โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

LA GLACE จากทุน 7 หมื่น สู่แบรนด์ความงามพันล้านปี’68

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 22 มิ.ย. เวลา 05.29 น. • เผยแพร่ 22 มิ.ย. เวลา 05.29 น.
เอมลินทร์ ธีรธนากิตติพงษ์-ทิวาทัพพ์ ธรารักษ์อนันต์

ในโลกที่ธุรกิจความงามมีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แบรนด์น้องใหม่มักต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ไปจนถึงการพิสูจน์ตัวเองในตลาด แต่สำหรับ “LA GLACE” แบรนด์เครื่องสำอางที่เป็นที่นิยมในกลุ่มนักเรียน-นักศึกษา วัยรุ่น Gen Z และเป็นกระแสไวรัลในโลกออนไลน์ โดยทำยอดขายทุบสถิติติดท็อปเทนในแพลตฟอร์มออนไลน์หลายช่องทาง ที่ถือกำเนิดจากความมุ่งมั่นและความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ได้ก้าวผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วน พร้อมสร้างปรากฏการณ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่น่าจับตาในอุตสาหกรรมนี้

ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เกิดจากการล้มลุกคลุกคลานของ “ไอติม” ซีอีโอหญิง Gen Z ผู้สร้างอาณาจักรเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ LA GLACE ที่กำลังขับเคลื่อนตัวเองจาก “พรีเมี่ยมแมส” ไปสู่แบรนด์ชั้นนำของเอเชีย

“ไอติม-เอมลินทร์ ธีรธนากิตติพงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “เฟรนฟราย-ทิวาทัพพ์ ธรารักษ์อนันต์” ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท ไอดีล แอนด์ มาเวลลัส เท็น จำกัด ผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์ Beauty Product ชั้นนำLA GLACE (ลา-กลาส) ได้มาบอกเล่าถึงเรื่องราวการทำแบรนด์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงวันที่แบรนด์ประสบความสำเร็จ และแผนการดำเนินธุรกิจจากนี้ไป

เริ่มต้นจาก Passion

“ไอติม-เอมลินทร์” เริ่มเล่าว่า จากเด็กอายุ 19-20 ปี ที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างรายได้ โดยได้เริ่มต้นจากการตั้งคำถามกับตัวเองว่า “จะทำอะไรให้มีรายได้มากขึ้น” ซึ่งแฟนก็แนะนำให้ลองทำสิ่งที่เราชอบ จนสุดท้ายพบว่าสิ่งที่คนรอบตัวชอบถามคือ “ใช้อะไรแต่งหน้า ทำไมหน้าผ่อง หน้าเนียน” จึงทำให้เราตัดสินใจที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจความงาม ด้วยงบฯที่มีอยู่เพียง 70,000 บาท ซึ่งสินค้าตัวแรกที่ทำก็คือ “เบสโทนอัพหน้าเนียน” ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีตั้งแต่ที่เปิดตัว

บทเรียนราคา 20 ล้าน

โดยในช่วง 3 ปีแรกต้องยอมรับว่าแบรนด์มีอัตราการเติบโตที่เร็วมาก จนเราเองก็ไม่ได้ทันได้มองย้อนกลับมาว่าแบรนด์ยังขาดความแข็งแกร่งในเรื่องใด แต่กลับมีแต่ทุ่มงบฯ ลงทุนแบบเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยว เพราะเชื่อแค่ว่าตอนนั้นเราเก่งในเรื่องนี้แล้ว จนทำให้เราต้องเจอกับบทเรียนราคาแพงที่มีมูลค่าสูงถึง 20 ล้านบาท จากการขาดทุนที่เกิดจากการสต๊อกสินค้าเกินความจำเป็น และการถูกโกงจากการที่สั่งผลิตสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่ง ณ ตอนนั้นถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มหาศาลมาก

แต่อย่างไรก็ตาม จากวิกฤตครั้งนี้ก็ได้กลายมาเป็นบทเรียนที่ทำให้เราตกผลึกได้ว่า “จริง ๆ เรายังไม่เก่งพอ เราจะต้องเรียนรู้ให้มากกว่านี้” โดยหลังจากนั้นเราได้หันกลับมาดู ว่าแบรนด์มีจุดแข็งจุดอ่อนในเรื่องไหนบ้าง เพื่อที่จะทำให้แบรนด์กลับมาลุกยืนขึ้นใหม่ได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

มุ่งปั้นทีมงานซูเปอร์แมน

“ไอติม-เอมลินทร์” กล่าวต่อว่า โดยหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้ LA GLACE พลิกกลับมาได้อย่างแข็งแกร่งคือ “ทีมงาน” เพราะเรามองว่าการที่แบรนด์จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด จะต้องอาศัยบุคลากรที่มีศักยภาพ ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ได้มีการลงทุนในส่วนของพนักงานหนักมาก ไม่ว่าจะทั้งในแง่ของการพัฒนาสกิลพนักงาน เพื่อสร้างให้เด็กในทีมกลายเป็น “ซูเปอร์แมน” ให้กับแบรนด์

หรือแม้กระทั่งการเพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันเราก็มีจำนวนพนักงานอยู่ทั้งหมด 60 คน โดยกว่า 80-90% จะเป็นกลุ่ม Gen Z อายุเฉลี่ย 24-25 ปี เป็นส่วนใหญ่ซึ่งสิ้นปี 2568 เราคาดว่าจะมีพนักงานเพิ่มเป็น 80 คน

“เราเชื่อว่าการมีทีมงานที่ดี ไม่ว่าจะทำสิ่งอะไรก็ย่อมประสบความสำเร็จ ดังนั้น การคัดเลือกพนักงานเข้ามาร่วมทีมของเราจึงดำเนินการอย่างพิถีพิถันเป็นอย่างมาก เพราะเราก็อยากให้คนที่เค้ามีแพสชั่น และชื่นชอบในตัวแบรนด์จริง ๆ ได้เข้ามาทำงานในส่วนนี้ ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีใบสมัครที่ส่งเข้ามาค้างอยู่เกือบ 8,000 คน”

ลูกค้าชนะเราก็ชนะ

ขณะเดียวกัน การบริการด้วยใจและความรับผิดชอบ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญ โดย “ไอติม-เอมลินทร์” ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ระบบสั่งซื้อล่ม จนทำให้ลูกค้าสั่งลิปสติกเกินจำนวนสต๊อก ซึ่งทางบริษัทก็ได้รีบออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วยการคืนเงินให้ลูกค้าเต็มจำนวน และจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าแบบไม่เก็บเงิน เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงการบริการที่จริงใจ

ปัจจุบันเราก็ได้มีการลงทุนในเรื่องของระบบที่ดูแลและบริการที่ดีทั้งก่อนและหลังการขายให้กับลูกค้า รวมถึงมีระบบหลังบ้านในการเก็บข้อมูล Data ครอบคลุม SOV (Share of Voice) และพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า เพื่อให้เราสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ Gen Z ได้อย่างตรงความต้องการ

“เพราะเราเชื่อว่าการยอมให้ลูกค้าเป็นฝ่ายชนะในตอนแรก จะนำมาซึ่งชัยชนะของแบรนด์ในระยะยาวจากการบอกต่อ”

ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ การที่แบรนด์ LA GLACE สามารถอยู่มาได้จนถึงปีที่ 8 และสามารถทำยอดขายได้สูงถึง 420 ล้านบาทในปี 2567 ที่ผ่านมา โดยคิดเป็นการเติบโตเกือบ 1,000% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มียอดขาย 12 ล้านบาท และปี 2565 ที่มียอดขาย 39.9 ล้านบาท

โดยมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายของสินค้าที่เป็น Product Hero ที่เปิดตัวในปี 2566 อย่าง “บลัชดำ” ที่ได้การตอบรับอย่างล้นหลาม จนสามารถทำยอดขายไปได้มากกว่า 1.5 ล้านชิ้น ขณะที่ผลิตภัณฑ์ตัวอื่นก็ยังคงได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะทั้ง LA GLACE MINI AIRY SKIN CONCEALER แบบซองสามารถทำยอดขายได้มากกว่า 1.5 ล้านชิ้นเช่นกัน

ถึงเวลาปูพรมพันร้านค้า

“เฟรนฟราย-ทิวาทัพพ์” กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เพื่อต่อยอดความสำเร็จดังกล่าว ในช่วงปลายปี 2567 เราก็ได้มีการขยายไลน์สินค้าจาก “บลัชดำ” ไปสู่สินค้าใหม่อย่าง “LA GLACE DAILY TONER PADS” แผ่นบำรุงผิวหน้าก่อนแต่งหน้า ซึ่งได้สร้างกระแสฟีเวอร์ทันทีที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ สะท้อนจากการเปิดขายวันแรกจากการ Live เพียง 4 ชั่วโมง สามารถทำยอดขายได้มากกว่า 31 ล้านบาท จนได้กลายเป็น Product Hero ตัวใหม่ที่จะมาสร้างการเติบโตให้กับบริษัท โดยสิ้นปี 2568 คาดว่า “LA GLACE DAILY TONER PADS” จะสามารถทำยอดขายได้ถึง 600-700 ล้านบาท เมื่อรวมกับยอดขาย “บลัชดำ” และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ทำยอดขายโดยรวมมากกว่าปีละ 300-400 ล้านบาท

รวมถึงในปี 2568 บริษัทก็มีแผนที่เพิ่มสินค้าใหม่อีกประมาณ 20 รายการ จากปัจจุบันมีสินค้าอยู่ประมาณ 80 รายการ ครอบคลุมใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ เมกอัพ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (สกินแคร์) และ มาสก์ชีต (Mask Sheet) ควบคู่ไปกับการนำเสนอสินค้าผ่านช่องทางร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามทั่วประเทศ โดยวางเป้าหมายขยายให้ครอบคลุม 1,000 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ 150 แห่ง เช่น Watsons, Beautrium, EVEANDBOY และ 7-Eleven

“ป่าล้อมเมือง” รุกตลาดจีน

ขณะที่ในส่วนของตลาดต่างประเทศ เบื้องต้นมีการวางแผนว่าภายใน 3 ปี (2569-2571) จะสามารถขยายตลาดไปในเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และสหรัฐอเมริกาได้มากขึ้น โดยหมุดหมายแรกที่มีแผนจะไปก็คือฮ่องกง เพราะถือเป็น Gateway ประตูสู่ลูกค้า Gen Z ชาวจีนแผ่นดินใหญ่

ซึ่งเราจะใช้กลยุทธ์แบบ “ป่าล้อมเมือง” ด้วยการทำการตลาดในแพลตฟอร์ม Xiaohongshu ที่คล้ายกับ Lemon8 ในประเทศไทย เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อจากผู้บริโภคชาวจีน เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคชาวจีนเริ่มซื้อสินค้าผ่านการบอกต่อและการรีวิวในแอปพลิเคชั่นนี้ เราจึงได้มีการเปิดบัญชีทางการ และเริ่มมีการใช้รีวิวจากชาวจีน เพื่อนำไปสู่การติดต่อสอบถามเข้ามา ซึ่งปัจจุบันก็ถือว่าได้การตอบรับที่ดี รวมถึงตอนนี้ก็ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร เพื่อขยายตลาดไปยังกัมพูชาและเวียดนามอีกด้วย

เล็งทั้ง IPO-M&A

“เฟรนฟราย-ทิวาทัพพ์” กล่าวว่า นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยตั้งเป้าหมายที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในปี 2571-2572 ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมความพร้อม ทั้งในเรื่องของบัญชี ระบบโครงสร้างต่าง ๆ รวมถึงยังมองหาโอกาสในการลงทุนในแบรนด์ที่มีศักยภาพทั้งในและต่างประเทศ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยมองภาพระยะยาวว่าองค์กรของเราจะสามารถก้าวสู่การเป็น Holding Company ได้อย่างเต็มตัวในอนาคต

ตั้งเป้า 2,000 ล้านใน 3 ปี

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันจะมีข้อจำกัดในด้านของกำลังการผลิตที่ไม่อาจจะมั่นใจได้ว่าจะผลิตได้ทันตามความต้องการของลูกค้าหรือไม่ เนื่องจากยังเป็นการใช้โรงงาน OEM แต่ก็เชื่อว่าหากโรงงานสามารถผลิตได้ทัน ยอดขายก็น่าจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน

โดยสิ้นปี 2568 คาดว่าจะมียอดขายแตะ 1,000 ล้านบาท และภายใน 3 ปีคาดว่าจะมียอดขายแตะ 2,000 ล้านบาท

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : LA GLACE จากทุน 7 หมื่น สู่แบรนด์ความงามพันล้านปี’68

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...