โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ตีปี๊บไอเดีย'เสมียน'ประเทศ! 'เพื่อไทย'ชูไอเดีย'ทักษิณ'เป็นฉากๆ

แนวหน้า

เผยแพร่ 17 ก.ค. เวลา 17.00 น.

เพจพรรคเพื่อไทยชูไอเดีย'ทักษิณ' หลังไปในพูดงาน “Unlocking Thailand’s Future – ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” พร้อมสรุปเป็นข้อๆผ่านอินโฟกราฟฟิก

วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 เพจเฟซบุ๊ก "เพื่อไทย" โพสต์ภาพอินโฟกราฟฟิก สรุปเนื้อหาที่ นาย ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปาฐกถาพิเศษในงาน “Unlocking Thailand’s Future – ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” ซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยเป็นเวทีที่เปิดให้ผู้นำจากหลายภาคส่วนมานำเสนอวิสัยทัศน์และแนวทางพาประเทศไทยฝ่าวิกฤตของโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ความมั่นคง หรือระบบบริหาร

พร้อมมีเนื้อหาระบุว่า “ดร.ทักษิณ” ปาฐกถาพิเศษ “ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย” เสนอแผนพลิกฟื้นทั้งระบบ - จากหนี้ครัวเรือน รถไฟฟ้า 20 บาท สู่ Soft Power, คริปโต, ระบบราชการใหม่ รื้อระบบใต้โต๊ะ และ “ผู้ว่า CEO”

วันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 23 และที่ปรึกษาประธานอาเซียน ขึ้นเวทีปาฐกถาพิเศษในงาน “Unlocking Thailand’s Future – ปลดล็อกอนาคตประเทศไทย สู้วิกฤติโลก” ซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) โดยเป็นเวทีที่เปิดให้ผู้นำจากหลายภาคส่วนมานำเสนอวิสัยทัศน์และแนวทางพาประเทศไทยฝ่าวิกฤตของโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ความมั่นคง หรือระบบบริหาร

ดร.ทักษิณใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงในการบรรยาย โดยเปิดปาฐกถาสะท้อนความห่วงใยต่อทิศทางของประเทศ พร้อมเสนอแผนฟื้นฟูประเทศอย่างเป็นระบบ ซึ่งครอบคลุมทั้งการคลี่คลายปัญหาเฉพาะหน้า และการออกแบบระบบใหม่ระยะยาวเพื่อให้ประเทศสามารถแข่งขันได้อีกครั้งในเวทีโลก

“ประเทศไทยวันนี้สะดุดอยู่กับที่ - หลายเรื่องถอยหลังลงคลอง”

“เรามีทรัพยากร มีคนเก่ง มีความพร้อม แต่ประเทศกลับเหมือนกำลังย่ำอยู่กับที่ บางเรื่องถอยหลังลงคลองเสียด้วยซ้ำ” ดร.ทักษิณกล่าวเปิดปาฐกถา โดยย้ำว่าตนติดตามสถานการณ์ของประเทศไทยมาตลอดกว่า 20 ปี นับตั้งแต่พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรู้สึกเป็นห่วงว่า โครงสร้างรัฐไทยไม่สามารถรองรับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ได้อีกต่อไป

ดร.ทักษิณ ระบุว่าระบบราชการขาดความยืดหยุ่น ล้าหลัง และกลายเป็น “เครื่องจักรที่ไม่มีใครควบคุม” แม้เจ้าหน้าที่บางคนจะมีความสามารถ แต่ระบบโดยรวมกลับไม่มีพลัง ไม่มีความเชื่อมั่นร่วมกันในสังคม “เราขาดพลังแห่งความเชื่อมั่น และพลังแห่งความรักในกันและกัน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงในการเปลี่ยนแปลงประเทศ”

“ถ้าไม่ลดภาระประชาชน - เศรษฐกิจจะไร้แรงฟื้น”

ในช่วงกลางของปาฐกถา ดร.ทักษิณลงลึกในรายละเอียดด้านเศรษฐกิจ โดยชี้ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูง แต่ไม่สามารถดึงมาใช้ได้เต็มที่ GDP ของไทยในปัจจุบัน เติบโตต่ำกว่าที่ควรจะเป็นถึง 22–75% โดยเฉพาะภาค SMEs และเกษตรกรรมที่ถูกนโยบายไม่ทันยุคซ้ำเติมอย่างหนัก เช่น การปล่อยให้สินค้าจีนทุ่มตลาดโดยไม่ผ่านมาตรฐานควบคุม ทำให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันไม่ได้

หนึ่งในข้อเสนอเร่งด่วน คือ “AMC สำหรับประชาชน” ซึ่งแยกออกจาก AMC เดิมของระบบการเงิน โดยให้รัฐออกกฎหมายเฉพาะเพื่อให้สามารถซื้อหนี้ของประชาชนมาบริหารอย่างมีมนุษยธรรม โดยเฉพาะหนี้ที่เกิดจากการดำรงชีวิตในภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่น หนี้จากบัตรเครดิต หนี้รายวัน หรือหนี้ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเสี่ยงอย่างการพนันและหวยใต้ดินที่กำลังลุกลามอย่างหนัก

“ถ้าเราไม่ปลดล็อกหนี้วันนี้ กำลังซื้อจะไม่มีวันกลับมา และประชาชนจะไม่มีแรงสร้างเศรษฐกิจใหม่ใด ๆ ได้เลย” ดร.ทักษิณกล่าว พร้อมย้ำว่าแนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็น “การปลดล็อกระบบหายใจของเศรษฐกิจไทย”

“20 บาทตลอดสาย - ปลดล็อกการเดินทางของประชาชน”

ดร.ทักษิณกล่าวถึงโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ว่าเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่เขาเสนอไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างรถไฟฟ้า 10 สายในสมัยเป็นรัฐบาล แต่วันนี้คนไทยกลับยังเข้าไม่ถึง เพราะค่าโดยสารสูงเกินไป และไม่มีระบบฟีดเดอร์ที่เชื่อมโยงทั่วถึง

เขาเสนอให้รัฐนำรายได้จากระบบขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) มาอุดหนุนค่าขนส่งสาธารณะ และดึงรถเมล์และรถสองแถวท้องถิ่นมาเป็นฟีดเดอร์แท้จริง เพื่อให้คนทุกระดับเข้าถึงระบบคมนาคมของเมืองได้ ไม่ใช่แค่คนชั้นกลางในเขตเมืองเท่านั้น

ขณะเดียวกันถนนใหญ่ๆ ต้องทำถนนชาร์จไฟแบบไร้สาย ซึ่งต่างประเทศเขาทำกัน เพื่อนำเงินส่วนนี้มาเป็นเงินอุดหนุนให้กับคนทั่วไปที่ใช้รถสาธารณะ ซึ่งทั้งหมดจะเร่งให้เสร็จภายใน 2-3 เดือนนี้

“เปิด Sandbox คริปโต - ดึง ‘เงินใหม่’ เข้าสู่ประเทศ”

อีกหนึ่งประเด็นใหม่ที่ ดร.ทักษิณ เปิดเผยสิ่งที่กำลังจะดำเนินการ คือการเตรียมเปิด “Sandbox คริปโตเคอร์เรนซี” ทั่วประเทศ ภายใน 2–3 เดือนข้างหน้า โดยทราบว่ามีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นกลไกหลักในการอนุญาตให้ใช้ e-money ซึ่งจะปูทางให้ผู้ถือครอง Bitcoin และ Ethereum ใช้จับจ่ายซื้อสินค้าและบริการในประเทศไทยได้

เขายกตัวอย่างสายการบินที่เริ่มรับ Bitcoin แล้ว และอธิบายว่า ระบบแปลงค่าเงินแบบเรียลไทม์จะทำให้ร้านค้าไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนของราคาคริปโต ซึ่งต่างจากการรับเงินต่างประเทศแบบเดิม

“เงินใหม่” หรือ Fresh Money จากกลุ่มที่ถือครองคริปโตทั่วโลกจะไหลเข้าประเทศไทย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างสภาพคล่องให้ระบบโดยไม่ต้องพึ่งแต่ภาษีหรือหนี้สาธารณะ

“AOT ควรเป็นเสาหลักเศรษฐกิจการบิน - PSC ต้องปรับ”

ดร.ทักษิณ มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพจะเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค แต่กลับเรียกเก็บค่าธรรมเนียมผู้โดยสารขาออก (PSC) ต่ำกว่าสิงคโปร์มาก เขาเสนอว่าหากปรับเพิ่มเพียง 100 บาท จะทำให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) มีกำไรเพิ่มปีละกว่า 14,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอจะขยายสนามบินในภูมิภาค และสร้างศูนย์คาร์โกกับศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ได้เต็มรูปแบบ

“ราชการใหญ่เกินไป - ไม่มีเจ้าภาพนโยบาย ต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่ทั้งระบบ”

ดร.ทักษิณ กล่าวว่า หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ประเทศไม่ก้าวหน้า คือระบบราชการที่ใหญ่ขึ้นแต่บริการแย่ลง โดยเฉพาะช่วงหลังจากที่ตนพ้นตำแหน่ง “สมัยผมอยู่ พยายามให้ข้าราชการทำงานวันเสาร์อาทิตย์ ทุกวันนี้ไม่เหลือแล้ว”

เขาเสนอแนวคิดให้ “มหาวิทยาลัยเข้ามาช่วยทำแผนปฏิรูปราชการ” แทนการให้กลุ่มนักการเมืองเข้าไปควบคุม เพื่อให้เกิดความเป็นกลาง และสามารถวางโครงสร้างองค์กรใหม่ที่เหมาะสมกับภารกิจของแต่ละกระทรวง พร้อมเสนอให้ใช้ระบบ “ค่าธรรมเนียมบริการ” แทนใต้โต๊ะ เช่น ค่ารังวัดที่ดินที่สามารถเปิดเผยได้ตรงไปตรงมา และนำรายได้ไปเป็นสวัสดิการของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างโปร่งใส

เขายังเปรียบเทียบกับดูไบ ซึ่งไม่มีภาษีแต่มีระบบเก็บ “ฟี” จากทุกบริการของรัฐ แล้วนำกลับมาเป็นค่าตอบแทนรัฐที่มีคุณภาพ “ถ้าเก็บบนโต๊ะได้ และเจ้าหน้าที่มีคุณภาพ เราจะไม่ต้องกลัวใต้โต๊ะอีกต่อไป”

“ต้องคืนผู้ว่า CEO - คืนเจ้าภาพให้ทุกจังหวัด”

หนึ่งในแนวทางเชิงโครงสร้างที่ดร.ทักษิณหยิบยกกลับมาคือแนวคิด “ผู้ว่า CEO” ซึ่งเคยเป็นนโยบายของรัฐบาลไทยรักไทย โดยเขาเสนอให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่ CEO ของแต่ละกระทรวง และผู้ว่าราชการจังหวัดทำหน้าที่ CEO ประจำจังหวัด ซึ่งหมายถึงการเป็นเจ้าภาพในนโยบายทุกมิติ ตั้งแต่วางยุทธศาสตร์ ประเมินผล และรับผิดชอบต่อประชาชนโดยตรง “ถ้าไม่มีเจ้าภาพ ไม่มีใครรับผิดชอบจริง ประเทศก็ไม่เดินหน้า”

“ความมั่นคงต้องมาพร้อมความปลอดภัย - สมาร์ทซิตี้ไม่ใช่แค่กล้อง แต่คือความไว้วางใจ”

ในช่วงท้ายของปาฐกถา ดร.ทักษิณเล่าถึงเหตุการณ์ส่วนตัวที่มีผู้ปาระเบิดควันใกล้บ้านของตนเองในย่านวงเวียนใหญ่ แต่สามารถจับคนร้ายได้จากกล้องวงจรปิดทั่วเมือง เขาใช้กรณีนี้เป็นตัวอย่างว่า “ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ต้องสร้างความมั่นใจ” โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวที่ต้องรีบยกระดับเป็นสมาร์ทซิตี้ให้ได้โดยเร็ว

สำหรับการดูแลเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว เขาเสนอให้ใช้ AI Camera ติดตั้งในพื้นที่สำคัญ พร้อมเสนอให้ทำ ประกันภัยสำหรับนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างความมั่นใจ โดยกล่าวว่า “หากผมไปจีน เที่ยวหน้า จะให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เลยว่า ถ้าใครมาไทยแล้วโดนฆ่าหรือโดนปล้น ผมจะรับผิดชอบเอง” เพราะประเทศไทยต้องสร้างความปลอดภัยให้เป็นทรัพย์สินร่วมของทุกคน

“Soft Power ต้องมาเต็ม - F1 + Tomorrowland + Bangkok Fashion Week”

ดร.ทักษิณ ยืนยันว่า Soft Power ไม่ใช่แค่เพลงหรือหนัง แต่คืออุตสาหกรรมสร้างมูลค่าที่รัฐต้องส่งเสริมอย่างจริงจัง โดยเปิดเผยว่า ปีหน้าจะมีคอนเสิร์ต Tomorrowland และการแข่งขันรถสูตร 1 (F1) จัดในประเทศไทยจะเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก

และเสนอแนวทางให้เก็บค่าชมจากนักท่องเที่ยวในอัตราสูง แต่เก็บจากคนไทยเพียง 100 บาท และจัดควบคู่กับงานอื่น เช่น Bangkok Fashion Week และคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ ซึ่งจะกระตุ้นการท่องเที่ยว การบริโภค และทำให้โรงแรมในกรุงเทพฯ เต็มในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นแนวทางรัฐบาล โดยนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬากำลังดำเนินการอยู่

“ผมเป็นเสมียนประเทศ รวบรวมข้อมูลส่งต่อให้ท่านนายกฯ และ รัฐบาล”

ปิดท้ายการปาฐกถา ดร.ทักษิณย้ำว่า “ผมไม่ต้องการตำแหน่งทางการเมือง” แต่ยินดีเป็น “เสมียนประเทศ” ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล กลั่นกรองข้อเสนอ และส่งต่อให้รัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ซึ่งเขาหวังว่าจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

“ไม่มีใครเปลี่ยนนายกฯ ได้หรอก เพราะวันนี้ ประเทศไทยต้องการความต่อเนื่องในการแก้ปัญหา ไม่ใช่ความวุ่นวายอีก”

ดร.ทักษิณ ทิ้งท้ายด้วยเรื่องเล่าจากเพื่อนสิงคโปร์ที่เคยกล่าวว่า “ตอนยูกลับมา เราหนักใจ เพราะไทยอาจกลับมาแข่งขันได้อีก แต่พอเห็นทะเลาะกันแบบนี้ เราก็สบายใจแล้ว” ซึ่งดร.ทักษิณกล่าวว่า นั่นคือความน่าเศร้าที่แท้จริงของสังคมไทย พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่าย “หันหน้าเข้าหากัน ยุติความขัดแย้งไร้สาระ แล้วร่วมมือกันพาประเทศไปข้างหน้า”

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...