาต้องการหรือเปล่า
“กินไหมครับ เดี๋ยวเข้าไปซื้อมาให้” ผมยกมือทำท่าทางกินข้าว ใช้คำถามกว้าง ๆ โดยไม่ได้ระบุประเภทอาหาร
เขาพยักหน้า สีหน้าและแววต่างยังว่างเปล่าและหวาดระแวง
ผมเข้าไปซื้อน้ำเต้าหู้หนึ่งขวด กับขนมปังที่รสชาติกลาง ๆ มาหนึ่งชิ้น (ทั้งหมดนั้นราคาน้อยกว่ามื้อเที่ยงที่ผมเพิ่งกินด้วยซ้ำไป) แล้วเอาออกมายื่นให้
ไม่มีรอยยิ้มตอบรับ ไม่มีคำขอบคุณตอบกลับ ชายคนนั้นยื่นมือมารับ แล้วค่อย ๆ แกะห่อพลาสติกและเปิดขวด
มันอาจเป็นการแก้ปัญหา ‘คนไร้บ้าน’ ที่ปลายเหตุ อีกทั้งไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเขาดีขึ้นในระยะยาวเลย แต่วินาทีนั้นผมไม่ได้สนใจว่าเขาเป็นใคร ไม่ได้สนใจว่าเขานิสัยดีไหม และไม่ได้สนใจว่าวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคืออะไร
ถ้าเขากำลังหิว แล้วเรามีกำลังพอจะแบ่งปัน ก็ให้สิ
บางทีชีวิตก็แค่นั้นเลย
.
.
ติดตามบทความของเพจมนุษย์กรุงเทพฯ ได้บน LINE TODAY ทุกวันอังคารที่ 1 และ 3 ของเดือน
ความเห็น 13
Dodoo6356
การให้และรู้จัก....แบ่งปัน
ความสุขนั้นอยู่ไม่ไกล.......!!!!
หาได้จากรอบๆ ตัวเรานี่แหละครับ
มีน้อยก็ช่วยน้อย !!!
ตามกำลังเงินในกระเป๋าเรา
เท่าที่มี....?
สังคมจะน่าอยู่อีกเยอะ......หาก
ทุกคนช่วยกัน......ดูแล !!!!
คนที่อยู่ร่วมในสังคม..เดียวกับเรา
แม้ว่าจะเป็นเพียงจุดทศนิยม
เพียงจุดเล็กๆ
หากรวมกันเป็นหลายๆ จุดล่ะ...?
นั่นแหละ...คือสิ่งที่ทุกคนในสังคม
ต้องช่วยกัน ดูแลกัน
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่...ซึ่งกันและกัน
ครับผม !!!!
02 ต.ค. 2562 เวลา 00.23 น.
ในความคิดนั้นเราแค่กลัวถูกพวกเขาทำร้าย..ไม่ค่อยกล้าช่วยเหลือทั้งที่พอทำได้..จะพยายามช่วยให้มากขึ้น..ขอบคุณบทความนี้ รู้สึกดีที่ยังมีคนเข้าใจ และมองไปในทิศทางเดียวกัน
02 ต.ค. 2562 เวลา 00.10 น.
ยอดเยี่ยมครับขอให้มีแต่ความสุขความเจริญครับ
01 ต.ค. 2562 เวลา 23.33 น.
361` Pollapag
คิดดี ทำดี พูดดี แล้วจะได้ดี
01 ต.ค. 2562 เวลา 22.45 น.
ॐผึ้งน้อยอุ้มสยา天官赐福
ทำให้ฉันได้รู้ว่า "ยากจนโดยเจตนา ที่จะทำให้ตนเองยากจน กับ ยากจนโดยไม่เจตนาที่จะจน" ชัดขึ้นมากๆ..
01 ต.ค. 2562 เวลา 14.48 น.
ดูทั้งหมด