SeoulStation : ‘แบมแบม’ เปิดใจการค้นพบแก่นแท้ ‘กันต์พิมุกต์’ คนใหม่ที่ดีขึ้น
ทักทายแฟนๆ “บันเทิงเดลินิวส์” ที่น่ารักของ“นูน่าเมี้ยน” ทุกท่าน วนมาเจอกับนูน่าเป็นประจำทุกสัปดาห์ผ่านคอลัมน์ “SeoulStation” พื้นที่ ที่อัปเดตเรื่องราววงการบันเทิง K-Pop นักแสดง และไอดอลเกาหลีที่แบบพิเศษสุดๆ โดยสัปดาห์นี้นูน่าจะขอพามาพูดคุยสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับ“แบมแบม-กันต์พิมุกต์ ภูวกุล” ศิลปิน K-Pop สายเลือดไทยระดับโลก ที่ตอนนี้ได้ก้าวข้ามบทบาทเดิม ๆ ของโลกอุตสาหกรรมเพลง K-Pop ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและกรอบความคาดหวัง ขึ้นมาเป็น “ผู้สร้างสรรค์งาน” (Creative Director) ที่ดูแลผลงานโซโล่ของตัวเองในทุกมิติ การเดินทางนี้เต็มไปด้วยความกล้าหาญและความจริงใจ จนกลายเป็น “ลายเซ็นที่มองไม่เห็น” ในงานทุกชิ้น
ภาพจำของ “แบมแบม” คือศิลปินผู้กล้าเสี่ยงและผู้สร้างความสำเร็จระดับโลก ทั้งการแสดงที่นครรัฐวาติกัน หรือคอนเสิร์ตใหญ่ที่ราชมังคลากีฬาสถาน แต่ภายใต้ความยิ่งใหญ่นี้ ยังมีอีกด้านที่ขับเคลื่อนด้วยสิ่งเรียบง่ายและเป็นมนุษย์ ในบทสัมภาษณ์นี้ แบมแบมไม่ได้เพียงพูดถึงงานเพลงและการเป็น“Soft Power” เท่านั้น แต่เขาได้เผยถึงการ “เปลี่ยนผ่าน” ที่มาจากสิ่งที่ไม่คาดคิด การเติบโตทางความคิดที่ทำให้เขามองความสัมพันธ์ต่างไปจากเดิม ตลอดจนการค้นพบแก่นแท้ที่จะเป็น “กันต์พิมุกต์” คนเดิมที่ดีขึ้น และไม่ยอมเหนื่อยกับการเป็นตัวปลอม พร้อมสำรวจปรัชญาการทำงาน และความเชื่อมั่นในตัวเองที่ทำให้ “BamBam Brand” กลายเป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมสู่ตลาดโลกอย่างสง่างาม
ในฐานะที่คุณเป็น Creative Director ที่ดูแลงานตัวเองทั้งหมด คุณมี “ลายเซ็นที่มองไม่เห็น” อะไรที่ต้องใส่ลงไปในงานทุกชิ้น เพื่อให้รู้ว่าสิ่งนี้คือ BamBam's Art ที่แท้จริง?
แบมแบม : “คือมันไม่ได้มีลายเซ็นแบบนั้น แต่ผมว่าลายเซ็นในผลงานของผมมันชัดมากเลยนะครับ ถ้าเกิดว่าไปดูในรายละเอียดแต่ละอย่าง จะรู้ครับว่าอะไรคือแบมแบมบ้าง ตั้งแต่เพลงไปจนถึงสไตล์ หรือว่าการออกแบบงานศิลปะ (Art Design) สิ่งเหล่านี้มันจะมีความเป็นผมอยู่ในนั้น คือไม่รู้ว่าจะต้องพูดยังไง มันต้องลองดูจากผลงานเอาครับ (ถ้ายกมา 1 อย่าง?) ก็คงจะเป็นรายละเอียดแล้วกันครับ แล้วก็จะชอบใส่ความหมายเล็กๆ น้อยๆ ลงไปในรายละเอียด ไม่ใช่แค่ทำสวยๆ แล้วจบ”
คุณเคยเปรียบเทียบการทำงานเพลงโซโล่เหมือนกับการสร้าง “Start-up” ส่วนตัวหรือไม่? อะไรคือ “บทเรียนทางธุรกิจ” ที่ยากที่สุดที่คุณได้เรียนรู้?
แบมแบม : “การทำโซโล่เหมือน Start-up มั้ย ก็ใช่นะครับ มันเหมือนเป็นการเริ่มต้นอีกบท (Chapter) นึงนะครับ ก็เป็นเหมือนอีกเส้นทางหนึ่งที่ผมต้องไป ส่วน GOT7 ก็จะเป็นอีกทางหนึ่ง บทเรียนที่ยากสำหรับการทำโซโล่ มันก็ไม่ได้ยากนะครับ บทเรียนที่ได้จากการทำโซโล่ได้มั้ยครับ ก็คือเมื่อก่อนผมจะชอบเอาอ้างอิง (Reference) อันนู้น อันนั้นมา และพอเอามารวมกันก็ไม่ได้เป็นผมใช่มั้ยครับ เพราะผมเอาหลายๆ อันมาผสมกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากโซโล่มาแล้วรู้สึกว่ามันมีผลดีมากๆ ทั้งชีวิตส่วนตัว และชีวิตการทำงานของผม การเป็นตัวของตัวเองคือดีที่สุดครับ”
อะไรคือ “ความเสี่ยงทางอาชีพ” ที่คุณยอมรับมากที่สุดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นสิ่งที่คุณตัดสินใจเองแต่ยังไม่เคยมีใครทราบเบื้องหลังการตัดสินใจนั้น?
แบมแบม : “เขาก็รู้กันอยู่แล้ว ความรู้สึกผมหลังจากที่ทำโซโล่มาแล้ว ผมอยากได้การยอมรับจากผู้ฟังปกติของเกาหลีบ้าง ผมก็เลยเลือกที่จะไม่ได้อยู่ในด้านดนตรีเยอะมาก แล้วก็ไปออกพวกรายการวาไรตี้โชว์ประมาณ 2 ปี ซึ่งตอนนั้น Engagement หรือว่าคนเกาหลีเขารู้จักผมเยอะขึ้นมากๆ เลยครับ แล้วพอผมไม่ได้ออกจากประเทศเลย แฟนๆ ต่างชาติก็จะลดลงครับผม ซึ่งพอผมรู้สึกว่าโอเคเราทำถึงเป้าหมายที่เราอยากทำที่เกาหลีแล้ว ผมก็เลยเลิกออกรายการวาไรตี้โชว์แล้วก็กลับมาโฟกัสเรื่องเพลง และพยายามบาลานซ์ 2 อย่างนี้ให้เท่าๆ กัน แต่รู้สึกว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้วครับ มันไม่ได้ยากกว่านะครับ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำอะไรให้มันตลก ผมก็เป็นตัวของผมมา อะไรที่มันเป็นไวรัลในช่วงนั้นในแต่ละรายการ มันเป็นอะไรที่ผมคิดไม่ถึงเลยครับ ผมก็แค่พูดไปแบบนั้น แต่อยู่ดีๆ คนเกาหลีเขาก็ชอบกันมากๆ เขาบอกคุณพูดตรงไปตรงมาดี เขาคาดไม่ถึงว่าไอดอลจะพูดอะไรแบบนี้”
ในยุคที่ Soft Power ไทยกำลังมาแรง คุณคิดว่า “BamBam Brand” ในตลาดโลก ควรมีบทบาทในการเป็น “สะพานเชื่อม” มากกว่า “ผู้แทน” ของวัฒนธรรมไทยหรือไม่?
แบมแบม : “ผมว่ามันก็เป็นได้ทั้ง 2 อย่างเลย ได้มั้ย? ผมว่าผมก็เป็นทั้ง 2 อย่างเลยนะครับ เพราะรายการวาไรตี้ที่ผมจัดที่เกาหลีอย่าง ‘Bam House’ (รายการบ้านแบม) คนส่วนใหญ่ก็เป็นเกาหลีดูกันหมดเลย แต่ละตอนยอดวิวมันก็ดี อย่างตอนที่ผมตำส้มตำให้แขกรับเชิญทาน อันนั้นผมก็ว่าเป็นตัวแทนด้วย แบบตัวแทนในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทย แต่ว่าก็ยังเป็นสะพานเชื่อมอีกด้วยเพราะผมสามารถพูดได้ทั้ง 2 ภาษา ตอนที่ผมไปโชว์ต่างประเทศผมก็นำเพลงไทยไปร้อง และแฟนคลับคนอื่นถึงแม้เขาจะร้องไม่ได้ แต่เขาก็พยายามร้องตาม ผมว่าผมก็ไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้น แต่ว่าก็น่าจะทำอยู่ 2 อย่างในเวลาเดียวกัน”
การที่คุณเป็นศิลปินไทยคนแรกที่ได้ขึ้นแสดงที่ นครรัฐวาติกัน คุณรู้สึกว่า “พลังของดนตรี” ในบริบทที่ไม่ใช่ความบันเทิง นั้นยิ่งใหญ่กว่าที่คุณเคยจินตนาการไว้หรือไม่?
แบมแบม : “ตอนนั้นผมก็รู้สึกตื่นเต้นนะครับเอาจริงๆ มันน่าจะเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต (Once in a life time) ของผมเลย มันเป็นครั้งเดียว ครั้งแรก และน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยครับ เพราะว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้เขาไม่ได้เปิดให้ใครเข้ามาทำแบบนี้บ่อยๆ คือผมเป็นคนที่คิดว่าเสียงดนตรีมันมีพลังที่ทรงพลังมากๆ อยู่แล้ว ซึ่งถึงแม้เราจะฟังแต่ละภาษาไม่รู้เรื่อง แต่ว่าเสียงเพลงมันสามารถนำพาทุกคนมาอยู่ด้วยกัน และมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้ทุกคนรู้สึกคล้ายๆ กันได้ในเวลาเดียวกันระหว่างที่เราฟังเพลง ซึ่งแน่นอนว่ามันยิ่งใหญ่อยู่แล้ว การที่ได้เห็นทุกคนเอ็นจอยตรงนั้น ผมได้ยินเพลงของหลายๆ ภาษา และก็ในหน้าที่ของผมที่เป็นเอเชียคนเดียวที่ขึ้นแสดงอยู่ตรงนั้น นอกจากที่จะเป็นตัวแทนประเทศไทยแล้ว ก็ยังตัวแทนของ K-Pop และตัวแทนของคนเอเชียทุกคนด้วย ผมก็รู้สึกว่าถึงจะเป็นคนเอเชียก็ตาม แต่ว่าถ้าเราเลือกที่จะร้องภาษาบ้านเกิดเรามันน่าจะมีความหมายสำหรับคนที่รับชม และเราเองด้วยครับ”
คุณจัดการกับ “เสียงวิจารณ์” ที่เกิดขึ้นกับตัวคุณอย่างไร โดยเฉพาะเสียงที่มาจาก “ความคาดหวัง” ของสาธารณะที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ คุณมีวิธีสร้าง “เกราะป้องกันทางความคิด” อย่างไร?
แบมแบม : “ผมว่าผมไม่ได้สร้างเกราะป้องกันนะครับ ผมแค่ใช้เวลา (Take time) เฉยๆ นะครับ คือผมรู้อยู่แล้วว่าเขาคาดหวังกันเยอะ ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เรากำลังเตรียมอยู่มันไม่ได้ดีมากกว่ารอบที่แล้ว หรือรู้สึกว่ามันสู้อันเก่าไม่ได้ก็ไม่ต้องรีบปล่อยไปครับ ก็ค่อยๆ ทำมันไปเรื่อยๆ แก้มันไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะรู้สึกว่าอันนี้ดีกว่ารอบที่แล้วเยอะเลย เราพร้อมปล่อยและ คือถ้าเราควบคุมไทม์ไลน์ได้ เราก็ไม่จำเป็นที่ต้องกังวลสักเท่าไหร่ครับ”
ถ้าคุณต้องจัด “พิพิธภัณฑ์ชีวิต” ของแบมแบม มีวัตถุหรือของชิ้นไหนที่ดูธรรมดา แต่มีความหมายต่อ “การเปลี่ยนผ่าน” ครั้งสำคัญในชีวิตของคุณที่สุด?
แบมแบม : “ธรรมดาแต่ดูเปลี่ยนผ่านถึงความสำคัญหรือครับ ถ้าไม่ใช้สิ่งของแต่เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวได้มั้ยครับ ผมว่าน่าจะเป็นน้องแมวที่ผมเลี้ยงอยู่ เพราะก่อนที่จะมีน้องแมวมา ผมจะชอบเที่ยว ชอบเจอเพื่อน กลับบ้านดึก แต่พอมีน้องแมวมาผมรู้สึกว่าผมมีความรับผิดชอบมากขึ้น จากคนที่ชอบออกไปเที่ยวก็ไม่เที่ยวเลย อยู่แต่บ้าน ชอบอยู่สงบสุข แล้วก็รู้สึกเหมือนเรามีเวลาให้กับตัวเอง แล้วก็มีความรับผิดชอบมากขึ้นเยอะ ซึ่งหลังจากมีน้องแมวมาวิถีชีวิตดูเข้าที่เข้าทาง และก็มีระเบียบขึ้นมากๆ เลยครับ”
คุณมี “ความฝันที่กล้าหาญ” ในการทำงานแสดงที่ยังไม่เคยเปิดเผยหรือไม่? ถ้ามี คุณอยากร่วมงานกับผู้กำกับหรือนักแสดงไทยคนไหนมากที่สุด?
แบมแบม : “ผมอยากเล่นหนังผี ผมอยากเป็นผีครับ จริงนะครับ ถ้าเกิดแต่งหน้าเละแล้วผมว่าคงไม่ต้องเล่นอะไรเยอะ มันแค่ยืนเฉยๆ ก็ดูน่ากลัวแล้ว หรือเปล่า?”
สำหรับคอนเสิร์ตใหญ่ “2025 BamBam HOMETOWN Concert in Bangkok” ครั้งนี้ มีการเตรียมงานแต่ละจุดอย่างไรบ้าง และคาดหวังอย่างไรกับคอนเสิร์ตในครั้งนี้บ้าง?
แบมแบม : “ผมก็เตรียมทุกขั้นตอนเลยครับ ตั้งแต่ 0 ไปจนถึง 100 เลยครับ ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนะครับ ก็แค่ว่าถ้าเราทำดีที่สุด ผลมันจะออกมายังไง แต่ถ้าเกิดเราแฮปปี้กับงานเรา แค่นั้นก็ภูมิใจแล้ว และก็ฟูใจ (ใจฟู) เราแล้วครับ อย่างน้อยพอมันออกไปก็มีคนรับรู้แล้วว่าเราตั้งใจทำอะไรมา คือมันไม่ต้องคาดหวังมาก เอาที่เราสบายใจ เราชอบแบบนี้ เราจริงใจกับมันแล้ว เราทุ่มทุกอย่างแล้ว แต่เวลาที่ผมทำอะไรปล่อยออกมา ส่วนใหญ่ผลลัพธ์มันจะดี ก็เลยคิดว่ามันเดากันไม่ได้ การปล่อยผลงานแต่ละอัลบั้มมันก็เหมือนการพนัน ก็ต้องปล่อยมันไป ถ้าเกิดว่าผลลัพธ์ดีก็ถือว่าได้โบนัสครับ รอบนี้ก็ถือว่าโบนัสเยอะเลยครับ (ยิ้ม)”
ถ้าคุณสามารถส่งข้อความสั้น ๆ ไปให้ “แบมแบมในวัย 13 ปี” ที่กำลังฝึกที่ JYP ได้ ข้อความนั้นจะเป็นอะไร?
แบมแบม : “ถูกทางแล้ว แล้วก็อีกอันนึง อย่าใส่สกินนี่ยีนส์ (ยิ้ม) อย่าใส่ขาเดฟ อ่ะอีกอันนึง ออกกำลังกายให้มันเร็วๆ”
อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณเชื่อว่าคุณยังเป็น “กันต์พิมุกต์” คนเดิม ไม่ใช่แค่ “แบมแบม” ที่โลกอยากเห็น คุณรักษาความสมดุลระหว่างสองตัวตนนี้อย่างไร?
แบมแบม : “จริงๆ มันต้องสลับกันนะครับ อะไรคือสิ่งที่ทำให้ “แบมแบม” จากสิ่งที่คนอยากเห็น กลายมาเป็น “กันต์พิมุกต์” ในวันนี้ ไม่รู้สิผมเหนื่อยปลอม (Fake) อ่ะครับ เป็นตัวของตัวเองดีกว่า ผมว่าค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่รู้สึกว่าหลังจากที่ได้มาเป็นตัวของตัวเอง ผมรู้สึกว่าชีวิตผมมันดีขึ้นมากๆ เลย ทั้งเรื่องการงาน และชีวิตส่วนตัวครับ ถ้าผมไม่เป็นตัวเอง ผมว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำมาตั้งแต่ NBA (ศึกบาสเกตบอล NBA) ราชมัง (ราชมังคลากีฬาสถาน) นครรัฐวาติกัน หรือว่าอัลบั้มไทย มันจะไม่เกิดขึ้นเลยนะครับ อย่างมิวสิควิดีโอแบบที่เราเพิ่งปล่อยไปมันก็จะไม่มี ผมก็จะทำแต่สิ่งที่คนอยากดู ทำแต่อะไรที่เซฟๆ ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นเลย แล้วถ้าต้องอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมว่าชีวิตอาจจะอยู่ได้ไม่ยาวครับ”
ถ้า GOT7 เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง “บทนำ” ของความสัมพันธ์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน และต่อเนื่องนี้ คุณอยากให้ถูกเขียนว่าอย่างไร?
แบมแบม : “เขียนว่ายังไงหรอครับผม หนังสือเล่มนี้จะมีความวุ่นวาย (หัวเราะ) จะมีหลายๆ ประสบการณ์ขึ้นๆ ลงๆ (Up down) แต่จบแบบมีความสุข (Happy Ending) ประมาณนี้ครับ”
อะไรคือความรู้สึกที่ยากที่สุดในการทำเพลงหรือทำกิจกรรมวงในปัจจุบัน เมื่อตารางงานของแต่ละคนต่างกันอย่างสิ้นเชิง และพวกคุณหาจุดร่วมของความเป็น GOT7 ได้อย่างไร?
แบมแบม : “จริงๆ มันก็หลายอย่างนะครับ ผมว่าเรื่องงานเดี่ยวของแต่ละคนผมไม่เป็นห่วงหรอกครับ เพราะว่าแต่ละคนก็ตั้งใจทำกันอย่างมากๆ ไม่ว่าจะไปไหนทุกคนก็ยังบอกตัวเองตลอดว่าเราก็คือ “GOT7” มันคือความจงรักภักดี (Loyalty) มันคือครอบครัวที่สอง ที่ถึงแม้เราจะอยู่ต่างค่ายกันแต่ว่ายังไงเราก็ยังคุยกันยังติดต่อกันตลอดเวลาเหมือนเดิมอยู่แล้วครับ ส่วนเรื่องคัมแบ๊กวงสิ่งที่ยากที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่องเวลานี่แหละครับ การที่จะหาไทม์ไลน์ 4-5 เดือนที่ทุกคนสามารถมาเตรียมอัลบั้มด้วยกันได้มันยากจริงๆ แล้วก็ตอนนี้น้องเล็กเรา (ยูคยอม) ก็เพิ่งจะเข้ากรมทหารไป ก็คงต้องอีกสักพักนึงเลย ก็คงยังไม่ได้มีอะไรออกมานะครับ เรื่องไทม์ไลน์ผมว่าน่าจะยากสุด”
ถ้าลองย้อนมุมมองความรักในวัยเด็กของคุณ แตกต่างจาก “ความรักในปัจจุบัน” ที่เติบโตขึ้น ผ่านประสบการณ์ชีวิตและการทำงานที่เข้มข้นขึ้นอย่างไรบ้าง?
แบมแบม : “คำถามเขินจัง (หัวเราะ) ผมว่าในวัยเด็กผมก็จะ คือผมก็ยังไม่รู้หรอกครับ ผมก็รู้สึกว่าใครดีกับเรา เราก็ดีกับเขา หรือว่าบางทีเขาไม่ดีกับเรา แต่เราก็ยังอยากที่จะเอาใจเขา แต่ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในเชิงของเพื่อนร่วมงาน หรือความสัมพันธ์ในเชิงของเพื่อนๆ หรือในอนาคตความสัมพันธ์ของคู่รักอะไรก็ตาม ผมรู้สึกว่าตลอดทุกอย่างที่ผ่านมา คือไม่ควรที่จะไปเปลืองพลังงานดีๆ ให้กับคนที่ไม่ได้จริงใจกับเรา รู้สึกว่าเราจะรักใครในรูปแบบไหนก็ได้ แต่อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าเขารักเรากลับด้วย ถึงจะมีการแชร์พลังงานกัน ไม่ใช่เราเอาพลังงานของเราไปให้เขาฝ่ายเดียว น่าจะประมาณนี้”
คำว่า “สำเร็จ” สำหรับแบมแบม ณ วันนี้คืออะไร และเป้าหมายต่อไปของคุณคืออะไร?
แบมแบม : “ผมไม่รู้เหมือนกันครับ มันมีลิมิตของความสำเร็จด้วยหรอ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมอยู่ในช่วงไหนแล้ว แต่ว่าถ้าทุกคนยอมรับในตัวตนจริงๆ ของแบมแบม ยอมรับในทักษะของผม ยอมรับในผลงานผม ไม่ว่าจะเป็นส่วนมาก หรือส่วนน้อย อันนั้นมันก็ถือว่าสำเร็จแล้วนะครับ ถ้าสำหรับผมนะ ไม่จำเป็นต้องดัง หรือมีแฟนคลับแบบเยอะมากมาย หรือโฆษณาเต็มบ้านเต็มเมือง อันนั้นมันก็ถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งได้ แต่คือสำหรับผมแล้วผมว่ามันก็ดีที่เป็นแบบนั้น แต่ว่าความสำเร็จจริงๆ มันคือเรายังได้ทำในสิ่งที่เรารักอยู่จนมาถึงทุกวันนี้ได้โดยที่ไม่มีใครเข้ามาห้าม”
หลังจากประสบความสำเร็จในหลายมิติแล้ว “แรงขับเคลื่อน” ที่ทำให้คุณตื่นขึ้นมาพร้อมกับแรงบันดาลใจในการทำงานที่ท้าทายทุกวันคืออะไร?
แบมแบม : “นาฬิกาปลุกครับ (หัวเราะ) ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกปุ๊บ ทำงาน ลุยครับผม คือผมก็จะมีความคิดแบบนี้นะครับ ถ้าเกิดผมนอนน้อยขึ้น (นอนน้อยลง) คนที่ผมแคร์ เขาจะนอนสบายมากขึ้น เข้าใจมั้ยครับผม อาจจะเป็นเพื่อนๆ ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงาน ยิ่งเรานอนน้อย คนรอบตัวเราก็จะยิ่งสบาย แต่เดี๋ยวจะมีสักวันที่ผมนอนเยอะกว่าพวกเขา อาจจะยังไม่ใช่ตอนนี้”
บทสัมภาษณ์นี้ได้ฉายภาพ “กันต์พิมุกต์” ในแบบที่ซื่อสัตย์ที่สุด เขาคือผู้ที่ใช้ความจริงใจในการทำงานรายการวาไรตี้จนเป็นไวรัลโดยไม่คาดคิด และใช้ความรับผิดชอบที่ได้จากชีวิตส่วนตัว โดยมี “น้องแมว” เป็นจุดเริ่มต้น มาขับเคลื่อนชีวิตการงานสิ่งที่เขาทำวันนี้คือการ “บาลานซ์” อย่างต่อเนื่องระหว่างการเป็น “ศิลปิน” ที่ประสบความสำเร็จกับการเป็น“มนุษย์” ที่กำลังเติบโต ความสำเร็จในปัจจุบันของแบมแบมจึงไม่ใช่แค่ชื่อเสียงหรือเงินทอง แต่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า “การเป็นตัวของตัวเอง” นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ดังที่เขาย้ำว่าหากเขาไม่เป็นตัวเอง ทุกความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่ผ่านมาคงไม่เกิดขึ้น
จาก “นาฬิกาปลุก” ที่ปลุกให้ตื่นขึ้นมาทำงานหนักเพื่อคนที่รัก ไปจนถึงการยอมรับความเสี่ยงด้วยการลดงานเพลงเพื่อพิชิตใจผู้ฟังเกาหลี แบมแบมได้แสดงให้เห็นว่าการอยู่รอดอย่างยั่งยืนในวงการนี้คือการเลือก “ความจริงใจ” เหนือ “ความปลอดภัย” โดยใช้ “เวลา” เป็นเกราะป้องกันความคาดหวังของสาธารณะ เพื่อให้ “กันต์พิมุกต์” สามารถสร้างสรรค์งานศิลปะของ“แบมแบม” ต่อไปได้โดยไม่มีใครเข้ามาห้าม ความรักในปัจจุบันของเขาจึงไม่ใช่การทุ่มเทพลังงานให้ฝ่ายเดียว แต่เป็นการ “แชร์พลังงาน” ที่เต็มไปด้วยความจริงใจ และความเชื่อมั่นใน “อากาเซ่” ที่ยังคงอยู่เคียงข้างในวันที่ตกต่ำที่สุด ตอกย้ำนิยามความสำเร็จที่แท้จริงของเขา “การยังคงได้ทำในสิ่งที่รักอยู่จนมาถึงทุกวันนี้”
คอลัมน์ “SeoulStation”
โดย “นูน่าเมี้ยน”