ใครได้ ใครเสีย? เมื่อไทยและกัมพูชาเปิดศึกกันตอบโต้กันผ่านมาตรการระหว่างประเทศ
การปะทะกันทางทหารจุดเล็กๆ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2025 ที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี บริเวณสามเหลี่ยมมรกต กำลังลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งในเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ ไทยและกัมพูชาต่างงัดมาตรการทางเศรษฐกิจและการทูตออกมาใช้กันอย่างดุเดือด สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั้งสองประเทศมากขึ้นทุกที จนน่าวิตกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่รักคู่แค้นกันมานานอาจจะต่อสู้กันจนพังพินาศล่มจมทั้งคู่ก็เป็นได้
ในประเทศซึ่งผู้นำมีวิสัยทัศน์และมีวุฒิภาวะเพียงพอ การปะทะกันทางทหารเพียง 10 นาทีในพื้นที่พิพาทไม่กี่ร้อยตารางเมตร สามารถยุติได้อย่างรวดเร็วด้วยกลไกของความสัมพันธ์ระดับท้องถิ่น ไม่สมควรที่ความขัดแย้งจะได้รับการขยายวงออกไปกว้างไกลอย่างที่ไทยและกัมพูชากำลังทำกันอยู่ในขณะนี้
เรื่องทั้งหมดควรจะจบลงตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน เมื่อ เสรย ดึก ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชาได้พบกับ พลตรีสมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และ พลตรีณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อหารือและเห็นชอบการปรับการวางกำลังให้กลับไปสู่แนวเดิมเมื่อปี 2567 พร้อมทั้งกลบสนามเพลาะที่ช่องบกคืนสู่สภาพเดิม เพื่อสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC) และเห็นพ้องให้ใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเป็นช่องทางหารือการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่องในอนาคต
น่าผิดหวังที่ประเทศไทยซึ่งดูน่าจะมีวุฒิภาวะสูงพอ กลับเริ่มต้นขยายความขัดแย้งด้วยการคงสภาพการปรับเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดนหลายจุดตลอดแนวพรมแดนที่ประกาศเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน เท่านั้นยังไม่พอ ยังสำทับอีกว่าจะตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตที่จ่ายให้กับกัมพูชา
มาตรการที่เป็นเสมือนการข่มขู่เช่นนั้นประสานสมทบกับเสียงจากฝ่ายค้านและกลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวาในไทย เร่งเร้าให้รัฐบาลดำเนินมาตรการที่เด็ดขาดกว่านี้ เพื่อแสดงจุดยืนว่าประเทศไทยไม่อ่อนข้อให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นประเทศราช และบังอาจ ‘เหิมเกริมรุกล้ำอธิปไตยไทย’
แต่ยังไม่ทันที่ทางการไทยจะได้ทำตามคำขู่ ฝั่งกัมพูชาตอบโต้กลับอย่างรวดเร็ว นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ประกาศเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ระงับการซื้อสัญญาณอินเทอร์เน็ตและกระแสไฟฟ้าบางส่วนจากประเทศไทย
และเมื่อเห็นว่าการเมืองภายในของไทยระส่ำระสายเพราะเหตุแห่งการปล่อยคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร และ อดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ฝ่ายกัมพูชาก็รู้ได้ทันทีว่ารัฐบาลไทยคงจะต้องปล่อยให้กองทัพเป็นผู้ควบคุมการออกมาตรการต่างๆ ได้โดยเสรี ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการยื่นดาบให้ฝ่ายกัมพูชาโดยแท้
ดังนั้นเมื่อกองทัพภาคที่ 2 ประกาศปิดด่านที่ช่องสายตะกู จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ฝ่ายกัมพูชาจึงโต้ตอบทันทีด้วยการปิดจุ๊บโกกี (ตรงข้ามช่องสายตะกู) และช่องจวม (ตรงกันข้ามช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ) และเปิดเกมรุกต่อเนื่องด้วยการระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากประเทศไทยโดยสิ้นเชิงในวันที่ 22 มิถุนายน โดยให้เหตุผลว่า กัมพูชาสามารถจัดหาน้ำมันจากแหล่งอื่นได้เพียงพอ ขณะเดียวกันก็เริ่มมีการรณรงค์ในโซเชียลมีเดียให้ประชาชนเลิกซื้อสินค้าไทย ไม่รับชมละครไทย และหันไปสนับสนุนสินค้าท้องถิ่น
ขณะที่รัฐบาลและกองทัพทั้งสองประเทศต่างแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อกัน ประชาชนในพื้นที่ชายแดนซึ่งต้องพึ่งพาการค้าข้ามแดนและพลังงานราคาถูกกลายเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ชาวบ้านจำนวนมากขาดรายได้จากการค้าขายและการเดินทางเข้าออกด่านไม่สะดวก พ่อค้าแม่ค้าสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจทันทีโดยไม่มีมาตรการเยียวยาใดๆ จากภาครัฐ
เมื่อพิจารณาจากตัวเลขการค้าชายแดนไทย–กัมพูชาในปี 2024 ที่มีมูลค่ากว่า 174,000 ล้านบาท โดยไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าอย่างชัดเจน ย่อมกล่าวได้ว่า ไทยมีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจเหนือกัมพูชาอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งบริษัทมหาชนของไทยอย่าง ปตท. ยังครอบครองตลาดน้ำมันปลายน้ำในกัมพูชาอยู่จำนวนมาก
แต่ในระบบเศรษฐกิจของโลกยุคปัจจุบันที่เชื่อมโยงและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอย่างมากนั้น จะต้องพิจารณาโดยรอบคอบด้วยว่า การที่บริษัทของไทยสามารถขายสินค้าให้กัมพูชาได้มาก ก็หมายความว่ามีรายได้จากกัมพูชามากด้วยเช่นกัน อีกทั้งคู่ค้าที่มีกำลังซื้อขนาดนี้ย่อมมีทางเลือกในการใช้สินค้าและบริการจากที่อื่นไม่น้อยเลยทีเดียว
ดังนั้นแล้วฝ่ายกัมพูชาสามารถพลิกสถานการณ์ด้วยการชิงลงมือก่อน นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต การสั่งห้ามนำเข้าน้ำมันจากไทยเสียเอง การเคลื่อนไหวเช่นนี้เปลี่ยนสถานะของกัมพูชาจากผู้ถูกกระทำมาเป็นผู้ควบคุมเกม ทั้งยังตอกย้ำภาพของผู้นำที่กล้าหาญและไม่ยอมถูกข่มในสายตาของประชาชนภายในประเทศ
และเพื่อเป็นการป้องกันความตื่นตระหนกของประชาชนชาวกัมพูชา กระทรวงพลังงานได้ออกประกาศทันทีว่า กัมพูชามีสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซเพียงพอสำหรับความต้องการในประเทศ พร้อมกันนั้น บรรดานักวิเคราะห์ชาวกัมพูชาก็ออกมาให้ข้อมูลกับประชาชนว่า ผู้ที่เดือดร้อนจากมาตรการนี้คือผู้ประกอบการธุรกิจพลังงานของไทยเอง
กัมพูชานำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันแร่ น้ำมัน และผลิตภัณฑ์กลั่นต่างๆ จากประเทศไทยรวมมูลค่า 738.11 ล้านดอลลาร์ โดยในจำนวนนี้เป็นน้ำมันปิโตรเลียมถึงเกือบ 92 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นมูลค่า 679 ล้านดอลลาร์ในปี 2023
ดุจ ดาริน (Duch Darin) นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังของกัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับ Khmer Times ว่า ข้อเสนอของพรรคฝ่ายค้านไทยที่ให้หยุดส่งออกน้ำมันไปยังกัมพูชานั้น ไม่เพียงแต่เป็นการยั่วยุทางการเมือง แต่ยังขาดวิสัยทัศน์ในทางเศรษฐกิจ
“ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมากกว่าหากดำเนินนโยบายนี้จริง เพราะกัมพูชาได้รับการจัดส่งน้ำมันจากบริษัทร่วมทุนระหว่างประเทศหลายแห่งอยู่แล้ว ได้แก่ Caltex, Total Energies, Sokimex และ Tela ซึ่งต่างมีเครือข่ายทั่วประเทศ” เขากล่าว และเสริมว่า “บริษัททั้งสี่รายนี้ทำให้ตลาดน้ำมันในกัมพูชามีความหลากหลายและมีการแข่งขันสูง สามารถปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานได้อย่างรวดเร็วตามสถานการณ์”
หากวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ในภาพรวมแล้ว จะเห็นได้ว่าไทยมีจุดแข็งทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบโลจิสติกส์ พลังงาน และตลาดส่งออก แต่กลับมีจุดอ่อนสำคัญคือความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาล การเมืองภายในที่เปราะบาง และการตอบโต้ที่ขาดกลไกการประเมินผลกระทบล่วงหน้า
ตรงกันข้ามกับกัมพูชา แม้จะมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและการพึ่งพิงสินค้าไทยสูง แต่กลับได้เปรียบเรื่องการเมืองภายใน ด้วยอำนาจรัฐที่รวมศูนย์และสามารถระดมมาตรการตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังควบคุมกระแสสื่อและวาทกรรมสาธารณะได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด
มาตรการของไทย เช่น การปิดด่านชายแดน ตรวจเข้มสินค้านำเข้า และขู่ว่าจะตัดไฟฟ้า อาจสะใจฝ่ายขวาและสื่อกระแสหลัก แต่ก็เสี่ยงที่จะกระทบกับเศรษฐกิจชายแดนของไทยเอง โดยเฉพาะในจังหวัดที่พึ่งพาการค้าชายแดนอย่างสระแก้ว สุรินทร์ และศรีสะเกษ ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ชี้ว่า เพียงการปิดด่านหลักเพียง 1 เดือน ไทยอาจสูญเสียมูลค่าการค้ากว่า 13,000 ล้านบาท
ส่วนการหยุดส่งออกน้ำมัน แม้จะเป็นเครื่องมือกดดันที่มีน้ำหนัก แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นดาบสองคม เพราะไทยเองก็จะสูญเสียรายได้จากการส่งออกน้ำมันที่มีมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาทต่อเดือน และยังส่งผลกระทบต่อกิจการของ ปตท. ที่มีสถานีบริการน้ำมันกว่า 180 แห่งในกัมพูชา
ในทางตรงกันข้าม มาตรการของกัมพูชา แม้ดูเหมือนยอมเสียสละทางเศรษฐกิจ แต่กลับให้ผลบวกทางการเมืองและจิตวิทยาสาธารณะที่ชัดเจน การแสดงออกว่าไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดันจากไทย กลายเป็นแต้มต่อทางการทูต และสามารถเปลี่ยนกระแสสังคมให้หันมาโอบรับนโยบายของรัฐบาล
การที่นายกรัฐมนตรีไทยต้องโทรศัพท์ไปยังอดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ผู้ทรงอิทธิพลในลักษณะไม่เปิดเผย และไม่มีการแถลงอย่างเป็นทางการ ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความได้เปรียบเชิงจังหวะของกัมพูชาในเกมนี้ ขณะที่ฝั่งไทยกลับต้องเผชิญแรงกดดันจากฝ่ายค้าน สื่อมวลชน และกลุ่มอนุรักษนิยมที่พยายามโยงความขัดแย้งชายแดนกับความล้มเหลวของรัฐบาลในเวทีอื่น
แม้จะกล่าวได้ว่า ไทยยังถือไพ่เหนือกัมพูชาในเชิงโครงสร้าง เช่น ขนาดเศรษฐกิจ ความพร้อมด้านโลจิสติกส์ และความสามารถในการใช้อำนาจต่อรองเชิงนโยบาย แต่หากวัดในเกมการเมืองระหว่างประเทศและการบริหารจังหวะสื่อสารต่อสาธารณะแล้ว กัมพูชากลับเล่นเกมนี้ได้อย่างชัดเจนและเฉียบคมกว่า
ท้ายที่สุด ทั้งสองประเทศต่างก็เผชิญต้นทุนจากการตอบโต้กันไปมา โดยเฉพาะประชาชนชายแดนซึ่งเป็นผู้แบกรับความเสียหายโดยไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เกมแห่งอำนาจที่เต็มไปด้วยวาทกรรมชาตินิยมนี้ ไม่มีผู้ชนะอย่างแท้จริง และกำลังนำพาความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาให้ห่างไกลจากฉันทามติและสันติภาพที่เคยหวังไว้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เขตแดนทางบก ปัญหาจากแผนที่ยุคโบราณ ชนวนความขัดแย้งครั้งใหม่ของไทย-กัมพูชา’
- ข้อพิพาทชาตินิยมไทย-กัมพูชา เพื่อผลประโยชน์ของชาติ หรือแอบแฝงการเมือง?
- ถ้าไทยยกเลิก MOU 44 จะเกิดอะไรขึ้นกับพื้นที่ทับซ้อนไทย - กัมพูชา
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath