11 สิงหาคม พ.ศ. 2406 ‘กัมพูชา’ตกเป็นรัฐในอารักขาของ ‘ฝรั่งเศส’ หลังกองเรือรบ-ปืนใหญ่ จ่อหน้าเมืองอุดงมีชัย
กัมพูชาตกเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส หลังจากกษัตริย์เขมรทรงลงนามในสนธิสัญญากับจักรวรรดิฝรั่งเศส โดยมีเรือรบและปืนใหญ่จอดขู่หน้าเมืองอุดงมีชัย พลเรือเอก กรองดิแยร์ ตัวแทนฝรั่งเศสเป็นผู้นำการเจรจาโดยตรง กษัตริย์สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ไม่อาจปฏิเสธเงื่อนไข จึงจำต้องยินยอมท่ามกลางแรงกดดัน
หลังจากนั้น กษัตริย์เขมรได้มีพระราชสาส์นมากรุงเทพฯ ทูลขอพระราชทานอภัยจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โดยยืนยันว่าถูกบังคับให้ลงนาม พร้อมแสดงความกังวลว่าอาจถูกตำหนิว่าไม่ภักดีต่อสยาม ข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า “…ความข้อนี้สิ้นปัญญาแล้ว จึงยอมทำหนังสือสัญญากับฝรั่งเศส…”
รัชกาลที่ 4 ทรงตระหนักถึงความจำกัดของอำนาจสยาม จึงเลือกใช้การทูตแบบประนีประนอม ไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง พระองค์ทรงทำ “สัญญาลับ” กับเขมรเพื่อยืนยันสถานะประเทศราชของสยาม อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสไม่ยอมรับ และยื่นข้อเรียกร้องให้สัญญานั้นเป็นโมฆะ สุดท้าย สยามต้องยอมสละสิทธิ์เหนือเขมรในปี พ.ศ. 2410
แม้การสูญเสียเขมรจะเป็นเรื่องเจ็บปวด แต่รัชกาลที่ 4 มิได้ตำหนิกษัตริย์เขมร และยังทรงปลอบโยนด้วยความเมตตา พระราชหัตถเลขาหลายฉบับยืนยันว่าทรงเข้าใจสถานการณ์ และยังเคารพยกย่องสมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ในฐานะพระญาติ และเจ้าแห่งเขมรผู้มีเกียรติ
พระราชปณิธานของรัชกาลที่ 4 ที่มุ่งรักษาเอกราชของสยามเหนืออาณานิคม ท่ามกลางยุคจักรวรรดินิยม จึงไม่เพียงสะท้อนพระอัจฉริยภาพด้านการทูต แต่ยังแสดงถึงการประคองชาติด้วยสติและความเข้าใจในความเป็นจริงของโลก เป็นแบบอย่างสำคัญในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสยามในเวลาต่อมา