โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

เสียดายอุตส่าห์การศึกษาสูง แต่สันดาน!!สัมภเวสีชังชาติ ไร้สำนึกลากชาติตระกูลต่ำ!!

แนวหน้า

เผยแพร่ 30 มิ.ย. 2564 เวลา 19.00 น.

แน่นอนว่า วันนี้รัฐบาลต้องยอมรับความจริงกับปัญหาการรับมือต่อการแพร่ระบาดของ “โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)”ว่าเริ่มจะเอาไม่อยู่ขึ้นทุกวินาที เพราะเหตุจากหลายปัจจัยที่ไม่เว้นแม้แต่ความสามารถบริหารจัดการ โดยเฉพาะในประเด็นของเรื่อง “การจัดหาวัคซีน” ที่ดูจะกลายเป็นประเด็นร้อนจนอัครเสนาบดีแทบจะนั่งไม่ติด ผิดกับเสนาบดีและเหล่านักการเมืองสาวกที่ดูเหมือนจะไม่อนาทรร้อนใจนัก เพราะมีผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวไปแล้ว

มาตรการต่างๆ ของรัฐบาลในการระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของ“โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)”สร้างผลกระทบไม่มากก็น้อยต่อสภาพการใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนจนเกิดการต่อต้านในลักษณะอารยะขัดขืน ทั้งที่เวลานี้สมควรที่สังคมไทยทุกโมเลกุลจักต้องร่วมมือกันยึดถือปฏิบัติตามข้อกำหนดที่รัฐประกาศใช้ อย่างล่าสุดกรณีที่มีการควบคุมการดำเนินธุรกิจสถานบริการ ร้านอาหาร ที่ห้ามมิให้ผู้ใช้บริการนั่งทานอาหารในร้าน เน้นย้ำ “ห้ามไม่ให้ร้านอาหารเปิดบริการให้ลูกค้ามานั่งรับประทานอาหารในร้าน อนุญาตให้ซื้อกลับบ้านอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อลดอัตราการแพร่กระจายเชื้อไวรัสร้ายนี้ เนื่องจากโดยลักษณะปฏิบัติแล้วการนั่งรับประทานอาหารในร้านสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อและเพิ่มโอกาสการรับเชื้อได้สูง เนื่องจากระหว่างการรับประทานอาหารนั้น ผู้ใช้บริการย่อมต้องลดหน้ากากลงหรือถอดหน้ากากออกเพื่อสะดวกต่อการรับประทานอาหาร ทั้งยังมีโอกาสนั่งสนทนาระหว่างทานอาหารด้วย ทำให้เกิดอาการการ์ดตก ไม่เว้นระยะห่าง ไม่สวมหน้ากากอนามัยด้วย

มาตรการรัฐดังกล่าวทำให้เกิดดราม่าจากผู้ประกอบการบางส่วนบางรายด้วยข้อกล่าวหาที่ “ไม่เมคเซ้นต์”เท่าใดนักทั้งเรื่องภาระที่เกิดจากมาตรการที่รีบเร่งให้มีผลบังคับใช้จนทำให้เกิดความเสียหายจากการลงทุนด้านวัตถุดิบ ฯลฯ

เอาล่ะ … ถึงแม้เราจะอยู่ในวรรณะ“มนุษย์เงินเดือน-คนกรรมกร” ไม่ใช่นักธุรกิจหรือผู้ประกอบการสถานบริการ ร้านอาหาร แต่รับรู้รับทราบถึงผลกระทบจากมาตรการนี้ได้เป็นอย่างดีถึงจะไม่ได้รับรู้แบบลึกซึ้งนัก แต่ก็รับทราบเสียงสะท้อนที่ตกผลึกความเจ็บปวดนี้ได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

ทว่า การออกมาเคลื่อนไหวออกแคมเปญ “ #กูจะเปิดมึงจะทำไม” ผ่านทางเฟซบุ๊คแฟนเพจที่ชื่อ “Bamee Prapavee Ht” โดยเชิญชวนผู้ประกอบการสถานบริการร้านอาหารรายอื่นๆ ร่วมลงชื่อต่อต้านมาตรการรัฐบาล เปิดพื้นที่ในร้านให้ประชาชนเข้ามาใช้บริการนั่งทานอาหารในร้านได้ตามปกติ โดยระบุว่ามีนักกฎหมายทนายความคอยช่วยเหลือหากถูกคำสั่งปิด ทั้งยังมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์กิจกรรมการแสดงดนตรี เปิดลานเบียร์ ออกร้านขายอาหารบนถนน ทั้งอ้างว่าศึกษาข้อกฎหมายฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว มีโทษปรับ 40,000 บาท โดยเจ้าหน้าที่ดำเนินการปรับเองไม่ได้ต้องให้ศาลเป็นผู้พิจารณาพิพากษาสั่งการ หรือหากให้เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกช่วยเหลือก็จะจ่ายน้อยลงกว่าเดิม โดยผู้ประกอบการที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการนี้ต้องกรอกแบบฟอร์มผ่านแพลตฟอร์มชื่อ “https://forms.gle/H7yDGtJFuNG3PNmL6”

เอาล่ะ …!!!…อย่างที่กล่าวมาข้างต้นเราเข้าใจถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการสถานบริการร้านอาหารกับผลกระทบจนเกิดความเสียหายที่รัฐบาลเป็นผู้ก่อขึ้นจะโดยตั้งใจ หรือ มิได้ตั้งใจก็ตาม แต่สถานการณ์วันนี้ สังคมไทยต้องการความร่วมมือจากทุกโมเลกุลในสังคมจักต้องร่วมมือช่วยกันประสานสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวจับมือก้าวข้ามผ่านปัญหานี้ไปด้วยกัน “เจ็บแล้วจบ” โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

แต่ที่สมควรประณามก็ประดาพวกมีการศึกษาสูง แต่ไร้สำนึกร่วมโพสต์ข้อความสนับสนุนด้วยตรรกะสมองส้นตีน อ้างประเด็นเหลื่อมล้ำกับร้านสะดวกซื้อ แทนการแสดงปัญญาชี้แจงด้วยเหตุและผลถึงผลลัพธ์ของมาตรการอารยะขัดขืนว่าจะส่งผลเสียหายอะไรเกิดขึ้นกับสังคมไทยบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่ระบาดที่อาจจะขยายวงมากขึ้นจากการไร้สามัญสำนึกและความรับผิดชอบร่วม เช่นนั้นการศึกษาที่อุตส่าห์ร่ำเรียนจนจบระดับสูงจะไม่มีส่วนช่วยยกระดับความเป็นผู้ดีมีสามัญสำนึกร่วมและยกชาติตระกูลของท่านให้สูงส่งไปด้วยเลย

เราอยากเห็นทุกฝ่ายอดทนและปฏิบัติตามมาตรการรัฐที่ผ่านการปรึกษาร่วมของผู้เกี่ยวข้องโดยตรงหลายฝ่าย รัฐบาล จำต้องพูดความจริงและสื่อสารประชาสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน เพื่อก้าวข้ามวิกฤตการณ์นี้ไปพร้อมกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...