โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

‘กบฏนักมวย’ ประวัติศาสตร์ที่คนจีนยากจะลืมเลือน เมื่อชาวรากหญ้าหาญกล้าลุกขึ้นต่อกรผู้รุกราน 8 ชาติ

THE STATES TIMES

อัพเดต 16 พ.ย. 2567 เวลา 03.26 น. • เผยแพร่ 16 พ.ย. 2567 เวลา 04.00 น. • ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

วลีที่ว่า "ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ" มักจะเป็นจริงเสมอ ดังที่ปรากฏในบันทึกของประเทศนักล่าอาณานิคมตะวัตกที่ล่าเมืองขึ้นเพื่อดินแดนและทรัพยากรของอาณานิคมที่ตนครอบครอง เรื่องราวของ "‘กบฏนักมวย’ (Boxer Rebellion)" ก็เช่นเดียวกัน หากเราท่านได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของจีนที่เกี่ยวข้องโดยละเอียดแล้ว จะพบว่า ข้อเท็จจริงคือ ‘กบฏนักมวย’ เป็นการต่อสู้ของชาวจีนผู้รักชาติกับพันธมิตร 8 ชาติที่รุกรานจีน อย่างที่เคยเขียนในหลายบทความให้ท่านผู้อ่านได้ทราบแล้วว่า การล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกและตะวันออกบางประเทศ คือ การปล้นแผ่นดินดี ๆ นั่นเอง ซึ่งเป็นการกระทำเยี่ยงเดียวกับโจรที่ชอบตามกฎหมายของประเทศแม่ของ ‘นักปล้น’ เหล่านั้น

‘กบฏนักมวย’ (Boxer Rebellion) หรือ “ศึกพันธมิตรแปดชาติ” เป็นการต่อต้านจักรวรรดินิยมและคริสต์ศาสนา ของชาวจีนซึ่งนำโดย "สมาคมอี้เหอถวน" ในศตวรรษที่ 19 ชาวต่างชาติได้เข้ามาค้าขายในประเทศจีนเป็นจำนวนมาก เมื่อนานเข้าก็เริ่มมีบทบาทและอิทธิพล มีการส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยและมิชชันนารีเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในจีน ความวุ่นวายได้เริ่มขึ้นที่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองชานตง อันเนื่องจากปัญหาที่ดินของวัดพุทธและโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก มิชชันนารีได้ร้องเรียนว่า ที่ดินของวัดผืนหนึ่งเป็นของตนมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิคังซีแล้ว แต่ได้ถูกทิ้งร้างไปนาน ชาวบ้านในท้องถิ่นรู้สึกว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่เป็นธรรมกับตน เพราะเดิมเป็นวัดประจำหมู่บ้านแต่ต้องมาสร้างโบสถ์ในที่ดินของวัดแทนที่ จึงเกิดการจลาจลขึ้น โดยชาวบ้านได้จับมิชชันนารีเป็นตัวประกัน ทำลายโบสถ์นั้นและก่อการกบฏขึ้น ทั้งมีการจับกุมชาวอังกฤษในพื้นที่อีกด้วย

ทหารจีนในกองทัพหลวงของรัฐบาลราชวงศ์ชิง

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการรวมกลุ่มของชาวจีนผู้รักชาติซึ่งเรียกว่า ‘กบฏนักมวย’ ขึ้น อันเป็นขบวนการของชนชั้นรากหญ้าซึ่งออกโจมตีและสังหารผู้ถือสัญชาติต่างประเทศ ทั้งชาวต่างประเทศที่เป็นหมอสอนศาสนา (มิชชันนารีชาวตะวันตก) และชาวจีนที่เป็นคริสต์ศาสนิก และเผาโบสถ์ ฯลฯ ทั่วทั้งภาคเหนือของประเทศจีน ตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2442-43 (ค.ศ. 1899 - 1900) โดยนักมวยจีนจะฝึกกังฟูด้วยเชื่อว่าจะสามารถต่อสู้กับผู้รุกรานจาก ยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่นได้ ‘กบฏนักมวย’ได้ทำการลอบสังหาร และประณามชาวต่างชาติ โดยได้รับการสนับสนุนจากพระพันปีฉือสี่ (พระนางซูสีไทเฮา) ทั้งส่งกองทัพหลวงซึ่งมีกำลังราวหนึ่งแสนนาย ช่วยสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ หลังจาก ‘กบฏนักมวย’ ถูกปราบได้ไม่นานราชวงศ์ชิงก็ถูกโค่นล้ม

Clemens von Ketteler บาทหลวงชาวเยอรมัน

หลังจากจีนแพ้สงครามจีน-ญี่ปุ่น จักรพรรดิกวางสูจึงทรงทำการปฏิรูปร้อยวัน ทำให้พระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) ทรงเข้ายึดพระราชอำนาจแล้วนำจักรพรรดิกวางสูขังไว้ และทรงร่วมมือกับ ‘กบฏนักมวย’ซึ่งมีความคิดอนุรักษนิยมเช่นเดียวกับพระนาง จนประมาณเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) ‘กบฏนักมวย’ได้ต่อสู้กับกองกำลังนานาชาติในเมืองเทียนจินและกรุงปักกิ่ง ทางสถานทูตสหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม, เนเธอร์แลนด์, สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย และญี่ปุ่น ที่อยู่ในสถานทูตในกรุงปักกิ่ง ได้นำกำลังมาปิดล้อมพระราชวังต้องห้าม การกระทำเช่นนี้ทำให้ ‘กบฏนักมวย’ จึงได้สังหาร Clemens von Ketteler บาทหลวงชาวเยอรมัน ในวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) วันต่อมาพระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) ทรงประกาศสงครามกับชาวต่างชาติเพื่อเป็นการต่อต้านอำนาจของชาวต่างชาติ แต่พวกข้าหลวงตามหัวเมืองกลับปฏิเสธการประกาศสงคราม ทั้งพวกปัญญาชนในเมืองเซี่ยงไฮ้ก็ยังได้ให้ความช่วยเหลือข้าหลวงในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีนที่ต่อต้านการประกาศสงครามด้วย

สมาชิกของกลุ่มกบฎนักมวย ซึ่งมีทั้งหมดราว 300,000 คน

รัฐบาลของราชวงศ์ชิงและกองทัพสนับสนุนการปฏิบัติการของบรรดา ‘กบฏนักมวย’ ซึ่งมีราว 200,000 คน ทั้งยังยินยอมให้กองกำลัง’กบฏนักมวย’ ซึ่งนำโดยพลเอก หรง ลู่ (ขุนนางและรัฐบุรุษของจีนในยุคปลายราชวงศ์ชิง) เข้าปิดล้อมทูตานุทูตและพลเรือนต่างชาติซึ่งหลบภัยอยู่ในเขตค่ายพักของสถานอัครราชทูตต่างชาติในกรุงปักกิ่ง พันธมิตรกองทัพต่างชาติพยายามป้องกันค่ายดังกล่าวภายใต้คำสั่งของบาทหลวงชาวอังกฤษ เมื่อ’กบฏนักมวย’บุกเข้าไปในกรุงปักกิ่งได้สังหารชาวจีนที่เป็นคริสเตียนกว่าหนึ่งหมื่นคนและจับกุมชาวต่างชาติไปเป็นเชลยจำนวนมาก ข่าวการจลาจลจำนวนมากถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ทั้งใน จีน ญี่ปุ่น ยุโรปและอเมริกา

การบุกครั้งแรกภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้าย กองกำลังพันธมิตรแปดชาติประมาณ 2,000 คน ภายใต้การบัญชาการของนายพลเอ็ดเวิร์ด เซมอร์ ได้ส่งกำลังไปกรุงปักกิ่ง โดยการเดินทางจากท่าเรือต้ากูไปเมืองเทียนจินนั้นได้รับความร่วมมืออย่างดีจากข้าหลวงเมืองเทียนจินเป็นอย่างดี แต่การเดินทางจากเทียนจินไปกรุงปักกิ่งนั้นมีการตรวจตราชาวต่างชาติอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตามนายพลเซมอร์ก็สามารถนำทหารเดินเท้าเข้ากรุงปักกิ่งสำเร็จจนได้ แต่กองกำลังดังกล่าวถูกฝ่าย’กบฏนักมวย’ล้อม และทางรถไฟหลายสายถูกทำลาย ในที่สุดนายพลเซมอร์จึงตัดสินใจถอยกำลังกลับเมืองเทียนจินในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900)

การบุกครั้งที่สอง หลังจากนายพลเซมอร์ถอยทัพกลับเมืองเทียนจินแล้ว ทางกองกำลังนานาชาติจึงระดมกำลังทหารขึ้นมาใหม่ และในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1900 กองกำลังนานาชาติได้สร้างป้อมปราการขึ้นใกล้เมืองเทียนจินและท่าเรือต้ากูขึ้น ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) กองกำลังพันธมิตรแปดชาติ (อังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลียของอังกฤษ อินเดียของอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรีย-ฮังการี อิตาลี และญี่ปุ่น) ประมาณ 51,755 นาย ภายใต้การบัญชาการของนายพลอัลเฟรด แกสลี ประกอบด้วยกำลังจากญี่ปุ่น รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อิตาลี และออสเตรีย-ฮังการี ได้ยึดเข้ายึดเมืองเทียนจินในวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) จากนั้นจึงยกกำลังจากเมืองเทียนจิน มายังกรุงปักกิ่ง และได้สู้รบกับกองทัพรัฐบาลของราชวงศ์ชิงหลายครั้งจนมีชัยชนะ สามารถปราบปราม’กบฏนักมวย’และเลิกการปิดล้อมได้เป็นผลสำเร็จ เชลยทั้งหมดก็ถูกปลดปล่อย ในที่สุดกองกำลังพันธมิตรแปดชาติจึงเข้ายึดและปล้นกรุงปักกิ่ง ครั้งนั้นกองกำลังพันธมิตรแปดชาติมีกำลังราว 45,000 คน ที่สุดแล้ว รัฐบาลของราชวงศ์ชิงต้องยอมสงบศึกด้วยการทำพิธีสารนักมวยในปี พ.ศ. 2444 (ค.ศ. 1901)

เมื่อกองทัพพันธมิตรแปดชาติบุกและยึดกรุงปักกิ่งเป็นผลสำเร็จเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) บทความวิจัยของ Kenneth Clark นักประวัติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงของอังกฤษ ระบุว่า "หลังจากยึดกรุงปักกิ่งได้ ทหารจากกองทัพพันธมิตรแปดชาติก็ปล้นสะดมกรุงปักกิ่ง ทั้งยังปล้นชิงพระราชทรัพย์จากพระราชวังต้องห้าม ได้สมบัติจากจีนแล้วขนกลับไปยุโรปมากมาย" พระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) พร้อมด้วยจักรพรรดิกวางสู กษัตริย์จีน และเหล่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่พากันหลบหนีจากพระราชวังต้องห้ามไปยังเมืองซีอานก่อนหน้าแล้ว และทรงส่งหลี่ หงจาง ราชครู มาเจรจาสงบศึกกับกองทัพพันธมิตรแปดชาติในเวลาต่อมา ในระหว่างและภายหลังการจลาจล มีผู้คนซึ่งไม่ทราบจำนวนซึ่งเชื่อกันว่า เป็นพวกนักมวยถูกตัดศีรษะ เรื่องนี้นิยมนำมาทำเป็นภาพยนตร์สั้นในยุคแรก ๆ กันมาก แต่แม้มีภาพถ่ายยืนยัน พันธมิตรแปดชาติก็ยังคงปฏิเสธการกระทำดังกล่าวมาจนทุกวันนี้

จากบันทึกของนาวิกโยธินอเมริกันนายหนึ่งบันทึกว่า "เขาเห็นเหล่าทหารเยอรมันและรัสเซียเอาดาบปลายปืนแทงสตรีตายหลังจากข่มขืนกระทำชำเราพวกนาง" นอกจากนี้แล้วยังกล่าวกันว่า ในกรุงปักกิ่ง ‘ฝาน กั๋วเหลียง’ (Pierre-Marie-Alphonse Favier) มุขนายกชาวฝรั่งเศสออกประกาศซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 ถึง 26 สิงหาคม พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) ว่า คริสต์ศาสนิกชนคาทอลิกสามารถลักทรัพย์ตามที่จำเป็นเพื่อประทังชีวิตก็ได้ และการลักเงิน 50 ตำลึงหรือต่ำกว่านั้น ไม่ต้องแจ้งและไม่ต้องใช้คืน แต่ตัวมุขนายกปฏิเสธเรื่องนี้
ความสูญเสีย
- พันธมิตรแปดชาติ: ทหาร 2,500 นาย ชาวต่างชาติ 526 คน และชาวคริสต์จีนอีกนับหมื่นคน
- จีน: กลุ่ม ‘กบฏนักมวย’ "ทั้งหมด" (ราว 200,000 คน)
- ทหารกองทัพรัฐบาลของราชวงศ์ชิง 20,000 นาย
* มีพลเรือนชาวจีนเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ราว 20,000 คน

พิธีสารนักมวย (Boxer Protocol) หรือชื่ออย่างเป็นทางการในโลกตะวันตกว่า "พิธีสารสุดท้ายว่าด้วยการระงับความวุ่นวายระหว่างออสเตรีย-ฮังการี เบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมนี บริเตนใหญ่ อิตาลี ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ รัสเซีย สเปน สหรัฐ กับจีน ค.ศ. 1900 (Austria-Hungary, Belgium, France, Germany, Great Britain, Italy, Japan, Netherland, Russia, Spain, United States and China—Final Protocol for the Settlement of the Disturbances of 1900)" และชื่ออย่างเป็นทางการในประเทศจีนว่า" พิธีสารซินโฉ่ว" เป็นพิธีสารซึ่งลงลายมือชื่อกัน ณ วันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1901 ระหว่างจักรวรรดิชิง ในสมัยพระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) ฝ่ายหนึ่ง กับพันธมิตรแปดชาติ (ออสเตรีย-ฮังการี ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐ) เบลเยียม สเปน และเนเธอร์แลนด์ อีกฝ่ายหนึ่ง ภายหลังกองทัพพันธมิตรแปดชาติสามารถปราบ’กบฏนักมวย’ในประเทศจีนได้สำเร็จ โดยจีนถือว่า พิธีสารนี้เป็นหนึ่งในบรรดาสนธิสัญญาที่เอารัดเอาเปรียบ (Unequal treaties) โดยพระพันปีฉือสี่ (พระนาซูสีไทเฮา) มีพระราชเสาวนีย์ตั้งเจ้าชายชิง ซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดี (Prime Minister) และหลี่หงจาง ซึ่งเป็นราชครู (Grand Tutor) ให้เป็นผู้มีอำนาจเต็มในการลงลายมือชื่อในพิธีสารนี้สำหรับจักรวรรดิชิง ส่วนฝ่ายพันธมิตรแปดชาติและพวกนั้นมี Bernardo de Cólogan y Cólogan และ Alfons Mumm von Schwarzenstein ลงลายมือชื่อในนามของสเปน Ernest Satow ในนามของบริเตนใหญ่ และ Komura Jutarō ในนามของญี่ปุ่น ตามลำดับ ใจความสำคัญเรียกร้องให้ผู้นำการก่อจลาจลที่จะได้รับลงโทษ และการชำระเงินเยียวยาแก่ประเทศที่ได้รับเสียหาย

ทหารของกองกำลังพันธมิตรแปดชาติ (อังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลียของอังกฤษ อินเดียของอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรีย-ฮังการี อิตาลี และญี่ปุ่น)

ผลจากการกระทำของประเทศตะวันตกเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่จนทุกวันนี้จีนไม่ได้เชื่อถือหรือไว้วางใจชาติตะวันตกเลย แม้ว่า สภาพอาณานิคมในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ ไทยจะหมดไปนานแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงทิ้งบาดแผล ปัญหา และความขัดแย้งอยู่จนบัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งของกลุ่มชนชาติต่าง ๆ ในเมียนมาร์ ความขัดแย้งในอินโดนีเซีย ปัญหาเขตแดนระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ฯลฯ กรณีพิพาทมากมายหลายเรื่องในภูมิภาคนี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากผลพวงของชาติมหาอำนาจตะวันตกอดีตเจ้าอาณานิคมทั้งสิ้น ทั้งนี้ สังคมไทยในปัจจุบันเองได้มีความพยายามในการบิดเบือนประวัติศาสตร์ เพื่อนำมาใช้ปลุกปั่นให้เยาวชนหลงผิดคิดว่า การที่ไทยเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เป็นสาเหตุทำให้ประเทศล้าหลังมาถึงทุกวันนี้ คนไทยพูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ ระบบราชการก็ไม่ดี เช่นนี้แล้วเป็นประเทศอาณานิคมดีกว่า หลายคนเทิดทูนบูชาฝรั่งจนอยากให้ไทยเป็นอาณานิคมเลยทีเดียว หากแต่ได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ของประเทศอดีตอาณานิคมในภูมิภาคอาเซียนแล้ว จะพบว่า ลัทธิล่าอาณานิคมนั้น ประเทศเจ้าอาณานิคมเป็นผู้ได้เพียงฝ่ายเดียว ในขณะที่ประเทศที่เป็นอาณานิคมแทบจะไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และรากเหง้าของตนเอง ทั้ง ๆ ที่ ความเจริญก้าวหน้าของชาติบ้านเมืองนั้น อยู่ที่การพัฒนาตนเองทั้งความคิดและพฤติกรรม ซึ่งจะทำให้คนในสังคมจะสามารถกำหนดอนาคตของชาติให้เป็นไปอย่างไรต่อไป

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...