โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

SKIN ลั่นเทรด mai คึก! ผู้ถือหุ้นล็อกอัพ 100% ระดมทุนแตกไลน์สินค้า-บุกเวชสำอาง

ข่าวหุ้นธุรกิจ

อัพเดต 19 มิ.ย. เวลา 14.42 น. • เผยแพร่ 19 มิ.ย. เวลา 14.42 น. • ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์

นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SKIN เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ว่า บริษัทมีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 44 ล้านหุ้น เพื่อระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายหลักในการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการต่อยอดและขยายสายผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคในทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่ พร้อมกันนี้ ยังได้วางกลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับแบรนด์ “Dermie” ซึ่งเป็นเวชสำอางระดับแมส ที่เน้นคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อรุกเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ แบรนด์ “Dermie” จะเข้ามาเสริมความครบวงจรให้กับพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้หลากหลายยิ่งขึ้น อาทิ ร้านค้าปลีก ช่องทางออนไลน์ ตลอดจนเครือข่ายพันธมิตรทางการแพทย์ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ในระยะยาว นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศในระยะถัดไป

ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนรมิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SKIN เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ APM ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับ SKIN มากกว่า 3 ปี ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจของทีมผู้บริหารอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ด้านผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มสกินแคร์และเวชสำอาง ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว

นายสมศักดิ์กล่าวว่า ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา แผนการดำเนินธุรกิจของ SKIN ได้สะท้อนออกมาเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์การตลาดที่ทันสมัย และการบริหารงานที่สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภค ส่งผลให้กิจการมีการเติบโตต่อเนื่อง พร้อมทั้งชี้ว่าปัจจุบันถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการยกระดับการเติบโตอีกขั้น ผ่านการระดมทุนในตลาดทุน เนื่องจากบริษัทมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากเงื่อนไขเกี่ยวกับหลักทรัพย์ค้ำประกัน

“การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและสอดคล้องกับแผนธุรกิจของบริษัท โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากผลประกอบการในปีที่ผ่านมา รวมถึงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งยังคงอยู่ในทิศทางตามแผนที่วางไว้” นายสมศักดิ์ กล่าว

ด้านผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Skin Sista” ซึ่งเป็นแบรนด์หลักของบริษัท ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อ 5–7 ปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์เดิมยังคงมียอดขายดีแม้เวลาจะผ่านไป ขณะเดียวกัน บริษัทก็มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สอดรับกับความต้องการของตลาดและกลุ่มเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นสิ่งสะท้อนถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์และความเข้าใจในตลาดของผู้บริหารอย่างแท้จริง

ในด้านผลประกอบการ แม้รายได้ในช่วงปี 2566–2567 จะมีการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของปีนี้ซึ่งมีกำไรสุทธิใกล้เคียง 10% อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผลประกอบการในช่วงก่อนหน้าอาจทำให้นักลงทุนบางส่วนเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่เกิดจากกระบวนการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นลักษณะรายการครั้งเดียว (One-time Expense)

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในตัวเลขรายได้รวม (Top Line) ของบริษัท กล่าวคือ SKIN มีการจำหน่ายสินค้าใน 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ การขายแบบฝากขาย (Consignment) และการขายขาด (Outright Sale) ซึ่งมีหลักการรับรู้รายได้แตกต่างกัน

ในกรณีฝากขาย บริษัทจะรับรู้รายได้เต็มตามราคาขาย เช่น 50 บาท และแยกบันทึกค่าคอมมิชชันหรือส่วนแบ่งช่องทางจำหน่ายเป็นต้นทุน ขณะที่การขายขาดจะรับรู้รายได้เพียงยอดสุทธิ เช่น 40 บาท โดยไม่แสดงต้นทุนเพิ่มเติม ส่งผลให้แม้ปริมาณการขายจะเท่ากัน รายได้ที่ปรากฏตามงบการเงินก็อาจดูน้อยลงได้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานบัญชี และไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่ากิจการชะลอตัว

“สัดส่วนของการขายขาดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตามกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพในการบริหารรายได้ ซึ่งตัวเลขทางบัญชีที่เปลี่ยนแปลงนี้ จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะจากนักลงทุนที่ยังไม่ศึกษารายละเอียดในแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)” นายสมศักดิ์ กล่าว

สำหรับตัวเลข “กำไรสุทธิ” ที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปีนี้ ถือเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานตามปกติของบริษัท ภายหลังจากไม่มีรายการค่าใช้จ่ายพิเศษเพิ่มเติม โดยผลประกอบการยังคงเป็นไปตามเป้าหมายและแนวทางที่ผู้บริหารวางไว้ ร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินมาโดยตลอด

“SKIN มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง เข้าใจตลาด และมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการต่อยอดการเติบโตระยะยาวของบริษัท และเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองหาธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและความยั่งยืน” นายสมศักดิ์ กล่าวย้ำ

นอกจากนี้ นายชาญวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SKIN ย้ำถึงรายละเอียดเชิงลึกด้านการรับรู้รายได้ของบริษัทว่า การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในแต่ละช่องทางมีผลต่อวิธีการบันทึกรายได้ตามมาตรฐานบัญชี ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่ไม่ได้พิจารณารายละเอียดอย่างถี่ถ้วนเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ โดยย้ำว่ารายได้รวมที่ปรากฏในงบการเงิน อาจไม่ได้สะท้อนภาพรวมของกำไรสุทธิอย่างแท้จริง

“หากนำตัวอย่างผลิตภัณฑ์ครีมซองราคาขายปลีก 50 บาทมาเปรียบเทียบ จะเห็นชัดเจนว่าหากขายผ่านช่องทาง “ขายฝาก” บริษัทจะรับรู้รายได้เต็มจำนวนที่ 50 บาท ส่วนค่าคอมมิชชันหรือส่วนแบ่งช่องทางจำหน่ายประมาณ 20-30% จะถูกบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในการขาย ขณะที่หากขายผ่านช่องทาง “ขายขาด” บริษัทจะรับรู้รายได้เฉพาะยอดสุทธิที่ได้รับจริง เช่น 30 บาท โดยไม่มีการบันทึกต้นทุนเพิ่ม” นายชาญวิทย์ อธิบาย

นายชาญวิทย์ กล่าวเสริมต่อว่า แม้รูปแบบการรับรู้รายได้จะแตกต่างกัน แต่ในเชิงกำไรสุทธิ กลับไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพราะต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้รับการบันทึกในรูปแบบที่แตกต่างกันตามแต่ละโมเดลธุรกิจ ซึ่งนักลงทุนและนักวิเคราะห์จำเป็นต้องทำความเข้าใจในหลักบัญชีดังกล่าว เพื่อประเมินภาพรวมทางการเงินของบริษัทได้อย่างถูกต้อง

ดังนั้นในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการขายผ่านช่องทาง “ขายขาด” ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีสัดส่วนเฉลี่ยมากกว่า 50% ของรายได้ทั้งหมด ส่งผลให้รายได้รวมที่รับรู้ตามงบการเงินอาจดูเหมือนลดลง ทั้งที่ในความเป็นจริง ปริมาณการจำหน่ายสินค้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อความเข้าใจในผลประกอบการของบริษัท เช่น วงจรชีวิตสินค้า และฤดูกาลของสินค้า ซึ่งทำให้ผลประกอบการในแต่ละไตรมาสไม่สม่ำเสมอ ตัวอย่างเช่น ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลกำไรลดลงในไตรมาสที่ 2 และ 3 ซึ่งเป็นผลมาจาก “ค่าใช้จ่ายแบบครั้งเดียว” ที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

“เมื่อพิจารณางบการเงินไตรมาส 1/2568 จะเห็นว่าผลกำไรจากการดำเนินงานเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 10–20% ซึ่งเป็นการสะท้อนภาพการดำเนินธุรกิจในสภาวะปกติ โดยไม่มีผลกระทบจากค่าใช้จ่ายพิเศษอีกต่อไป” นายชาญวิทย์ กล่าว

พร้อมยืนยันว่า บริษัทให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในการสื่อสารข้อมูลทางการเงิน และพร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับนักลงทุนอย่างครบถ้วน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับศักยภาพที่แท้จริงของกิจการในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ผ่านการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)

ขณะเดียวกัน นายสมศักดิ์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวทิ้งท้ายว่า ด้วยสถานการณ์ตลาดหุ้นในปัจจุบันยังคงท้าทาย จากผลกระทบของปัจจัยเศรษฐกิจ สถานการณ์ทางการเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไม่เอื้อต่อภาพรวมตลาด อย่างไรก็ตาม SKIN ได้มีการเตรียมแผนธุรกิจ แผนการใช้เงิน และแผนการเติบโตไว้อย่างรอบคอบ โดยถือเป็นการร่วมวางแผนระหว่างบริษัทและที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อให้การระดมทุนในครั้งนี้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเด็นสำคัญที่ได้รับการเน้นย้ำ คือการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่าการระดมทุนในครั้งนี้จะไม่ก่อให้เกิดความผิดหวังหรือต้นทุนที่ไม่เหมาะสม ทั้งในแง่ของการกำหนดราคาหุ้น การจัดสรรหุ้น รวมถึงการติดตามสถานการณ์ภายนอกอย่างใกล้ชิด โดยปัจจุบัน ทุกฝ่ายยังคงดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลักการ เพียงแต่ยังคงอยู่ระหว่างหารือในรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อให้การเสนอขายหุ้นสอดคล้องกับสถานการณ์ของตลาดในช่วงเวลาที่เหมาะสม

ทั้งนี้ ลักษณะของหุ้น SKIN ที่จะเสนอขายไอพีโอเป็นหุ้นขนาดเล็ก จำนวนหุ้นทั้งหมดประมาณ 44 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยหุ้นเดิมประมาณ 55% จะถูกล็อกอัพตามเกณฑ์ที่กำหนด และหากผู้ถือหุ้นเดิมถือหุ้นรวมกัน 70% จะทำการล็อกอัพทั้งหมด เหลือหุ้น IPO เพียงส่วนน้อยที่จะหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์

สำหรับประเด็นเรื่องการล็อกอัพหุ้นนั้น เป็นการล็อกอัพในระยะยาว ไม่ใช่เพียงแค่ 1–2 เดือน โดยอย่างน้อยในช่วง 6 เดือนแรก จะมีการล็อกอัพ 100% ตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในปัจจุบัน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ข่าวหุ้นธุรกิจ

“โสรัตน์ วณิชวรากิจ” ตัดขาย RS กว่า 104 ล้านหุ้น เหลือถือ 4.63%

25 นาทีที่แล้ว

“อิทธิพร” ยันคดีฮั้วเลือก สว. เดินตามขั้นตอน กกต. มีความอิสระ

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

BAY สินเชื่อ-ค่าฟีเพิ่ม หนุนกำไร Q2 แตะ 8.30 พันล้านบาท

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

LIT ตั้ง “สิตาพัชร์ นิโรจน์ธนรัฐ” นั่ง CEO เต็มตัว มีผลทันที

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไอที ธุรกิจอื่น ๆ

“โสรัตน์ วณิชวรากิจ” ตัดขาย RS กว่า 104 ล้านหุ้น เหลือถือ 4.63%

ข่าวหุ้นธุรกิจ

“อิทธิพร” ยันคดีฮั้วเลือก สว. เดินตามขั้นตอน กกต. มีความอิสระ

ข่าวหุ้นธุรกิจ

“แคริว่า” ตอกย้ำผู้นำด้านเทคโนฯ AI ทางการแพทย์ คว้าใบรับรอง ISO/IEC 29110 ยกระดับคุณภาพซอฟต์แวร์สู่ระดับโลก

สยามรัฐ

ราคาน้ำมันวันพรุ่งนี้ 19 ก.ค. เช็กราคาเบนซิน-ดีเซล-โซฮอล์ จาก 3 ปั๊มใหญ่ที่นี่

The Bangkok Insight

"โสรัตน์ วณิชวรากิจ"ผถห.ใหญ่ RS ขายหุ้น 104.38 ล้านหุ้น ยังถือสัดส่วน 4.6287%

ทันหุ้น

ก.ล.ต.เฮียริ่งปรับเกณฑ์ knowledge test ก่อนจองซื้อโทเคนดิจิทัล

ทันหุ้น

KTC เผยครึ่งปีแรก 68 กำไรโต 3,755 ลบ. มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ไม่กระทบ

ทันหุ้น

BAY สินเชื่อ-ค่าฟีเพิ่ม หนุนกำไร Q2 แตะ 8.30 พันล้านบาท

ข่าวหุ้นธุรกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

BKA บุก mai FORUM 2025 ปีแรก จ่ออัปเดตธุรกิจแบบเต็มสูบ เล็งขยายพอร์ตบ้านมือสอง

ข่าวหุ้นธุรกิจ

ข่าวหุ้นเจาะตลาด 19 มิ.ย.68

ข่าวหุ้นธุรกิจ

PRAPAT เตรียมปล่อยหมัดเด็ด “แผนต่อยอดธุรกิจ” งาน mai FORUM 2025

ข่าวหุ้นธุรกิจ
ดูเพิ่ม
Loading...