หมอบอกฟีบีว่า “คุณเป็นมะเร็งผิวหนัง”
เธอถามหมอ “ระยะไหน?”
“ระยะสุดท้าย”
“เหลือเวลาเท่าไร?”
“หนึ่งปี”
ปีนั้นคือ 1981 ฟีบีอายุห้าสิบ เธอคงไม่มีชีวิตถึงปีที่ 51
เธอรู้ว่าเวลาของเธอบนโลกเหลือน้อยมาก เธอตัดสินใจไม่รักษา
เธอจะไปดูนก
เวลาหนึ่งปีสามารถดูนกได้กี่ตัว กี่สายพันธุ์?
อาจไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย
เวลาน้อย ต้องเริ่มเลย
…………..
ฟีบี สเนตซิงเกอร์ (Phoebe Snetsinger) เกิดแปดปีก่อนสงครามโลกครั้งที่สองที่เมืองเลค ซูริค รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา บิดา ลีโอ เบอร์เน็ตต์ เป็นนักโฆษณาผู้ยิ่งใหญ่ในวงการ เธอเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนใกล้บ้านเกิด เนื่องจากอยู่ห่างไกล ทั้งโรงเรียนมีนักเรียนเพียงสามคน เธอเรียนเก่งตั้งแต่เด็ก เธออยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่เธอเรียนจนจบปริญญาตรี วิชาเอกภาษาเยอรมัน
ฟีบีรู้จักเดวิดมาตั้งแต่เด็ก เมื่อแต่งงานกับเขา ทั้งคู่ก็อาศัยอยู่ที่ เว็บสเตอร์ โกรฟส์ ในเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี
หลังจากที่เดวิดกลับจากราชการทหารในสงครามเกาหลีแล้ว ทั้งสองก็ไปเรียนปริญญาโทด้วยกัน ฟีบีสำเร็จปริญญาโทสาขาวรรณกรรมเยอรมัน
ฟีบีไม่ได้ใช้ความรู้สายที่เธอเรียนมา เธอเป็นแม่บ้านธรรมดาคนหนึ่ง ชีวิตของเธอไม่มีสิ่งใดน่าตื่นเต้น เธอรู้สึกเหมือนติดในหลุมศพ เธอเป็นนกอิสระที่ไม่ชอบอยู่ในกรง
ในปี 1965 เพื่อนคนหนึ่งชวนเธอไปดูนกที่มิเนโซตา ให้เธอยืมกล้องส่องทางไกล สายตาเธอไปหยุดที่นกตัวหนึ่ง ตัวยาวแค่สิบเซ็นติเมตร ลำตัวสีเทาเข้มปนดำ ท้องสีขาว หัวสีเหลืองส้ม สวยงามมาก
มันคือนก Blackburnian Warbler เธอชะงักด้วยความตื่นตาตื่นใจ เธอพบอิสรภาพของชีวิตแล้ว!
หลังจากนั้นเธอก็ซื้อกล้องส่องทางไกลของตัวเอง และไปดูนกกับเพื่อนในยามว่าง แต่ยังไม่ถือเป็นงานอดิเรกจริงจัง จนกระทั่งหมอบอกผลตรวจของโรคร้าย
เธอเป็นแม่บ้านธรรมดาที่กำลังจะตาย เธออยากทำอะไรสักอย่างก่อนจากโลกนี้ไป และไม่ใช่ในโรงพยาบาล
ฟีบีเดินทางไปอะลาสกาเพื่อดูนก แล้วท่องเที่ยวไปทั่วประเทศเพื่อดูนกเพิ่มอีก สภาพจิตเธอดีขึ้น เมื่อเธอกลับมานั้น มะเร็งหดลงไปบ้าง บางทีเธออาจสามารถยืดเวลาดูนกได้นานกว่าที่คาด
…………..
ในยุคนั้น การดูนกเป็นกิจกรรมของผู้ชายล้วนๆ หาผู้หญิงดูนกน้อยมาก เพราะกิจกรรมดูนกก็คือการเดินป่านั่นเอง นกหายากส่วนใหญ่อาศัยในที่รกร้างไร้ผู้คน ห่างไกลความเจริญ จึงมีอันตราย การเดินป่าอาจหมายถึงไข้ป่าและอันตรายอื่นๆ ที่คาดไม่ถึง และเธอก็เผชิญมันทั้งหมด
เธอตั้งเป้าหมายของชีวิตที่เหลือใหม่ นั่นคือดูนกให้มากสายพันธุ์ที่สุดก่อนตาย เธอต้องการใช้ชีวิตที่เหลือเพียงน้อยนิดกระทำสิ่งที่เธอเคยฝันแต่ไม่มีเวลาทำ
นี่เป็นกิจกรรมสุดท้ายในชีวิตของเธอ โชคดีที่พ่อเธอทิ้งมรดกก้อนใหญ่ไว้ เธอสามารถเดินตามหัวใจ
เธอไปที่ไหนต่อที่ไหนโดยมีกล้องส่องทางไกลติดมือไปด้วยเสมอ รวมถึงกล้องถ่ายรูป หมวกกันแดด เธอสวมรองเท้าที่เดินไม่มีเสียง และสมุดบันทึก เธอจดบันทึกรายละเอียดของนกแต่ละสายพันธุ์ที่เห็น รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม
ฟีบีดั้นด้นไปทุกแห่งหน หัวใจและความคิดเธอมีแต่นก เธอท่องตามป่าเขา หนองน้ำต่างๆ ทะเลทราย ภูเขา แม่น้ำ เดินทางข้ามทวีปต่างๆ ทั้งเจ็ดทวีป ไปยังพื้นที่รกร้างห่างไกล แม้กระทั่งพื้นที่เสี่ยงภัย จำนวนนกที่เธอดูทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
บางทีเธอดูนกแข่งกับความตายที่ไม่รู้จะมาเมื่อใด
ฟีบีเปลี่ยนวิถีชีวิตของเธอใหม่ เธอใช้เวลาสี่เดือนในหนึ่งปีในต่างแดน เดินทางดูนก
สำหรับเธอ การดูนกเป็นการจัดการกับปัญหาโรคร้ายระยะสุดท้าย เป็นการทำใจ เป็นการบำบัด
นกคือเพื่อน นกคือความหวัง
เธอเขียนไว้ “เจตนาการดูนกของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป สำหรับฉัน มันผูกกันอย่างซับซ้อนกับการมีชีวิตรอด”
ผ่านไปหนึ่งปี สองปี สิบปี เธอยังไม่ตายจากโรคร้าย
เวลาที่น้อยเหลือเกินขยายจากหนึ่งปีที่หมอบอกถึงสิบเจ็ดปี เธอยังไม่ตายจากโรคร้าย
เธอมีผลงานตีพิมพ์เรื่อยๆ และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนก
บางครั้งเป็นการดูนกที่ดี ครั้งหนึ่งที่เคนยา เพียงสามสัปดาห์ เธอเห็นนกชนิดใหม่ถึงห้าร้อยสายพันธุ์ บางครั้งก็ไม่ดี
การเดินทางของเธอประสบอันตรายระหว่างทางเสมอ เธอเคยเจอเรือจมกลางทะเล แผ่นดินไหว เธอเคยได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าระหว่างการเดินเขา บาดเจ็บข้อมือหัก เป็นมาลาเรีย และเคยถูกจับเป็นตัวประกันที่เอธิโอเปีย
การเดินทางไปต่างแดนเพื่อดูนกทำให้เธอพลาดหลายเรื่องในชีวิต เธอกลับไปงานศพแม่ไม่ทัน เธอยังพลาดงานแต่งงานของลูกสาว
แต่ยังมีเรื่องเลวร้ายยิ่งกว่านั้น
วันหนึ่งขณะไปดูนกที่ทะเลสาบแห่งหนึ่งในปาปัว นิวกินี คนนำทางของเธอถูกทำร้าย เธอถูกชายห้าคนข่มขืน
ราคาของการดูนกแพงอย่างยิ่ง แต่เธอไม่เลิก
ในปีแรกที่เธอเริ่มดูนกนั้น วงการดูนกบันทึกว่ามีนกราว 8,500 สายพันธุ์ ต่อมาตัวเลขขยับไปถึงหนึ่งหมื่นสายพันธุ์
ในปี 1995 เธอส่งรายการการพบนกจำนวน 8,040 สายพันธุ์ ไปยังสมาคมดูนกอเมริกา และ Guinness Book of World Records
การท่องโลกดูนกทำให้เธอมองเห็นความงามของนกในป่า แต่ก็สัมผัสความเศร้าสลดของธรรมชาติเช่นกัน เธอพบว่าที่อยู่ของนกกำลังถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือมนุษย์ นกจำนวนมากกำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
ในเดือนพฤศจิกายน 1999 ฟีบีในวัย 68 เดินทางไปดูนกที่เกาะมาดากัสการ์ รถแวนของเธอเกิดอุบัติเหตุ เธอเสียชีวิตทันที ไม่ใช่จากโรคมะเร็ง
นกสายพันธุ์สุดท้ายที่เธอเห็นคือ Helmet vanga ตัวยาวราวหนึ่งฟุต จะงอยสีฟ้า ปีกสีดำแถบส้ม
ในบันทึกของเธอ ฟีบีเขียนว่า “ถ้านี่คือการเดินทางเที่ยวสุดท้ายของฉัน ก็ขอให้เป็นเช่นนั้น แต่ฉันจะทำให้มันเป็นเที่ยวที่ดี และจะจากไปพร้อมกล้องส่องทางไกลในมือ”
ฟีบีสอนเราว่า คุณค่าของชีวิตมิใช่อยู่ที่ความยาว หากอยู่ที่การเดินตามหัวใจ ความตายมิใช่สิ่งที่น่ากลัว ระยะสุดท้ายของชีวิตคนป่วยไม่จำเป็นต้องเป็นนรก
เธอพบว่าจะเข้าใจชีวิตต้องเข้าใจความตาย ปล่อยวางความกลัวความตาย และเผชิญหน้ากับมันด้วยความยินดีในชีวิตและธรรมชาติ
เราแต่ละคนมีความลุ่มหลงและความฝัน เราอาจไม่มีโอกาสทำ แต่ก่อนลมหายใจสุดท้าย บางทีเราควรเดินตามหัวใจสักครั้ง
ความฝันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่เราทุกคนมี ‘นก’ ให้ไปเสาะหา
ชีวิตไม่สายเกินไปที่จะทำสิ่งที่รัก แม้จะสั้นๆ ก็ตาม
…………..
หมายเหตุ :
บันทึกของฟีบีชื่อ Birding on Borrowed Time (ดูนกในเวลาที่ยืมมา) ตีพิมพ์ในปี 2003 หลังจากเธอจากไปแล้ว
ในปีที่เธอตาย เธอได้ดูและบันทึกนกถึง 8,398 สายพันธุ์หรือราว 85 เปอร์เซ็นต์ของนกทั้งหมดที่ถูกค้นพบในโลก ฟีบี สเนตซิงเกอร์ เป็นมนุษย์ผู้เห็นนกมากสายพันธุ์ที่สุดในโลก
…………..
วินทร์ เลียววาริณ
เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/
กันยายน 2561
ความเห็น 8
didy 💤
อ่านแล้วมีกำลังใจ
17 ก.ย 2561 เวลา 04.51 น.
พรทิวา ศิริกฤตภิญโญ
ชอบมากๆค่ะ
17 ก.ย 2561 เวลา 11.19 น.
@...
ทำให้รู้ได้ว่า แม้ว่าตัวเราจะมีเวลามี่จะเหลืออยู่บนโลกใบนี้ได้จะไม่นานนักก็ตาม แต่เราก็ยังสามารถที่จะแสวงหากับในสิ่งที่หัวใจของเราต้องการและปราถนาได้อยู่เสมอ.
17 ก.ย 2561 เวลา 13.15 น.
Sumonthip เอ
ชอบมากๆเลยค่ะอ่านแล้วมีกำลังใจ สู้ๆ
18 ก.ย 2561 เวลา 18.31 น.
แพรว
เดินทางตามเสียงหัวใจ...
17 ก.ย 2561 เวลา 13.52 น.
ดูทั้งหมด