วันที่ 1 กันยายน 1983 เครื่องบิน Korean Air Lines เที่ยวบิน 007 บินข้ามน่านฟ้าโซเวียต พลันเครื่องบินทหารโซเวียตลำหนึ่งบินตามมาและยิงมันตก เสียชีวิตยกลำ 269 คน
ชาวโลกก่นด่าโซเวียตยับเยินที่แยกไม่ออกระหว่างเครื่องบินรบกับเครื่องบินพาณิชย์
เพียงสามอาทิตย์ต่อมา โลกก็เข้าสู่ความตึงเครียดอีกครั้ง
คราวนี้เกิดขึ้นเงียบ ๆ
▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪
คืนวันที่ 26 กันยายน 1983 นาวาอากาศโท สตานิสลาฟ เยฟกราโฟวิช เปตรอฟ (Stanislav Yevgrafovich Petrov) อยู่เวรที่ศูนย์ดาวเทียมควบคุมเตือนภัย เรียกเป็นรหัสว่า Oko ตั้งอยู่ที่เขตทหาร Serpukhov-15 ใกล้กรุงมอสโก
เปตรอฟวัย 44 มีหน้าที่เฝ้าดูความเคลื่อนไหวของขีปนาวุธของอเมริกา
เวลานั้นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับโซเวียตอยู่ในขั้นเลวร้ายมาก ต่างงัดเอาอาวุธมาข่มอีกฝ่าย
เมื่อโซเวียตติดตั้งขีปนาวุธพิสัยกลาง SS-20/RSD-10 สิบสี่ลูก นาโตก็งัดหัวรบ Pershing II 108 ลูกออกมาใช้ในยุโรป พร้อมถล่มภาคตะวันออกของโซเวียตได้ในเวลาแค่ 10 นาที นอกจากนี้ยังเพิ่มหัวรบพิสัยไกล BGM-109G เข้าไปอีก
โลกเข้าใกล้จุดเดือด ทั้งสองฝ่ายหันหัวขีปนาวุธเข้าหากัน
ในวันที่ 23 มีนาคม 1983 ประธานาธิบดี รอนัลด์ เรแกน ประกาศทางโทรทัศน์ เสนอความคิดโครงการ The Strategic Defense Initiative หรือที่สื่อเรียกว่า ‘สตาร์ วอร์ส’ สร้างอาวุธที่สามารถสอยขีปนาวุธของศัตรูลงมา ก่อนที่มันจะถึงเป้าหมาย
เรแกนประกาศว่า“ผมกำลังเรียกร้องให้วงการวิทยาศาสตร์ที่เคยสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ใช้ความสามารถเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติและสันติภาพแห่งโลก สร้างเครื่องมือให้เราทำให้อาวุธนิวเคลียร์ใช้การไม่ได้และล้าสมัย”
แม้ ‘สตาร์ วอร์ส’ ไม่ประสบความสำเร็จ แต่โซเวียตก็เชื่อว่าสหรัฐฯ มีศักยภาพที่จะทำได้ เช่นที่เคยระดมนักวิทยาศาสตร์ทำระเบิดปรมาณูสำเร็จมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อนักฟิสิกส์ เอ็ดเวิร์ด เทลเลอร์ บิดาแห่งระเบิดไฮโดรเจน เป็นคนแรก ๆ ที่เสนอความคิดสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธนิวเคลียร์
โซเวียตเชื่อว่าสหรัฐฯ ทำโครงการ ‘สตาร์ วอร์ส’ เพื่อใช้จัดการฝ่ายตน และสหรัฐฯ จะยิงขีปนาวุธก่อนแน่
▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪
สตานิสลาฟ เปตรอฟ เกิดในครอบครัวทหารอากาศ พ่อเป็นนักบินในสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเรียนสายวิศวกรรมศาสตร์ที่สถาบันวิศวกรรมเทคนิควิทยุชั้นสูงของกองทัพอากาศ แล้วรับราชการที่กองทัพอากาศในปี 1972 ทำงานด้านระบบเตือนภัยขีปนาวุธข้ามทวีปที่มาจากประเทศกลุ่มนาโต
หลังเที่ยงคืนเล็กน้อย คอมพิวเตอร์บอกว่าบางสิ่งผิดปกติ เครื่องรายงานว่ามีขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปลูกหนึ่ง พุ่งตรงมาที่โซเวียต ต้นทางคือสหรัฐฯ
ใจเขาเต้นแรงขึ้น
สหรัฐฯ จะก่อสงครามเช่นนั้นหรือ ? ในเวลานี้ ? ด้วยหัวรบเพียงลูกเดียว ?
เขารู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ เหตุผลเพราะหากสหรัฐฯ จะโจมตีโซเวียตก่อน ไม่น่าจะใช้หัวรบเพียงลูกเดียว มันควรจะเป็นหลายร้อยลูก เพราะลูกเดียวไม่สามารถชนะโซเวียตได้ หากจะจู่โจมหวังผล ก็ต้องทำลายโซเวียตให้ราบเป็นหน้ากลอง สหรัฐฯ ย่อมรู้ดีว่า หากไม่พิชิตอีกฝ่ายให้ราบคาบก่อน พวกโซเวียตจะยิงขีปนาวุธสวนกลับไปแน่นอน
อีกจุดหนึ่งที่ทำให้เขาเชื่อว่าคอมพิวเตอร์อ่านค่าผิดคือ ดาวเทียมดวงนี้เคยรวนมาก่อน อีกทั้งไม่ปรากฏการตรวจจับขีปนาวุธทางอื่น
นาทีนั้นเขาสรุปว่ามันเป็นการเตือนภัยที่ผิดพลาด จึงไม่แจ้งผู้บังคับบัญชาทันที แต่ในใจเขาก็ระทึก หากมันไม่ผิดเล่า ? ถ้ามันเป็นขีปนาวุธจริงล่ะ ?
เขาเฝ้ารอต่อไป
▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪
ผ่านไปหลายนาที จนเมื่อถึงกำหนดที่ขีปนาวุธควรเดินทางมาถึงแล้ว เขาก็รู้ว่าไม่มีการจู่โจมจากสหรัฐฯ คอมพิวเตอร์เตือนภัยรวน
ผ่านไปอีกไม่นาน คอมพิวเตอร์เตือนอีกว่ามีขีปนาวุธสี่ลูกมาจากสหรัฐฯ มุ่งหน้ามาที่โซเวียต เขาเชื่อว่าคอมพิวเตอร์รวนอีกรอบ
เขาเห็นว่าการเตือนครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป มันผ่านการตรวจสอบ 30 ขั้นตอนเร็วผิดปกติ จึงเชื่อว่าเครื่องคอมพิวเตอร์อ่านค่าผิด
เขาเชื่อว่ามันเป็นการเตือนผิดพลาด จึงตัดสินใจไม่รายงานเบื้องบนทันทีที่เกิดเหตุ
ต่อมามีการยืนยันว่าคอมพิวเตอร์รวนจริง มันเกิดจากการอ่านภาพการวางตัวของแสงอาทิตย์บนเมฆชั้นสูงเหนือรัฐนอร์ธ ดาโกตา กับวงโคจรของดาวเทียมโซเวียต ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก แต่มันก็เกิดขึ้น
เปตรอฟทำให้โลกพ้นจากสงครามอย่างหวุดหวิด โดยใช้ไหวพริบ สติ และปัญญา
ถ้าเขารายงานการพบหัวรบครั้งนี้ขึ้นเบื้องบนมีโอกาสสูงที่จะเกิดการยิงตอบโต้ เพราะสถานการณ์การเผชิญหน้าสูงยิ่ง
นี่คือสามัญสำนึก สัญชาตญาณ ปฏิภาณ การวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ และอ่านเกมไปพร้อมกัน
เขาบอกเบื้องบนภายหลังว่า การที่สหรัฐฯ โจมตีด้วยหัวรบเพียงห้าลูกนั้นไม่สมเหตุสมผล
▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪
หลังเกิดเหตุ นายพล ยูรี โวตินท์เซฟ (Yury Votintsev) ผู้บัญชาการหน่วยป้องกันภัยขีปนาวุธทางอากาศ ได้รับรายงาน และกล่าวชมเชยเขาที่ตัดสินใจได้ถูกต้อง สมควรได้รับรางวัล
แต่ต่อมา นอกจากจะไม่ได้รับรางวัล เปตรอฟกลับถูกเบื้องบนตำหนิ และถูกเบื้องบนสอบสวนอย่างหนัก ถูกย้ายไปทำงานตำแหน่งที่ต่ำลง
เขาเชื่อว่า เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าระบบเตือนภัยของโซเวียตมีปัญหา ทำให้เจ้าหน้าที่ชั้นสูงและนักวิทยาศาสตร์เสียหน้า ทางการจึงชมเชยเขาไม่ได้ เพราะหากเขาได้รับคำชม คนเหล่านั้นก็ต้องถูกลงโทษ
ในปี 1984 เขาย้ายไปทำงานในสถาบันค้นคว้าด้านการเตือนภัย และลาออกก่อนเกษียณ บอกว่าจะไปดูแลภรรยาที่ป่วยเป็นมะเร็ง
มีรายงานว่าเขาบอกว่า “ผมเป็นแพะรับบาป” และเกิดอาการประสาทกิน
แล้วเรื่องก็จบลงเพียงนั้น
▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪
เรื่องนี้ไม่เป็นข่าว จนหลายปีต่อมามีการตีพิมพ์บันทึกของ นายพล ยูรี โวตินท์เซฟ ในปี 1988 สื่อต่าง ๆ ทั่วโลกจึงเพิ่งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ทั้งซีไอเอและเคจีบีที่เผยภายหลังชี้ว่า โซเวียตยังไม่สามาถรับมือกับขีปนาวุธ Pershing II จึงเชื่อว่าสหรัฐฯ เอาแน่
ระบบเตือนภัยรวนที่เกิดขึ้นมาในจังหวะที่เลวร้ายที่สุด เข้มข้นที่สุด ในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ของสองประเทศตกต่ำที่สุด โซเวียตเชื่อมั่นว่าสหรัฐฯ จะโจมตี
“ในเมื่อสหรัฐฯ จะโจมตี เราก็ควรเล่นพวกนั้นก่อน”
ดังนั้นสถานการณ์ในคืนนั้นจึงอันตรายอย่างยิ่ง
ผู้เกี่ยวข้องกับอาวุธนิวเคลียร์ในสหรัฐฯ หลายคนเชื่อว่า เหตุการณ์นี้เฉียดสงครามนิวเคลียร์มากที่สุดแล้ว เพราะพวกโซเวียตเชื่อว่าสหรัฐฯ จะจู่โจมก่อน โดยเฉพาะจากประธานาธิบดี รอนัลด์ เรแกน ที่แข็งกร้าว
หลังจากโลกรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สตานิสลาฟ เปตรอฟ ได้รับการชมและยกย่องจากองค์กรและสถาบันต่าง ๆ โดยเฉพาะจากโลกตะวันตกและสหประชาชาติ
ในปี ค.ศ. 2006 องค์การสหประชาชาติมอบรางวัล World Citizen Award ให้เขา
ปี 2013 เยอรมนีมอบรางวัล The Dresden Peace Prize ให้เขา
เดรสเดนเป็นเมืองในเยอรนีที่ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดอย่างรุนแรงและโหดเหี้ยมในปี 1945 ด้วยเครื่องบิน 1,249 ลำ ระเบิดกว่า 3,900 ตันในคืนเดียว ทั้งเมืองถูกเผาราบ ดังนั้นมันจึงเป็นเครื่องเตือนความเลวร้ายของสงครามล้างโลก
▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪
สองปีหลังจากเหตุการณ์นี้ มิคกาอิล กอร์บาชอฟ ขึ้นเป็นผู้นำโซเวียต ได้พบกับประธานาธิบดี รอนัลด์ เรแกน ที่ไอซ์แลนด์ และเจรจาหาทางแก้ปัญหาอาวุธนิวเคลียร์ และตกลงค่อย ๆ ลดการผลิตอาวุธ
สตานิสลาฟ เปตรอฟ ถึงแก่กรรมในวันที่ 19 พฤษภาคม 2017 และได้รับรางวัล Future of Life Award ที่นิวยอร์ก โดยบุตรสาวเป็นผู้รับรางวัลแทนพ่อ
ในพิธีมอบรางวัล บันคีมุน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า สงครามนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับโซเวียตเกือบได้เกิด หากมิใช่เพราะการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของ สตานิสลาฟ เยฟกราโฟวิช เปตรอฟ ด้วยเหตุผลนี้ เขาสมควรได้รับคำขอบคุณอย่างสูงจากชาวโลก และสมควรที่ชาวโลกจะทำงานด้วยกันเพื่อได้โลกที่ปราศจากความกลัวอาวุธนิวเคลียร์ จดจำวิจารณญาณที่กล้าหาญของ สตานิสลาฟ เปตรอฟ
เปตรอฟบอกเสมอว่าเขาไม่ใช่วีรบุรุษ
“เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงหน้าที่การงานของผม ผมแค่ทำงานของผม ผมเพียงอยู่ถูกที่ถูกเวลา ก็แค่นั้น”
เขาบอกว่าเขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ภรรยา
เธอเคยถามเขาว่า “คุณทำอะไรหรือเปล่า ?”
เขาตอบว่า “เปล่า ผมไม่ได้ทำอะไร”
▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪▪
วินทร์ เลียววาริณ
เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/
ติดตามบทความใหม่ ๆ จากวินทร์ เลียววาริณ ได้ทุกวันจันทร์ บน LINE TODAY
ความเห็น 10
Niranchai To
ผู้ปิดทองหลังพระตัวจริง
14 ธ.ค. 2563 เวลา 04.57 น.
ในการคิดดีทำดีย่อมส่งผลทำให้ชีวิตมีความสุขเสมอ.
14 ธ.ค. 2563 เวลา 05.11 น.
ยุทธ ยุทธ 1
เมืองไทยอาวุธที่ทำลายประเทศชาติเราได้คือปากของนกม.สาวกที่สำคัญคือสื่อที่รู้ว่าข้อมูลไหนเท็จข้อมูลไหนจริงแต่จะเลือกเอาข้อมูลที่สร้างความแตกแยกมานำเสนอเพื่อเปิดขายแผลออกไปสร้างเรตติ้งค่าโฆษณาหรือทำตามเจ้าของสื่อที่หวังผลประโยชน์
14 ธ.ค. 2563 เวลา 11.10 น.
Nong
ดีเยี่ยม
14 ธ.ค. 2563 เวลา 10.56 น.
ต้อง กิตติพัศ
สติสัมปชัญญะดีเลิศ
14 ธ.ค. 2563 เวลา 10.49 น.
ดูทั้งหมด