โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ใครได้ ใครเสีย? เมื่อไทยและกัมพูชาเปิดศึกกันตอบโต้กันผ่านมาตรการระหว่างประเทศ

Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส

อัพเดต 25 มิ.ย. เวลา 11.15 น. • เผยแพร่ 25 มิ.ย. เวลา 11.12 น.
ภาพไฮไลต์

การปะทะกันทางทหารจุดเล็กๆ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2025 ที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี บริเวณสามเหลี่ยมมรกต กำลังลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งในเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์ ไทยและกัมพูชาต่างงัดมาตรการทางเศรษฐกิจและการทูตออกมาใช้กันอย่างดุเดือด สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั้งสองประเทศมากขึ้นทุกที จนน่าวิตกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่รักคู่แค้นกันมานานอาจจะต่อสู้กันจนพังพินาศล่มจมทั้งคู่ก็เป็นได้

ในประเทศซึ่งผู้นำมีวิสัยทัศน์และมีวุฒิภาวะเพียงพอ การปะทะกันทางทหารเพียง 10 นาทีในพื้นที่พิพาทไม่กี่ร้อยตารางเมตร สามารถยุติได้อย่างรวดเร็วด้วยกลไกของความสัมพันธ์ระดับท้องถิ่น ไม่สมควรที่ความขัดแย้งจะได้รับการขยายวงออกไปกว้างไกลอย่างที่ไทยและกัมพูชากำลังทำกันอยู่ในขณะนี้

เรื่องทั้งหมดควรจะจบลงตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน เมื่อ เสรย ดึก ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชาได้พบกับ พลตรีสมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และ พลตรีณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อหารือและเห็นชอบการปรับการวางกำลังให้กลับไปสู่แนวเดิมเมื่อปี 2567 พร้อมทั้งกลบสนามเพลาะที่ช่องบกคืนสู่สภาพเดิม เพื่อสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC) และเห็นพ้องให้ใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเป็นช่องทางหารือการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่องในอนาคต

น่าผิดหวังที่ประเทศไทยซึ่งดูน่าจะมีวุฒิภาวะสูงพอ กลับเริ่มต้นขยายความขัดแย้งด้วยการคงสภาพการปรับเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดนหลายจุดตลอดแนวพรมแดนที่ประกาศเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน เท่านั้นยังไม่พอ ยังสำทับอีกว่าจะตัดไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตที่จ่ายให้กับกัมพูชา

มาตรการที่เป็นเสมือนการข่มขู่เช่นนั้นประสานสมทบกับเสียงจากฝ่ายค้านและกลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวาในไทย เร่งเร้าให้รัฐบาลดำเนินมาตรการที่เด็ดขาดกว่านี้ เพื่อแสดงจุดยืนว่าประเทศไทยไม่อ่อนข้อให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นประเทศราช และบังอาจ ‘เหิมเกริมรุกล้ำอธิปไตยไทย’

แต่ยังไม่ทันที่ทางการไทยจะได้ทำตามคำขู่ ฝั่งกัมพูชาตอบโต้กลับอย่างรวดเร็ว นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ประกาศเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ระงับการซื้อสัญญาณอินเทอร์เน็ตและกระแสไฟฟ้าบางส่วนจากประเทศไทย

และเมื่อเห็นว่าการเมืองภายในของไทยระส่ำระสายเพราะเหตุแห่งการปล่อยคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร และ อดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ฝ่ายกัมพูชาก็รู้ได้ทันทีว่ารัฐบาลไทยคงจะต้องปล่อยให้กองทัพเป็นผู้ควบคุมการออกมาตรการต่างๆ ได้โดยเสรี ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการยื่นดาบให้ฝ่ายกัมพูชาโดยแท้

ดังนั้นเมื่อกองทัพภาคที่ 2 ประกาศปิดด่านที่ช่องสายตะกู จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ฝ่ายกัมพูชาจึงโต้ตอบทันทีด้วยการปิดจุ๊บโกกี (ตรงข้ามช่องสายตะกู) และช่องจวม (ตรงกันข้ามช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ) และเปิดเกมรุกต่อเนื่องด้วยการระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากประเทศไทยโดยสิ้นเชิงในวันที่ 22 มิถุนายน โดยให้เหตุผลว่า กัมพูชาสามารถจัดหาน้ำมันจากแหล่งอื่นได้เพียงพอ ขณะเดียวกันก็เริ่มมีการรณรงค์ในโซเชียลมีเดียให้ประชาชนเลิกซื้อสินค้าไทย ไม่รับชมละครไทย และหันไปสนับสนุนสินค้าท้องถิ่น

ขณะที่รัฐบาลและกองทัพทั้งสองประเทศต่างแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อกัน ประชาชนในพื้นที่ชายแดนซึ่งต้องพึ่งพาการค้าข้ามแดนและพลังงานราคาถูกกลายเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ชาวบ้านจำนวนมากขาดรายได้จากการค้าขายและการเดินทางเข้าออกด่านไม่สะดวก พ่อค้าแม่ค้าสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจทันทีโดยไม่มีมาตรการเยียวยาใดๆ จากภาครัฐ

เมื่อพิจารณาจากตัวเลขการค้าชายแดนไทย–กัมพูชาในปี 2024 ที่มีมูลค่ากว่า 174,000 ล้านบาท โดยไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าอย่างชัดเจน ย่อมกล่าวได้ว่า ไทยมีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจเหนือกัมพูชาอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งบริษัทมหาชนของไทยอย่าง ปตท. ยังครอบครองตลาดน้ำมันปลายน้ำในกัมพูชาอยู่จำนวนมาก

แต่ในระบบเศรษฐกิจของโลกยุคปัจจุบันที่เชื่อมโยงและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอย่างมากนั้น จะต้องพิจารณาโดยรอบคอบด้วยว่า การที่บริษัทของไทยสามารถขายสินค้าให้กัมพูชาได้มาก ก็หมายความว่ามีรายได้จากกัมพูชามากด้วยเช่นกัน อีกทั้งคู่ค้าที่มีกำลังซื้อขนาดนี้ย่อมมีทางเลือกในการใช้สินค้าและบริการจากที่อื่นไม่น้อยเลยทีเดียว

ดังนั้นแล้วฝ่ายกัมพูชาสามารถพลิกสถานการณ์ด้วยการชิงลงมือก่อน นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต การสั่งห้ามนำเข้าน้ำมันจากไทยเสียเอง การเคลื่อนไหวเช่นนี้เปลี่ยนสถานะของกัมพูชาจากผู้ถูกกระทำมาเป็นผู้ควบคุมเกม ทั้งยังตอกย้ำภาพของผู้นำที่กล้าหาญและไม่ยอมถูกข่มในสายตาของประชาชนภายในประเทศ

และเพื่อเป็นการป้องกันความตื่นตระหนกของประชาชนชาวกัมพูชา กระทรวงพลังงานได้ออกประกาศทันทีว่า กัมพูชามีสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซเพียงพอสำหรับความต้องการในประเทศ พร้อมกันนั้น บรรดานักวิเคราะห์ชาวกัมพูชาก็ออกมาให้ข้อมูลกับประชาชนว่า ผู้ที่เดือดร้อนจากมาตรการนี้คือผู้ประกอบการธุรกิจพลังงานของไทยเอง

กัมพูชานำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันแร่ น้ำมัน และผลิตภัณฑ์กลั่นต่างๆ จากประเทศไทยรวมมูลค่า 738.11 ล้านดอลลาร์ โดยในจำนวนนี้เป็นน้ำมันปิโตรเลียมถึงเกือบ 92 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นมูลค่า 679 ล้านดอลลาร์ในปี 2023

ดุจ ดาริน (Duch Darin) นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังของกัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับ Khmer Times ว่า ข้อเสนอของพรรคฝ่ายค้านไทยที่ให้หยุดส่งออกน้ำมันไปยังกัมพูชานั้น ไม่เพียงแต่เป็นการยั่วยุทางการเมือง แต่ยังขาดวิสัยทัศน์ในทางเศรษฐกิจ

“ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมากกว่าหากดำเนินนโยบายนี้จริง เพราะกัมพูชาได้รับการจัดส่งน้ำมันจากบริษัทร่วมทุนระหว่างประเทศหลายแห่งอยู่แล้ว ได้แก่ Caltex, Total Energies, Sokimex และ Tela ซึ่งต่างมีเครือข่ายทั่วประเทศ” เขากล่าว และเสริมว่า “บริษัททั้งสี่รายนี้ทำให้ตลาดน้ำมันในกัมพูชามีความหลากหลายและมีการแข่งขันสูง สามารถปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานได้อย่างรวดเร็วตามสถานการณ์”

หากวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ในภาพรวมแล้ว จะเห็นได้ว่าไทยมีจุดแข็งทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบโลจิสติกส์ พลังงาน และตลาดส่งออก แต่กลับมีจุดอ่อนสำคัญคือความไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาล การเมืองภายในที่เปราะบาง และการตอบโต้ที่ขาดกลไกการประเมินผลกระทบล่วงหน้า

ตรงกันข้ามกับกัมพูชา แม้จะมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและการพึ่งพิงสินค้าไทยสูง แต่กลับได้เปรียบเรื่องการเมืองภายใน ด้วยอำนาจรัฐที่รวมศูนย์และสามารถระดมมาตรการตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังควบคุมกระแสสื่อและวาทกรรมสาธารณะได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด

มาตรการของไทย เช่น การปิดด่านชายแดน ตรวจเข้มสินค้านำเข้า และขู่ว่าจะตัดไฟฟ้า อาจสะใจฝ่ายขวาและสื่อกระแสหลัก แต่ก็เสี่ยงที่จะกระทบกับเศรษฐกิจชายแดนของไทยเอง โดยเฉพาะในจังหวัดที่พึ่งพาการค้าชายแดนอย่างสระแก้ว สุรินทร์ และศรีสะเกษ ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ชี้ว่า เพียงการปิดด่านหลักเพียง 1 เดือน ไทยอาจสูญเสียมูลค่าการค้ากว่า 13,000 ล้านบาท

ส่วนการหยุดส่งออกน้ำมัน แม้จะเป็นเครื่องมือกดดันที่มีน้ำหนัก แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นดาบสองคม เพราะไทยเองก็จะสูญเสียรายได้จากการส่งออกน้ำมันที่มีมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาทต่อเดือน และยังส่งผลกระทบต่อกิจการของ ปตท. ที่มีสถานีบริการน้ำมันกว่า 180 แห่งในกัมพูชา

ในทางตรงกันข้าม มาตรการของกัมพูชา แม้ดูเหมือนยอมเสียสละทางเศรษฐกิจ แต่กลับให้ผลบวกทางการเมืองและจิตวิทยาสาธารณะที่ชัดเจน การแสดงออกว่าไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดันจากไทย กลายเป็นแต้มต่อทางการทูต และสามารถเปลี่ยนกระแสสังคมให้หันมาโอบรับนโยบายของรัฐบาล

การที่นายกรัฐมนตรีไทยต้องโทรศัพท์ไปยังอดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ผู้ทรงอิทธิพลในลักษณะไม่เปิดเผย และไม่มีการแถลงอย่างเป็นทางการ ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความได้เปรียบเชิงจังหวะของกัมพูชาในเกมนี้ ขณะที่ฝั่งไทยกลับต้องเผชิญแรงกดดันจากฝ่ายค้าน สื่อมวลชน และกลุ่มอนุรักษนิยมที่พยายามโยงความขัดแย้งชายแดนกับความล้มเหลวของรัฐบาลในเวทีอื่น

แม้จะกล่าวได้ว่า ไทยยังถือไพ่เหนือกัมพูชาในเชิงโครงสร้าง เช่น ขนาดเศรษฐกิจ ความพร้อมด้านโลจิสติกส์ และความสามารถในการใช้อำนาจต่อรองเชิงนโยบาย แต่หากวัดในเกมการเมืองระหว่างประเทศและการบริหารจังหวะสื่อสารต่อสาธารณะแล้ว กัมพูชากลับเล่นเกมนี้ได้อย่างชัดเจนและเฉียบคมกว่า

ท้ายที่สุด ทั้งสองประเทศต่างก็เผชิญต้นทุนจากการตอบโต้กันไปมา โดยเฉพาะประชาชนชายแดนซึ่งเป็นผู้แบกรับความเสียหายโดยไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เกมแห่งอำนาจที่เต็มไปด้วยวาทกรรมชาตินิยมนี้ ไม่มีผู้ชนะอย่างแท้จริง และกำลังนำพาความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาให้ห่างไกลจากฉันทามติและสันติภาพที่เคยหวังไว้

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...