LA GLACE จากทุน 7 หมื่น สู่แบรนด์ความงามพันล้านปี’68
ในโลกที่ธุรกิจความงามมีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แบรนด์น้องใหม่มักต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ไปจนถึงการพิสูจน์ตัวเองในตลาด แต่สำหรับ “LA GLACE” แบรนด์เครื่องสำอางที่เป็นที่นิยมในกลุ่มนักเรียน-นักศึกษา วัยรุ่น Gen Z และเป็นกระแสไวรัลในโลกออนไลน์ โดยทำยอดขายทุบสถิติติดท็อปเทนในแพลตฟอร์มออนไลน์หลายช่องทาง ที่ถือกำเนิดจากความมุ่งมั่นและความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ได้ก้าวผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วน พร้อมสร้างปรากฏการณ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่น่าจับตาในอุตสาหกรรมนี้
ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เกิดจากการล้มลุกคลุกคลานของ “ไอติม” ซีอีโอหญิง Gen Z ผู้สร้างอาณาจักรเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ LA GLACE ที่กำลังขับเคลื่อนตัวเองจาก “พรีเมี่ยมแมส” ไปสู่แบรนด์ชั้นนำของเอเชีย
“ไอติม-เอมลินทร์ ธีรธนากิตติพงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “เฟรนฟราย-ทิวาทัพพ์ ธรารักษ์อนันต์” ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท ไอดีล แอนด์ มาเวลลัส เท็น จำกัด ผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์ Beauty Product ชั้นนำLA GLACE (ลา-กลาส) ได้มาบอกเล่าถึงเรื่องราวการทำแบรนด์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงวันที่แบรนด์ประสบความสำเร็จ และแผนการดำเนินธุรกิจจากนี้ไป
เริ่มต้นจาก Passion
“ไอติม-เอมลินทร์” เริ่มเล่าว่า จากเด็กอายุ 19-20 ปี ที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างรายได้ โดยได้เริ่มต้นจากการตั้งคำถามกับตัวเองว่า “จะทำอะไรให้มีรายได้มากขึ้น” ซึ่งแฟนก็แนะนำให้ลองทำสิ่งที่เราชอบ จนสุดท้ายพบว่าสิ่งที่คนรอบตัวชอบถามคือ “ใช้อะไรแต่งหน้า ทำไมหน้าผ่อง หน้าเนียน” จึงทำให้เราตัดสินใจที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจความงาม ด้วยงบฯที่มีอยู่เพียง 70,000 บาท ซึ่งสินค้าตัวแรกที่ทำก็คือ “เบสโทนอัพหน้าเนียน” ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีตั้งแต่ที่เปิดตัว
บทเรียนราคา 20 ล้าน
โดยในช่วง 3 ปีแรกต้องยอมรับว่าแบรนด์มีอัตราการเติบโตที่เร็วมาก จนเราเองก็ไม่ได้ทันได้มองย้อนกลับมาว่าแบรนด์ยังขาดความแข็งแกร่งในเรื่องใด แต่กลับมีแต่ทุ่มงบฯ ลงทุนแบบเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยว เพราะเชื่อแค่ว่าตอนนั้นเราเก่งในเรื่องนี้แล้ว จนทำให้เราต้องเจอกับบทเรียนราคาแพงที่มีมูลค่าสูงถึง 20 ล้านบาท จากการขาดทุนที่เกิดจากการสต๊อกสินค้าเกินความจำเป็น และการถูกโกงจากการที่สั่งผลิตสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่ง ณ ตอนนั้นถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มหาศาลมาก
แต่อย่างไรก็ตาม จากวิกฤตครั้งนี้ก็ได้กลายมาเป็นบทเรียนที่ทำให้เราตกผลึกได้ว่า “จริง ๆ เรายังไม่เก่งพอ เราจะต้องเรียนรู้ให้มากกว่านี้” โดยหลังจากนั้นเราได้หันกลับมาดู ว่าแบรนด์มีจุดแข็งจุดอ่อนในเรื่องไหนบ้าง เพื่อที่จะทำให้แบรนด์กลับมาลุกยืนขึ้นใหม่ได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
มุ่งปั้นทีมงานซูเปอร์แมน
“ไอติม-เอมลินทร์” กล่าวต่อว่า โดยหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้ LA GLACE พลิกกลับมาได้อย่างแข็งแกร่งคือ “ทีมงาน” เพราะเรามองว่าการที่แบรนด์จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด จะต้องอาศัยบุคลากรที่มีศักยภาพ ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ได้มีการลงทุนในส่วนของพนักงานหนักมาก ไม่ว่าจะทั้งในแง่ของการพัฒนาสกิลพนักงาน เพื่อสร้างให้เด็กในทีมกลายเป็น “ซูเปอร์แมน” ให้กับแบรนด์
หรือแม้กระทั่งการเพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันเราก็มีจำนวนพนักงานอยู่ทั้งหมด 60 คน โดยกว่า 80-90% จะเป็นกลุ่ม Gen Z อายุเฉลี่ย 24-25 ปี เป็นส่วนใหญ่ซึ่งสิ้นปี 2568 เราคาดว่าจะมีพนักงานเพิ่มเป็น 80 คน
“เราเชื่อว่าการมีทีมงานที่ดี ไม่ว่าจะทำสิ่งอะไรก็ย่อมประสบความสำเร็จ ดังนั้น การคัดเลือกพนักงานเข้ามาร่วมทีมของเราจึงดำเนินการอย่างพิถีพิถันเป็นอย่างมาก เพราะเราก็อยากให้คนที่เค้ามีแพสชั่น และชื่นชอบในตัวแบรนด์จริง ๆ ได้เข้ามาทำงานในส่วนนี้ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีใบสมัครที่ส่งเข้ามาค้างอยู่เกือบ 8,000 คน”
ลูกค้าชนะเราก็ชนะ
ขณะเดียวกัน การบริการด้วยใจและความรับผิดชอบ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญ โดย “ไอติม-เอมลินทร์” ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ระบบสั่งซื้อล่ม จนทำให้ลูกค้าสั่งลิปสติกเกินจำนวนสต๊อก ซึ่งทางบริษัทก็ได้รีบออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วยการคืนเงินให้ลูกค้าเต็มจำนวน และจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าแบบไม่เก็บเงิน เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงการบริการที่จริงใจ
ปัจจุบันเราก็ได้มีการลงทุนในเรื่องของระบบที่ดูแลและบริการที่ดีทั้งก่อนและหลังการขายให้กับลูกค้า รวมถึงมีระบบหลังบ้านในการเก็บข้อมูล Data ครอบคลุม SOV (Share of Voice) และพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า เพื่อให้เราสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ Gen Z ได้อย่างตรงความต้องการ
“เพราะเราเชื่อว่าการยอมให้ลูกค้าเป็นฝ่ายชนะในตอนแรก จะนำมาซึ่งชัยชนะของแบรนด์ในระยะยาวจากการบอกต่อ”
ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ การที่แบรนด์ LA GLACE สามารถอยู่มาได้จนถึงปีที่ 8 และสามารถทำยอดขายได้สูงถึง 420 ล้านบาทในปี 2567 ที่ผ่านมา โดยคิดเป็นการเติบโตเกือบ 1,000% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มียอดขาย 12 ล้านบาท และปี 2565 ที่มียอดขาย 39.9 ล้านบาท
โดยมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายของสินค้าที่เป็น Product Hero ที่เปิดตัวในปี 2566 อย่าง “บลัชดำ” ที่ได้การตอบรับอย่างล้นหลาม จนสามารถทำยอดขายไปได้มากกว่า 1.5 ล้านชิ้น ขณะที่ผลิตภัณฑ์ตัวอื่นก็ยังคงได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะทั้ง LA GLACE MINI AIRY SKIN CONCEALER แบบซองสามารถทำยอดขายได้มากกว่า 1.5 ล้านชิ้นเช่นกัน
ถึงเวลาปูพรมพันร้านค้า
“เฟรนฟราย-ทิวาทัพพ์” กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เพื่อต่อยอดความสำเร็จดังกล่าว ในช่วงปลายปี 2567 เราก็ได้มีการขยายไลน์สินค้าจาก “บลัชดำ” ไปสู่สินค้าใหม่อย่าง “LA GLACE DAILY TONER PADS” แผ่นบำรุงผิวหน้าก่อนแต่งหน้า ซึ่งได้สร้างกระแสฟีเวอร์ทันทีที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ สะท้อนจากการเปิดขายวันแรกจากการ Live เพียง 4 ชั่วโมง สามารถทำยอดขายได้มากกว่า 31 ล้านบาท จนได้กลายเป็น Product Hero ตัวใหม่ที่จะมาสร้างการเติบโตให้กับบริษัท โดยสิ้นปี 2568 คาดว่า “LA GLACE DAILY TONER PADS” จะสามารถทำยอดขายได้ถึง 600-700 ล้านบาท เมื่อรวมกับยอดขาย “บลัชดำ” และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ทำยอดขายโดยรวมมากกว่าปีละ 300-400 ล้านบาท
รวมถึงในปี 2568 บริษัทก็มีแผนที่เพิ่มสินค้าใหม่อีกประมาณ 20 รายการ จากปัจจุบันมีสินค้าอยู่ประมาณ 80 รายการ ครอบคลุมใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ เมกอัพ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (สกินแคร์) และ มาสก์ชีต (Mask Sheet) ควบคู่ไปกับการนำเสนอสินค้าผ่านช่องทางร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามทั่วประเทศ โดยวางเป้าหมายขยายให้ครอบคลุม 1,000 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ 150 แห่ง เช่น Watsons, Beautrium, EVEANDBOY และ 7-Eleven
“ป่าล้อมเมือง” รุกตลาดจีน
ขณะที่ในส่วนของตลาดต่างประเทศ เบื้องต้นมีการวางแผนว่าภายใน 3 ปี (2569-2571) จะสามารถขยายตลาดไปในเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และสหรัฐอเมริกาได้มากขึ้น โดยหมุดหมายแรกที่มีแผนจะไปก็คือฮ่องกง เพราะถือเป็น Gateway ประตูสู่ลูกค้า Gen Z ชาวจีนแผ่นดินใหญ่
ซึ่งเราจะใช้กลยุทธ์แบบ “ป่าล้อมเมือง” ด้วยการทำการตลาดในแพลตฟอร์ม Xiaohongshu ที่คล้ายกับ Lemon8 ในประเทศไทย เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อจากผู้บริโภคชาวจีน เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคชาวจีนเริ่มซื้อสินค้าผ่านการบอกต่อและการรีวิวในแอปพลิเคชั่นนี้ เราจึงได้มีการเปิดบัญชีทางการ และเริ่มมีการใช้รีวิวจากชาวจีน เพื่อนำไปสู่การติดต่อสอบถามเข้ามา ซึ่งปัจจุบันก็ถือว่าได้การตอบรับที่ดี รวมถึงตอนนี้ก็ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร เพื่อขยายตลาดไปยังกัมพูชาและเวียดนามอีกด้วย
เล็งทั้ง IPO-M&A
“เฟรนฟราย-ทิวาทัพพ์” กล่าวว่า นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยตั้งเป้าหมายที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในปี 2571-2572 ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมความพร้อม ทั้งในเรื่องของบัญชี ระบบโครงสร้างต่าง ๆ รวมถึงยังมองหาโอกาสในการลงทุนในแบรนด์ที่มีศักยภาพทั้งในและต่างประเทศ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยมองภาพระยะยาวว่าองค์กรของเราจะสามารถก้าวสู่การเป็น Holding Company ได้อย่างเต็มตัวในอนาคต
ตั้งเป้า 2,000 ล้านใน 3 ปี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันจะมีข้อจำกัดในด้านของกำลังการผลิตที่ไม่อาจจะมั่นใจได้ว่าจะผลิตได้ทันตามความต้องการของลูกค้าหรือไม่ เนื่องจากยังเป็นการใช้โรงงาน OEM แต่ก็เชื่อว่าหากโรงงานสามารถผลิตได้ทัน ยอดขายก็น่าจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน
โดยสิ้นปี 2568 คาดว่าจะมียอดขายแตะ 1,000 ล้านบาท และภายใน 3 ปีคาดว่าจะมียอดขายแตะ 2,000 ล้านบาท
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : LA GLACE จากทุน 7 หมื่น สู่แบรนด์ความงามพันล้านปี’68
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net