ในรอบหลายปีนี้ ตั้งแต่ app การแช็ตเป็นที่นิยมทั่วโลก เราเห็นคำบ่นของบรรดาสามีว่อนในอินเทอร์เน็ต เนื้อหาซ้ำๆ กัน กล่าวถึงความขมขื่นชอกช้ำระทมระทวยของเหล่าสามีที่ถูกภรรยากดขี่ เช่น ให้ซักผ้าบ้าง กวาดพื้นบ้าง ถูพื้นบ้าง
เชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องขำๆ คลายเครียด แต่เป็นไปได้ไหมที่ลึกๆ มันอาจสะท้อนความเก็บกดของผู้ชาย? เป็นไปได้ไหมที่นี่เป็นเรื่องจริง? มีสามีที่ถูกภรรยาสั่งให้ซักผ้า ถูพื้นจริงๆ?
เรื่องนี้คงต้องยกให้เป็นหน้าที่ของหน่วย CSI, FBI และ Homeland Security ไปจัดการสืบสวน แต่ในโลกของความจริง มีภรรยาที่ประพฤติตนเช่นผู้คุมจริงๆ คุมอีกฝ่ายแจ จะไปไหนต้องขออนุญาต ต้องแจ้งเมื่อถึงที่หมาย พูดโทรศัพท์กับใคร ต้องบอกให้รู้ว่าคุยกับใคร คุยเรื่องอะไร
นอกจากคุมความประพฤติ ยังคุมวิธีการขับรถ
ฉากขับรถในบางครอบครัวคล้ายการขับเรือดำน้ำเข้าไปทุกที นั่นคือผู้ขับกับผู้สั่งการเป็นคนละคนกัน
สามีขับรถ ภรรยาเป็นผู้ควบคุมคำสั่ง
“หักขวาซี ทำไมคุณไม่หักขวา?”
“ทำไมไม่แซง? คันอื่นเขาไปไหนต่อไหนนานเป็นชาติแล้ว”
“เหยียบเลย ไฟกำลังจะแดง”
บางครั้งยิ่งทำให้เรื่องแย่ลงไปอีก
“รถคันนี้ 3,000 ซีซี.นะ”
“ขับรถยนต์หรือว่าเกวียนเนี่ย?”
นอกจากภรรยาที่ชอบสวมบทบาทกัปตันเรือดำน้ำแล้ว ยังมีภรรยาที่ชอบเป็นนักบิน เห็นสามีเป็นลานบินให้เครื่องบินอารมณ์ลงจอด บ้างก็เป็นครู เห็นสามีเป็นเด็กอนุบาล ต้องกำกับดูแลทุกขั้นตอน
สามีอาจไม่พูดสักคำ แต่อารมณ์เก็บกดภายใน วันดีคืนดีก็ระเบิดออกมา หากเก็บได้มั่นคงไม่ระเบิดภายนอก ก็จะระเบิดภายใน สามีประเภทนี้มักอายุสั้น
ภรรยาเหล่านี้รักสามีแน่นอน แต่การเลี้ยงสามีเหมือนลูกหมา มีโซ่คล้องตลอดเวลา ไม่ว่ากลัวหายหรือกลัวหนีไปเที่ยวเล่น อาจไม่ใช้กุศโลบายที่ดีนัก
ใครที่เข้าข่ายนี้ควรลองถามตัวเองว่า
1 รู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังควบคุมชีวิตในอีกฝ่าย
2 ถ้ารู้ จะทุกข์ทรมานมากไหมหากยุติการควบคุมนั้น
หากข้อ 1 ใช่ ข้อ 2 คือรับได้ ก็ยังพอมีความหวัง
อย่าคิดว่าจะผูกใครได้ด้วยโซ่
โซ่ที่ดีที่สุดคือคือคุณความดีและการเอาใจใส่ของภรรยา
…………..
ที่เล่ามาข้างต้นนี้เป็นเพียงครึ่งเดียวของภาพ
ในโลกของความจริง มีคู่ครองที่สลับกันกับตัวอย่างข้างต้น
ในโลกของความจริง มีสามีไม่น้อยที่ประพฤติตัวเหลวไหล ควรดุด่าอบรมสั่งสอนจริงๆ เช่น แทนที่จะช่วยงานบ้าน กลับไปตีกอล์ฟ อ้างว่าเพื่อสร้างสัมพันธ์ทางธุรกิจ แล้วเมาแอ๋กลับบ้าน บ้างดื่มเบียร์หน้าจอโทรทัศน์ ไม่เคยขยับตัวไปช่วยภรรยาล้างจาน
เป็นสามีไม่รักดีจริงๆ!
แต่การอบรมกับวิธีอบรมอีกฝ่ายเป็นคนละเรื่องกัน
ความจริงคือ คนจำนวนมากรักคู่ของตนอย่างยิ่ง เมื่อรักมากก็อยากปรับปรุงเขาหรือเธอเป็นเวอร์ชั่นที่ดีขึ้น แต่ app ที่ใช้อัพเกรดอีกฝ่ายเป็นมาตรฐานของตนเอง ใช้ตัวเองเป็นตัวตัดสิน
ต่างคิดว่าตัวเองถูก อีกฝ่ายผิด ยึดตัวเองเป็นดาวฤกษ์ที่อีกฝ่ายต้องโคจรรอบตน
ที่สำคัญคือไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายไม่เหมือนตน แต่ถ้าลองมองกลับกัน อาจพบว่าอีกฝ่ายก็คิดอย่างเดียวกัน
หลายคู่ก่อนแต่งงานยอมฝืนทำสิ่งที่อีกฝ่ายชอบหรือพึงใจ แต่งงานแล้วก็เริ่มเผยตัวตนที่แท้จริง
คนหนึ่งชอบเที่ยว คนหนึ่งชอบอยู่บ้าน คนหนึ่งรักสะอาด อีกคนไม่ค่อยสะอาด คนหนึ่งชอบไปวัด อีกคนไม่ชอบ
แม้แต่การวางตำแหน่งสิ่งของในบ้าน คนหนึ่งต้องวางสิ่งนี้ตรงนี้ สิ่งนั้นตรงนั้น อุณหภูมิห้องเย็นไปร้อนไป อีกฝ่ายเห็นว่าจู้จี้เกินไป ล้วนเป็นเรื่องเล็กๆ ทั้งสิ้น
ทว่าเรื่องที่ดูเล็กๆ อย่างนี้ก็อยู่ในข่ายของ butterfly effect แม้การบ่นเล็กๆ ก็อาจแปรเป็นเรื่องใหญ่ได้
ดังนั้นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความแตกต่างจึงสำคัญ
อย่าคิดเปลี่ยนอีกฝ่ายให้เหมือนตน เพราะเป็นไปไม่ได้ อีกฝ่ายอาจยอม แต่วางบนพื้นฐานของแรงเก็บกด วันหนึ่งก็อาจระเบิดออกมา
ชีวิตคู่ต้องรู้จักผ่อนหนักเบา อย่าเอาแต่ระบายอารมณ์ตัวเองฝ่ายเดียว ยิ่งบ่น รอยร้าวยิ่งลึก
ก่อนแต่งงานจึงควรดูให้แน่ใจจริงๆ นิสัยที่แท้จริงอีกฝ่ายเป็นอย่างไร อย่าบดบังด้วยความชอบหรือ ‘รักแรกพบ’ หรือกลัวตกรถไฟขบวนสุดท้าย จนทำให้ตอนเป็นแฟนกันมักจะ “อะไรก็ได้”
แต่ถ้าแต่งงานแล้ว หลักง่ายที่สุดคือเอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ ต้องช่วยกัน ไม่มีใครบังคับให้แต่งงานมิใช่หรือ?
ลิ้นกับฟันกระทบกัน บางทีก็เจ็บ
นี่ย่อมไม่ใช่ความผิดของใคร เพียงแต่นิสัยไม่ตรงกัน
พฤติกรรมอาจแตกต่าง แต่มิใช่แก้ไม่ได้
และบางครั้งการแก้ก็คือการรู้จักเงียบ
การศึกษาจิตวิทยาของชีวิตคู่พบว่า โดยธรรมชาติผู้หญิงส่วนมากชอบมีส่วนร่วมในทุกเรื่องของสามี ขณะที่ผู้ชายอยากมีพื้นที่ส่วนตัวบ้าง
…………..
โรซาลินกับ จิมมี คาร์เตอร์ แต่งงานมา 72 ปี (นับถึงปีนี้)
จิมมี คาร์เตอร์ เป็นประธานาธิบดีคนที่ 39 ของสหรัฐอเมริกา เคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากงานช่วยเหลือสังคมที่ทำมานาน
เคล็ดลับความสำเร็จชีวิตคู่ของเขาคือ “ต้องให้อีกคนมีพื้นที่ว่างบ้าง”
พื้นที่ว่างคือการเปิดให้อีกฝ่ายอยู่กับตัวเอง เป็นอิสระทางใจจริงๆ
เราต้องการพื้นที่ว่างสำหรับผ่อนคลาย
ฟังเพลงตลอดทั้งวันก็เหนื่อยหู บางครั้งอยู่ในความว่างของเสียงก็ดี
บางครั้งก็อยากอยู่คนเดียว อยู่กับความคิดของตัวเอง
พื้นที่ว่างจำเป็นพอๆ กับสิ่งอื่นๆ
หากคู่ครองเข้าใจเคล็ดลับนี้ ก็จะไม่กดดันอีกฝ่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นตัวของตัวเอง
เมื่อทะเลาะกัน พยายามให้จบคดีในวันนั้น พยายามอย่าข้ามวัน อารมณ์บูดข้ามคืนยิ่งบูด เคลียร์ก่อนเข้านอน อย่างน้อยคืนนั้นก็ไม่ต้องฝันร้าย
ลิ้นกับฟันกระทบกันเสมอ แต่หากเข้าใจกันและกัน และไม่พยายามชนะ ก็สามารถคืนดีได้เร็ว และอาจรักกันมากกว่าเดิม
…………..
วินทร์ เลียววาริณ
เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/
สิงหาคม 2561
ความเห็น 9
Madam koki
แต่ควรอย่างยิ่งคือรับฟังเหตุผลและแยกแยะระหว่างคนที่คุณอยากใช้ชีวิตกับเขาและคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณถ้าชั่งแล้วฝ่ายไหนสำคัญกับคุณควรเลือก..ฝ่ายนั้นเสีย..และถ้าไม่มีความยุติธรรมพอ จะหาเกียติอะไรให้ตัวเอง.
10 ก.ย 2561 เวลา 17.31 น.
Thomas Korat^^
ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องให้เกียรติและมีความเกรงใจมากเท่านั้น ไม่ว่าเพื่อนหรือแฟน
28 ส.ค. 2561 เวลา 17.09 น.
ming@ta
ผมไม่ขอพูถึงความรัก แต่ขอพูดถึงชีวิตคู่จะอยู่กันยืนนานต้องเคารพและให้เกียรติกันมีแค่นี้จริงๆ
28 ส.ค. 2561 เวลา 15.22 น.
ชีวิตคู่มันไม่ง่ายนะ คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า
21 ส.ค. 2561 เวลา 00.52 น.
Tid Pracht
กระทู้ถูกใจมันใช่ตรงกับชีวิตของผมเลย.. หะแรกพบเจอเธอดั่งเจ้าหญิงใจงามดุจแม่พระแต่ทว่าผ่านไปไม่นาน
แปลงร่างเป็นยักขหมูขีเสียงเป็นแม่มดระทมขมขืนเยี่ยงทาสตอนนี้หลุดพ้นออกมาแล้วรู่สึกอิสระและจะไม่กลับ
ไปอีกเลย...
21 ส.ค. 2561 เวลา 00.22 น.
ดูทั้งหมด