โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

แนวหน้าวิเคราะห์ : รัฐบาล‘แพทองธาร’เผชิญ‘วิกฤตซ้อนวิกฤต’ 3 ปัญหารุมเร้าหนัก ใกล้จุดเสื่อมศรัทธา?

แนวหน้า

เผยแพร่ 29 ก.ค. เวลา 17.00 น.

ต้องยอมรับว่ารัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กำลังเผชิญสถานการณ์รุมเร้าหลายด้านในช่วงเวลาเดียวกัน จนกลายเป็น วิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งภัยความมั่นคงปัญหาชายแดนไทย กัมพูชา ปัญหาภัยธรรมชาติจากพายุฝนหนักเกิดน้ำท่วมหนักหลายพื้นที่ต่อเนื่อง และโจทย์ทางเศรษฐกิจรอบด้านทั้งปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องรวมถึงกรณีภาษีสหรัฐที่ขีดเส้นตายภายใน 1 สิงหาคมนี้

วิกฤตความมั่นคงชายแดนไทย-กัมพูชา

เหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จ.ศรีสะเกษ บริเวณรอบ 3 ปราสาทพระวิหาร จนมีผู้เสียชีวิต 9 ราย และทหารไทยถูกกับระเบิดจนพิการเพิ่มอีกหลายราย เป็นสัญญาณบานปลายของข้อพิพาทพรมแดนที่เคยคุกรุ่นยาวนาน โดยรัฐบาลสั่งปิด 3 ปราสาทหลักและ 4 ด่านชายแดนชั่วคราวเพื่อป้องกันความสูญเสียเพิ่มเติม

รัฐบาลถูกจับตาว่าทั้งในมิติการทหาร การทูต และความร่วมมือกับอาเซียนเพื่อระงับเหตุโดยเฉพาะเมื่อเกิดความไม่ไว้วางใจว่ากัมพูชากำลังใช้สถานการณ์ในไทยเพื่อประโยชน์เชิงต่อรอง โดยรัฐบาลยังคงยืนยันการใช้แนวทางเจรจาผ่านช่องทางทวิภาคีและอาเซียน แต่แรงกดดันในประเทศเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความเด็ดขาดและคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนชายแดนอย่างเป็นรูปธรรม

และหลังยิงปะทะเดือดต่อเนื่องมา เป็นวันที่ 5 ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม การประชุมเจรจาของทั้งสองประเทศไทยและกัมพูชา ตามคำเชิญของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเชียในฐานะประธานอาเซียน ณ ทำเนียบนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในเมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย โดยมีตัวแทนสองชาติมหาอำนาจใหญ่ ทั้งสหรัฐกับสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีข้อตกลงให้หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข มีผลหลังเที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคมนั้น เบื้องต้นทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง ก่อนถึงเส้นตายเที่ยงคืนปรากฏว่าได้เกิดเหตุยิงถล่มกันอย่างหนักส่งท้าย ต่างฝ่ายได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

และวันที่ 29 กรกฎาคม โดยทางกองทัพภาคที่2ได้สรุปพบว่าแนวชายแดนได้มียิงปะทะหลายจุดฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง พบการก่อกวนและการใช้อาวุธโจมตีเข้ามาในหลายพื้นที่ ฝ่ายไทยตอบโต้กลับตามสถานการณ์ จึงทำให้"รัฐบาลไทย"ได้ออกแถลงการณ์ประณามกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง พร้อมย้ำปกป้องอธิปไตยทุกตารางนี้

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีกัมพูชายังคงมีการยิงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาละเมิดข้อตกลงให้หยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไขว่าได้มีหนังสือประท้วงไปที่ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และส่งหนังสือให้สหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะผู้สังเกตการณ์ที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ได้มีการประชุมหารือระหว่างพลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กับ ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชา ได้ข้อสรุป 7 ข้อ หยุดยิง,ห้ามใช้กำลังต่อประชาชนคนไทย,หยุดเพิ่มเติมกำลัง,ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง, ฝ่ายไทยจะอำนวยความสะดวกในการนำทหารกัมพูชาที่ได้รับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตออกจากพื้นที่การรบ,จัดตั้งชุดประสานงานเพื่อแก้ปัญหาตลอดแนวชายแดน,ให้กำลังทุกส่วนลดการเผชิญหน้าทุกรูปแบบ

จากนี้ไปต้องจับตาและเฝ้าระวังต่อไป เพราะหลายฝ่ายต่างเห็นว่าสถานการณ์โดยรวมยังไม่น่าไว้วางใจกับทางกัมพูชา แต่ในส่วนกำลังทหารไทยในพื้นที่อธิปไตยบริเวณชายแดน ยังคงกำลังต่อไป ส่วนประชาชนที่อพยพอยู่ศูนย์พักพิงก็ยังไม่สามารถกลับเข้าภูมิลำเนาได้ทันที ต้องดูสถานการณ์ก่อน

สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ การเยียวยา ฟื้นฟูกับผู้ประสบภัยจากปัญหาสงครามชายแดน ที่ต้องสูญเสียชีวิต บาดเจ็บ รวมทั้งบ้านเรือน โรงพยาบาล ที่พังเสียหายจากกระสุนปืนใหญ่กัมพูชา และต้องไม่ลืมเหตุการณ์ปะทะกันครั้งนี้ ได้มีทหารกล้าของไทย ต้องพลีชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทยหลายนายจะต้องดูแลครอบครัวของวีรบุรุษทหารกล้าเหล่านั้นด้วย

ภัยธรรมชาติ ฝนถล่ม น้ำท่วมซ้ำเติมภาคเหนือ

ในปีนี้ประเทศไทยยังไม่ถูกพายุลูกใหญ่ถล่มเต็มๆ เพิ่งเจอพายุแค่ลูกเดียว คือพายุ“วิภา”ซึ่งเป็นเพียงหางพายุฟาดพัดถล่มในพื้นที่ภาคเหนือส่งผลกระทบทำให้จังหวัดในภาคเหนือตอนบน ต้องเผชิญน้ำท่วมฉับพลันหลายอำเภอ ถนนถูกตัดขาด พื้นที่เกษตรได้รับความเสียหายวงกว้างเข้าพื้นที่ชุมนุมเขตเทศบาลเมือง อย่างเช่น จ.น่าน พะเยา แพร่ สุโขทัย โดยเฉพาะที่อ.แม่สาย จ.เชียงราย เจอมวลลำน้ำแม่สายไหลทะลักท่วมซ้ำซากไหลเข้าในเขตชุมนุมหลายชุมชน

เรื่องนี้เกิดเสียงวิจารณ์รัฐบาลในเรื่องแผนรับมือภัยพิบัติที่ยังไม่ทันการณ์และศักยภาพระบบเตือนภัยที่ไม่เข้าถึงประชาชนในหลายพื้นที่ แม้รัฐบาลเร่งส่งกำลังทหารและอาสาสมัครเข้าช่วย แต่ความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจชุมชนและเกษตรกรรม อาจทำให้เกิดแรงกระเพื่อมด้านเศรษฐกิจฐานรากทันที

วิกฤตเศรษฐกิจ: จับตาเส้นตายดีลภาษีกับสหรัฐ

อีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ คือ การเจรจาการค้ากับสหรัฐ ที่กำหนดเส้นตายปรับอัตราภาษี 1 สิงหาคมนี้ จับตาให้ดีว่าประเทศไทยจะได้ปรับอัตราภาษีเท่าประเทศในภูมิภาคนี้ไม่เกินร้อยละ20 หรือไม่ เนื่องจากสหรัฐมีท่าทีเพิ่มภาษีสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนจากไทย หากไทยไม่ยอมลดมาตรการบางอย่างที่สหรัฐ มองว่าละเมิดกติกาการค้าโลก หากเจรจาล้มเหลว จะกระทบการส่งออกที่เป็นเสาหลักเศรษฐกิจ และอาจกระทบห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมในประเทศทันที ท่ามกลางค่าเงินบาทที่อ่อนค่าและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น

โดยล่าสุดนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง หัวหน้าทีมไทยแลนด์ ระบุถึงการเจรจามาตรการภาษีสหรัฐฯหลังไทย-กัมพูชา มีการเจรจาหยุดยิงว่า วันนี้สหรัฐฯได้เปิดทางให้เจรจาต่อแล้วซึ่งจะมีการพูดคุยต่อเนื่อง เชื่อว่าทำทันแน่ ส่วนผลสรุปข้อตกลง เราจะเป็นอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่จะไม่มีการยื่นข้อเสนอไปใหม่แล้ว

"ขณะนี้เหลือเวลา 3 วัน ซึ่งอาจประกาศก่อนวันที่ 1 สิงหาคมก็ได้ อยู่ประมาณนี้ และคิดว่าเราไม่ควรจะโดน 36% แน่นอน"รมว.คลัง ย้ำ

เรื่องนี้เหลือเวลาอีกไม่มาก รัฐบาลต้องเดินเกมระมัดระวังให้เสร็จสิ้นก่อนขีดเส้นตาย โดยเตรียมมาตรการรองรับผู้ส่งออกและผู้ประกอบการ SMEs พร้อมหาแนวทางยืดหยุ่นเงื่อนไขกับสหรัฐเพื่อรักษาตลาดส่งออกสำคัญ

ถึงวันนี้รัฐบาลเจอความท้าทาย ความซับซ้อนของปัญหาหลายด้านพร้อมกัน หากรัฐบาลตอบสนองล่าช้า หรือผิดพลาด จะเกิดความไม่พอใจสะสม ภัยความมั่นคงชายแดนอาจบานปลาย หากเกิดการยั่วยุ ความไม่จริงใจของกัมพูชา อาจเหตุปะทะรุนแรงซ้ำ รัฐบาลเร่งสื่อสารสถานการณ์ให้ประชาชนรับรู้ต่อเนื่องและสร้างความมั่นใจ

ส่วนความเสียหายจากน้ำท่วม รัฐบาลเร่งเยียวยาและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมภายใน 7-14 วัน พร้อมใช้จังหวะนี้ผลักดันแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานน้ำอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ในการเจรจาภาษีกับสหรัฐ จะกดดันเศรษฐกิจและรายได้ภาครัฐ เร่งเจรจาสหรัฐ พร้อมเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกและอุตสาหกรรมในประเทศกรณีเลวร้าย รักษาเสถียรภาพภายในพรรคร่วมรัฐบาลไม่ให้เกิดการแตกแถว

สถานการณ์ขณะนี้ รัฐบาลยังมีเสถียรภาพเสียงในสภาระดับหนึ่งแม้จะเสียงปริ่มน้ำ แต่ยังไม่มีแรงสั่นคลอนบีบให้ถึงขั้นยุบสภา มีฐานเสียงประชาชนยังรอการแก้ปัญหาเศรษฐกิจภาพรวมจากรัฐบาล จะต้องวัดใจกับทีมเศรษฐกิจและทีมความมั่นคง จะประคับประคองสถานการณ์

รัฐบาล‘แพทองธารที่กำลังอยู่ในสถานการณ์วิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งภัยความมั่นคง ภัยธรรมชาติและโจทย์เศรษฐกิจสำคัญภาษีทรัมป์ การตอบสนองเชิงรุก รวดเร็วและสื่อสารกับประชาชนอย่างโปร่งใส จะเป็นตัวแปรสำคัญในการรักษาความเชื่อมั่น หากจัดการได้ดี รัฐบาลจะอยู่รอดและใช้โอกาสนี้เสริมความชอบธรรมในการบริหาร แต่หากจัดการล่าช้า ขาดความชัดเจน และ บกพร่องในการแก้ปัญหา อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นความเสื่อมศรัทธา”และนำไปสู่แรงกดดันทางการเมืองในอนาคตได้อย่างรวดเร็ว

- ทีมข่าวแนวหน้า

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...