สาหร่าย,เห็ด ก็ทำกระทงได้…New Material + Circular Design ลดปัญหากระทง หลงทาง
(CJ/Unsplash)
คืนแห่งศรัทธา กับ เช้าของวันถัดมา
คืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง แม่น้ำสายหลักของเมืองจะค่อย ๆ สว่างจากแสงเทียนนับหมื่นดวง เสียงหัวเราะที่ลอยมาตามลมหนาว เสียงพลุ เสียงดนตรี และเงาสะท้อนของกระทงที่ไหลตามน้ำ ทั้งหมดร่วมกันสร้างคืนแห่งศรัทธา วัฒนธรรม และความงดงามที่ผสานเป็นหนึ่งเดียว ลอยกระทงจึงไม่ใช่แค่เทศกาล หากคือบทสนทนาระหว่างผู้คนกับธรรมชาติ ผ่านพิธีกรรมที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความหมาย
แต่เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ภาพในคืนอันน่าประทับใจ กลับถูกแทนที่ด้วยเศษซากกระทงนับแสนลอยเกยตลิ่ง หยวกกล้วย ใบตองปะปนกับลวด พลาสติก และเศษโฟมที่ยังไม่ย่อยสลาย ทีมเก็บขยะของเมืองเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการคัดแยก แบ่ง และเคลื่อนย้ายสิ่งเหลือทิ้ง ข้อมูลจาก กทม. ระบุว่า ในปี 2567 เก็บกระทงได้กว่า 510,000 ชิ้น ลดลงเกือบ 20% จากปีก่อน และ 98.4% ของทั้งหมดใช้วัสดุย่อยสลายได้ ตัวเลขนี้ดูเหมือนจะบอกเราว่าพฤติกรรมเรากำลังเปลี่ยน… แต่คำถามสำคัญคือ หลังคืนแห่งแสงเทียนผ่านไป สิ่งที่เหลืออยู่บนแม่น้ำ บอกอะไรกับเรา?
(Oleg Prachuk/Pexels)
ขอขมาต่อสายน้ำ แต่เลี่ยงไม่ได้ที่จะทิ้งภาระไว้กับธรรมชาติ
พิธีลอยกระทงในคติความเชื่อดั้งเดิม คือการขอขมาต่อพระแม่คงคา เทพีแห่งสายน้ำผู้มอบชีวิตให้แผ่นดิน และปล่อยวางสิ่งไม่ดีให้ลอยไปตามกระแส ธรรมเนียมที่เริ่มจากศรัทธาจึงไม่เคยแยกขาดจากธรรมชาติ กระทงใบแรกเกิดจากมือคนในชุมชน วัสดุจากรอบบ้าน และการสำนึกต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นกติกา แต่เมื่อเวลาผ่านไป “วัสดุ” กลายเป็นภาพสะท้อนวิธีคิดของสังคม และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติก็เปลี่ยนรูปไปตามรูปร่างของกระทง
- วัสดุธรรมชาติ จำพวกใบตอง หยวกกล้วย ดอกไม้ คือรากแท้ของพิธี ใบตองและหยวกย่อยสลายได้ภายในสองสัปดาห์ กลายเป็นอาหารปลาและจุลินทรีย์ ดอกไม้ก็มักมาจากท้องถิ่น คืนกลับสู่ระบบนิเวศได้แท้จริง แต่เมื่อปริมาณมากขึ้น ระบบจัดการหลังงานจึงเป็นปัจจัยสำคัญ พิธีจะกลมกล่อมได้ ก็ต่อเมื่อมีระบบรองรับทำงานควบคู่กัน
- ขนมปังและอาหารปลา แนวคิดนี้ถือว่าตั้งใจดี แต่ไม่เสมอไปว่าจะดีต่อธรรมชาติจริง หากจำนวนปลาไม่เพียงพอ หรือเศษขนมปังเกินความสามารถของแหล่งน้ำ สิ่งที่ลอยลงไปอาจกลายเป็นขยะอินทรีย์ที่เพิ่มค่า BOD ทำให้น้ำเน่า และสัตว์น้ำตาย เหตุการณ์ปี 2566 ที่ปลาตายในบ่อสาธารณะหลายจุด คือเครื่องเตือนใจว่าความตั้งใจดีอาจไม่เพียงพอ หากไม่พิจารณาผลกระทบในภาพรวม
- โฟมและพลาสติก จุดเปลี่ยนของประเพณีนี้เกิดขึ้นเมื่อสังคมไทยเข้าสู่ยุคท่องเที่ยวมวลชน (Mass Tourism) วัสดุโฟมเข้ามาแทนที่วัสดุธรรมชาติ เพราะผลิตได้ง่าย ราคาถูก และเบา แต่สิ่งที่แลกมาคือเศษไมโครพลาสติกปนเปื้อนในแม่น้ำและห่วงโซ่อาหาร ที่ใช้เวลาย่อยสลายนับร้อยปี ข้อมูลปี 2567 พบว่า สัดส่วนกระทงโฟมในกรุงเทพฯ ลดเหลือ 1.61% นับเป็นพัฒนาการที่ดี แต่ยังต้องเฝ้าระวังและออกแบบระบบจัดการปลายทางอย่างรอบคอบ
- น้ำแข็งและเปลือกข้าวโพด ทางเลือกใหม่ที่ย่อยสลายเร็ว แต่ต้องแลกกับพลังงานการผลิตและการขนส่ง กระทงน้ำแข็งละลายภายใน 1 ชั่วโมง และกระทงเปลือกข้าวโพดย่อยใน 2-3 วัน แต่ในบางพื้นที่ยังไม่มีระบบจัดการกับเศษซากที่ดีพอ
เมืองเริ่มทดลอง จับประเพณีมาพบกับการออกแบบ
เมื่อพิธีกรรมโบราณเดินเข้าสู่บริบทของเมืองยุคใหม่ การออกแบบเทศกาลจึงไม่ใช่แค่การจัดงาน แต่กลายเป็นการทดลองร่วมกันของรัฐ นักออกแบบ และประชาชน เพื่อหาคำตอบว่าศรัทธาจะอยู่ร่วมกับความยั่งยืนได้อย่างไร
ในกรณีของเทศกาลลอยกระทง ปี 2567 กรุงเทพมหานครได้เปิดตัว Digital Krathong ให้ประชาชนร่วมลอยกระทงผ่านเว็บไซต์ พร้อมจัดกิจกรรมใน 34 สวนสาธารณะทั่วเมือง ทางเลือกนี้ไม่ใช่แค่ทางรอดจากการสร้างขยะแต่เป็นเครื่องมือสื่อสารค่านิยมใหม่ ที่แสดงให้เห็นว่าความศรัทธาไม่จำเป็นต้องฝากร่องรอยไว้ในแม่น้ำ ในปีนี้เมืองยังเดินหน้าต่อด้วยแผน Eco-Friendly Loy Krathong 2025 ที่วางแนวทางวัสดุย่อยสลายได้ ควบคู่กับการควบคุมโคมไฟและพลุ ให้สมดุลกับระบบนิเวศและวิถีชุมชน
ผลลัพธ์เริ่มปรากฏให้เห็น ข้อมูลระบุว่า ผู้ร่วมงานกว่า 1 ใน 4 (25.6%) เลือกไม่ลอยกระทงจริง แต่หันมาใช้กระทงย่อยสลายได้ หรือเปลี่ยนไปลอยออนไลน์แทน นี่คือการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ที่บอกเราว่า พิธีกรรมอาจไม่ต้องเปลี่ยนความหมาย เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบที่ตอบสนองโลกยุคใหม่ได้มากขึ้น จาก “ทำตามประเพณี” สู่ “รักษาความหมายของประเพณี” อย่างรู้เท่าทัน
(Jesse Bauer/Unsplash)
วัสดุทำกระทงทางเลือก - ลอยได้ ย่อยได้ และใช้ต่อได้
การจัดเทศกาลอย่างยั่งยืน ไม่ได้หยุดอยู่แค่คำขอความร่วมมือ แต่เริ่มเห็นของจริงจากหลายโครงการ หนึ่งในนั้นคือ โครงการ Seeding-Rebirth ที่จังหวัดตาก ซึ่งเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องศรัทธาให้เชื่อมโยงกับระบบนิเวศแบบหมุนเวียน ทีมวิจัยจากไบโอเทค–สวทช. ผนึกกำลังกับนักเรียนมัธยมและนักวิจัยวัสดุศาสตร์ ร่วมกันพัฒนากระทงจาก เส้นใยเห็ดรา (Mycelium) ผสมขี้เลื่อยและผักตบชวา ก่อนจะนำไปลอยลงแม่น้ำปิงในคืนลอยกระทงปี 2567 หลังจบงาน กระทงเหล่านี้ไม่ถูกทิ้ง แต่กลับถูกนำกลับมาใช้เป็นปุ๋ยหมัก หรือฝังเมล็ดพันธุ์เพาะต้นไม้ใหม่ได้ นี่ไม่ใช่แค่กระทงที่ ย่อยสลายได้ แต่เป็นวัสดุที่ งอกใหม่ได้ สะท้อนหลักการของ Circular Festival Design ที่มองว่า “พิธี” ไม่ควรจบลงหลังงานเลิก แต่ควรเป็นจุดเริ่มต้นของวงจรใหม่ ที่สอดคล้องกับธรรมชาติและชีวิต
Circular Festival Design คือแนวคิดการออกแบบเทศกาลที่มอง ทุกองค์ประกอบของงาน ตั้งแต่วัสดุที่ใช้ การจัดการขยะ ไปจนถึงพฤติกรรมของผู้ร่วมงาน ให้สอดคล้องกับระบบหมุนเวียน (Circular System) โดยมีเป้าหมายให้ทรัพยากรที่ใช้ในเทศกาล ไม่กลายเป็นของเสีย แต่กลับคืนเข้าสู่ระบบได้ในรูปแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ หรือวัสดุใช้งานซ้ำ แนวคิดนี้จึงเปลี่ยนจุดสิ้นสุดของงานให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งถัดไป
(วัสดุจากผู้ประกอบการในฐานข้อมูลวัสดุไทย TCDC Material Database)
(วัสดุจากผู้ประกอบการในฐานข้อมูลวัสดุไทย TCDC Material Database)
นอกจากไมซีเลียม ยังมีวัสดุทางเลือกอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น สาหร่ายทะเล ซึ่งพัฒนาเป็นวัสดุชีวภาพที่ผสมเส้นใยเซลลูโลสและพลาสติกไซเซอร์จากธรรมชาติ ใช้ในพื้นที่เปียกชื้นได้ดี ไม่เปราะ ไม่ละลายน้ำง่าย ย่อยใน 7 วัน เป็นอาหารปลาได้โดยไม่ทำให้น้ำเน่า และ Biofilm หรือฟิล์มกินได้ ทำจากสมุนไพรและผัก เช่น เห็ดหอม แครอท หรือผักชี ละลายหมดในน้ำ ไม่ทิ้งสารตกค้าง และยังมีคุณค่าทางอาหาร สามารถใช้เป็นบรรจุภัณฑ์อาหารได้
วัสดุเหล่านี้ไม่เพียง ลดปัญหา หลังจบเทศกาล แต่ยังขยายบทสนทนา ระหว่างงานออกแบบ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมในระดับเมือง ใครที่อยากเริ่มสำรวจหรือใช้งานวัสดุเหล่านี้ สามารถค้นคว้าเพิ่มเติมได้จาก TCDC Material Database (www.tcdcmaterial.com) ซึ่งเปิดให้เข้าถึงวัสดุนวัตกรรมจากท้องถิ่นไทย พร้อมข้อมูลผู้ผลิตเพื่อเชื่อมวงจรออกแบบอย่างเป็นรูปธรรม
(Alexey Demidov/Pexels)
ดีไซน์เทศกาล ให้คืนความหมายดั้งเดิม
เทศกาลลอยกระทง คือการออกแบบประสบการณ์ที่ไม่เพียงเชื่อมผู้คนกับสายน้ำ แต่ยังเชื่อมอดีตกับอนาคต เมื่อศรัทธาเคลื่อนผ่านกาลเวลา การคืนความหมายให้พิธีกรรมนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความเชื่อ แต่คือการออกแบบเมืองให้ไม่ทิ้งร่องรอยไว้กับธรรมชาติ แนวทางการออกแบบที่เป็นไปได้ ประกอบด้วย 3 มิติสำคัญ
- กำหนดเกณฑ์ที่ชัด และเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม กำหนด “วัสดุขั้นต่ำต้องย่อยสลายได้ 100%” และห้ามใช้โฟมในพื้นที่สาธารณะทั่วประเทศ ตั้งเป้าลดขยะลงอีก 20% ภายใน 2 ปี พร้อมเผยแพร่ข้อมูลสาธารณะหลังเทศกาล เช่น จำนวนขยะ สัดส่วนวัสดุ และพื้นที่ที่จัดการได้ดี เพื่อเป็น แดชบอร์ดความร่วมมือ ที่ทุกฝ่ายมองเห็นผลของตนเอง
- การออกแบบที่ช่วยเปลี่ยนพิธีให้เป็นประสบการณ์ร่วมเรียนรู้ สำหรับพื้นที่เปราะบาง เช่น แหล่งน้ำธรรมชาติหรือแหล่งอนุรักษ์ เปิดทางเลือก Digital หรือ Dry Rituals เช่น จุดอธิษฐาน การเขียนความตั้งใจ การแสดงแสง–เสียง หรือการวางกระทงแห้ง ไม่จำเป็นต้องลอยลงน้ำ ในพื้นที่จัดงาน ตั้งจุดคัดแยกวัสดุ Onsite ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาล มีการแสดงผลแบบ Interactive วัสดุที่ใช้ได้-ใช้ไม่ได้ เพื่อเปลี่ยนการแยกขยะให้เป็นกิจกรรมสาธารณะมากกว่าภาระหลังการจัดงาน
- พฤติกรรม สนับสนุนแนวทาง “หนึ่งกลุ่ม หนึ่งกระทง” ใช้วัสดุที่เหมาะกับแหล่งน้ำ (ไม่ใช่แค่สวยงาม แต่ปลอดภัยต่อระบบนิเวศ) และเปิดทางเลือกให้ “การไม่ลอย” หรือ “ลอยดิจิทัล” มีสถานะเท่าเทียมกับพิธีกรรมแบบดั้งเดิม
ลอยกระทงถือกำเนิดจากพิธีกรรมที่แสดงความเคารพต่อธรรมชาติ แต่เมื่อเมืองเปลี่ยน สายน้ำเปลี่ยน การขอขมาในศตวรรษที่ 21 อาจไม่ใช่การลอยสิ่งใดลงไปในน้ำ แต่อาจปรับรูปแบบเป็น ไม่ทิ้งอะไรไว้กับแม่น้ำอีกเลย เพราะประเพณีกับธรรมชาติ ไม่เคยแยกจากกัน