ครม.ไฟเขียวกฏหมาย 3 ฉบับ ส่งเงินสมทบ'กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง' เริ่มบังคับใช้ปี 68
ครม.ไฟเขียวกฎหมายแรงงาน 3 ฉบับเก็บเงินสมทบ ‘กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง’ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนลูกจ้างหลังออกจากงาน- เกษียณอายุ เริ่มใช้ตุลาฯปี 68
5 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) และร่างกฎกระทรวงรวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ได้แก่
1.พ.ร.ฎ.กำหนดระยะเวลา เริ่มดำเนินการ จัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบทุนกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ…. โดยกำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสม และเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 68 เป็นต้นไป
2.ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ…. ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.68 เป็นต้นไปโดยกำหนดอัตราเงินสะสมจากลูกจ้างและเงินสมทบจากนายจ้างที่แต่ละฝ่าย จะต้องนำส่งเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ดังนี้ (1) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค 68- 30 ก.ย 73 ลูกจ้างและนายจ้าง ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯในอัตราร้อยละ 0.25 ของค่าจ้าง (2) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค 73 เป็นต้นไปลูกจ้างและนายจ้าง ต้องนำส่งเข้ากองทุน ในอัตราร้อยละ 0.5 ของค่าจ้าง
และ3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ. … ทั้งนี้ หากนายจ้างไม่ได้จัดให้มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และไม่ได้จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง นายจ้างต้องจัดให้มีการส่งของลูกจ้างตามหลักเกณฑ์ในร่างกฎกระทรวงนี้ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 68 เป็นต้นไป
เนื่องด้วย เศรษฐกิจปัจจุบัน มีความไม่แน่นอน ส่งผลให้สถานประกอบกิจการหลายแห่ง มีการเลิกจ้างลูกจ้าง ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และเป็นหลักประกันในการทำงานให้กับลูกจ้างกรณีต้องออกจากงานหรือตาย จึงต้องมีการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบ เพื่อเป็นเงินสงเคราะห์ลูกจ้างในกรณีดังกล่าว โดยกำหนดให้นายจ้าง หักค่าจ้างลูกจ้าง เพื่อเป็นเงินสะสม และให้นายจ้าง จ่ายเงินสมทบตามอัตรา ที่นายจ้างและลูกจ้างถูกลงทุนไว้ โดยเมื่อลูกจ้างลาออกหรือเกษียณอายุ หรือตกลงเลิกสัญญา ให้นายจ้าง มีหน้าที่คืนเงินสะสม และเงินสมทบพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้าง