โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

'ไมเคิล หว่อง' | 'คนไกล' ของวงการบันเทิงไทย 'คนอื่น' ของวงการหนังฮ่องกง

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 15 พ.ย. 2566 เวลา 10.31 น. • เผยแพร่ 19 พ.ย. 2566 เวลา 01.00 น.
Photo: Kirk Kenny / studiozag.com

“ฉันมาไกล มาไกลเหลือเกิน ฉันเดินทางมาไกลแสนไกล แต่มีเธอนั้นเป็นจุดหมาย ต่อให้ไกลแสนไกลเท่าไร ไม่หวั่น”

สามทศวรรษก่อน คนไทยรู้จัก “ไมเคิล หว่อง” (หว่องหมันตั๊ก หรือ ไมเคิล ฟิตซ์เจอรัลด์ หว่อง) จากผลงานเพลงชุด “ฉันมาไกล” ที่ออกกับสังกัดแกรมมี่ เมื่อ พ.ศ.2536

โจทย์หลักของอัลบั้มชุดนี้คือการนำเพลงฝรั่งดังๆ มาคัฟเวอร์ โดยมีเพลงภาษาไทยแต่งใหม่แค่เพียงสองเพลง หนึ่งในนั้น คือ “ฉันมาไกล” เพลงชื่อเดียวกับอัลบั้มที่โด่งดังและหลายคนยังคงจดจำได้ จากท่วงทำนองที่ไพเราะ คำร้องง่ายๆ กินใจ และสำเนียงการร้องแบบภาษาคาราโอเกะที่ฟังดูไม่ขัดหู

ผู้อยู่เบื้องหลังเพลง “ฉันมาไกล” เป็นทีมงานที่มีเครดิตไม่ธรรมดา ทั้ง “ธนา ชัยวรภัทร์” ซึ่งรับหน้าที่แต่งเนื้อร้อง ผู้แต่งทำนองคือสองพี่น้อง “ปานสรวง-ปวงสรร ชุมสาย ณ อยุธยา” ทายาทของกวีหญิง “อุชเชนี-ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา” ผู้เรียบเรียงดนตรีคือปานสรวง (ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ของอัลบั้ม) และ “พนเทพ สุวรรณะบุณย์”

แม้ไมเคิล หว่อง จะร้องเอาไว้ในเพลงดังของเขาว่า “ฉันมาไกล มาไกลเหลือเกิน ไม่คิดจะเดิน เดินกลับหลังไป อยากจะขอพึ่งพาอาศัย ที่ที่มีน้ำใจแห่งนี้ นานนาน”

แต่สุดท้าย เขาก็ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงไทยเพียงชั่วครู่ชั่วคราวราวๆ หนึ่งปี ก่อนจะหวนคืนวงการหนังฮ่องกง

เรื่องที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่น่าจะทราบกันก็คือ ไมเคิล หว่อง ไม่เพียงแต่เป็น “คนไกล” ของเมืองไทยเท่านั้น ทว่า เขายังเคยมีสถานะเป็น “คนอื่น” ของวงการบันเทิงฮ่องกงด้วย

หว่องเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายจีนผู้เดินทางมาถึงฮ่องกงในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ด้วยคุณสมบัติที่ไม่เพียบพร้อมสำหรับวงการบันเทิงที่นั่นเอาเสียเลย เพราะเขาทั้งพูดภาษาจีนกวางตุ้งไม่ได้ และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกังฟูแม้แต่น้อย

ส่งผลให้หว่องถูกเยาะเย้ยจากคนดู แล้วก็แปลกแยกจากคนทำงานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮ่องกง ซึ่งล้วนมองว่าเขาเป็น “ฝรั่ง” ที่สื่อสารภาษาท้องถิ่นไม่ได้

ไมเคิล หว่อง เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างครั้งแรก เมื่อเขาร่วมแสดงหนังเรื่อง “Royal Warriors-โคตรอันตรายคู่คู่” (1986) ซึ่งผลิตโดย “ดีแอนด์บี ฟิล์มส์” ที่ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทภาพยนตร์ของ “ชนชั้นกลาง” และบุคลิกหล่อสะอาดแบบอเมริกันของหว่องก็เข้ากับคอนเซ็ปต์ดังกล่าวพอดี

ในภาพยนตร์เรื่องนี้ หว่องได้ทำงานเป็นนักแสดงร่วมจอกับ “มิเชล โหย่ว” อดีตนางงามชาวมาเลเซีย ที่เวลานั้นเพิ่งมีประสบการณ์แสดงหนังแนวแอ๊กชั่นแค่สองเรื่อง (ก่อนจะกลายเป็นเจ้าของรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในปัจจุบัน)

ณ ช่วงต้นของการประกอบวิชาชีพนักแสดง หว่องถูกวิจารณ์ว่าเล่นหนังแข็งเหมือนท่อนไม้ที่ไร้ชีวิตชีวา และเป็นได้แค่พวกหนุ่มเจ้าสำอางที่ปรากฏตัวอยู่ตามช่องเอ็มทีวี

ยิ่งเขาพูดกวางตุ้งไม่ได้ จนต้องแสดงหนังแบบถูกพากย์เสียงทับ รัศมีดาราของไมเคิล หว่อง ยิ่งโดนกลบจนจมหาย

อย่างไรก็ตาม “แผลใหญ่” กว่านั้นของไมเคิล หว่อง มาบังเกิดขึ้น เมื่อเขารับเล่นหนังเรื่อง “Fatal Love-มังกรเลื้อยรัก” (1993) ซึ่งเป็น “ภาพยนตร์เรตอาร์แนว 18 บวก” กระทั่งหลายคนทำนายว่า อนาคตในวงการบันเทิงฮ่องกงของหว่องคงจบสิ้นลงแล้ว

น่าสังเกตว่า ค.ศ.1993 คือ พ.ศ.2536 แล้วในช่วงหนึ่งปีระหว่าง พ.ศ.2536-2537 ไมเคิล หว่อง ก็พเนจรเดินทางไกลมาสร้างชื่อเสียงที่เมืองไทยพอดี

เนื้อหาในเพลง “ฉันมาไกล” ที่บรรยายจังหวะชีวิตช่วงนี้ของหว่องได้เป็นอย่างดี (ไม่ว่าบังเอิญหรือจงใจ) คือคำร้องท่อนที่ว่า “เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน มันเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน แม้เรี่ยวแรงจะเดินนั้นยังหมด แต่เหนื่อยเท่าไร เพียงเธอเติมน้ำใจสักหยด รดลงมาตรงที่กลางใจ ให้คนไกลคนนี้ชื่นฉ่ำหัวใจ”

หนึ่งขวบปีที่เมืองไทย หว่องได้ออกเทปหนึ่งชุดกับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่างแกรมมี่ (และมีเพลงดังหนึ่งเพลง) เขาได้เล่นหนังไทยเรื่อง “มังกรเจ้าพระยา” ซึ่งเป็นผลงานของ “ฉลอง ภักดีวิจิตร” มี “มรกต มณีฉาย” และ “ทอม ดันดี” เป็นดาราร่วมแสดง

อีกหนึ่งภาพจำของหว่องสำหรับคนไทย ยังปรากฏผ่านบทบาทในภาพยนตร์โฆษณา “ชีวาสรีกัล” (ในยุคที่เราสามารถโฆษณาสุราทางสื่อโทรทัศน์ได้)

และเป็นหนังโฆษณาดังกล่าวเช่นกันที่ทำให้เขาได้แจ้งเกิดรอบใหม่ในวงการบันเทิงฮ่องกง

เวลานั้น ผู้กำกับภาพยนตร์ “กอร์ดอน ชาน” ได้เห็นไมเคิล หว่อง แสดงหนังโฆษณาชีวาสฯ แล้วก็ค้นพบอะไรบางอย่างในตัวนักแสดงหนุ่ม จนตัดสินใจทาบทามเขาให้มาเล่นหนังเรื่อง “The Final Option” (1994) โดยสวมบทเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจเอสดียู

ชานแก้ปัญหาการพูดกวางตุ้งไม่ได้ของหว่อง ด้วยการเขียนบทให้เขาพูดภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ในหนังเรื่องนี้

แม้หลายคนจะดูแคลนล่วงหน้าว่านั่นคือข้อผิดพลาดใหญ่หลวง แต่ผู้กำกับฯ รายนี้โต้แย้งว่า ก็ในเมื่อทุกคนชอบดูหนังฮอลลีวู้ด และภาษาอังกฤษถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮ่องกง แล้วทำไมการมีตัวละครในภาพยนตร์พูดจาสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษจึงกลายเป็นเรื่องผิดแปลก?

สุดท้าย ชานก็เป็นฝ่ายประเมินสถานการณ์ได้ถูกต้อง เมื่อผู้ชมรู้สึกหลงรักตัวละครที่แสดงโดยหว่อง ซึ่งฝากบทพูดวรรคทองไว้ในหนังว่า “อย่าเรียกผมว่า ‘ไกว๋โหล่ว’ (ฝรั่งต่างชาติ)”

จากนั้น หว่องจึงค่อยๆ มีที่ทางอันมั่นคงในวงการหนังฮ่องกง เขามักได้รับบทเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ อีกหนึ่งผลงานสำคัญของเขา คือ ภาพยนตร์เรื่อง “Beast Cops-มาเฟียถล่มมาเฟีย” (1998) ของสองผู้กำกับฯ กอร์ดอน ชาน และ “ดันเต้ แลม”

ในหนังเรื่องนี้ ไมเคิล หว่อง และ “แอนโทนี หว่อง” (นักแสดงฝีมือดีลูกครึ่งฮ่องกง-อังกฤษ) สวมบทเป็นตำรวจคู่หูที่ทำงานในย่านมงก๊ก ตัวละครของไมเคิลเป็นตำรวจหนุ่มที่ยึดมั่นในหลักวิชา และเชื่อว่าโลกนี้มีเส้นแบ่งระหว่าง “ขาวจัด” กับ “ดำจัด” โดยเขาเป็น “ฝ่ายขาว” ก่อนที่ตำรวจนายนี้จะค่อยๆ ตระหนักว่าทุกคนล้วนเป็น “มนุษย์สีเทา”

ไมเคิล หว่อง เคยให้สัมภาษณ์ถึงผลงานชิ้นเยี่ยมเรื่องนี้เอาไว้เมื่อปี 2017 ว่า “นี่คือหนังที่กำกับฯ ได้ดีมาก บทภาพยนตร์สามารถฉายให้เห็นเฉดสีทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของฮ่องกง และความขัดแย้งระหว่างผู้คนกลุ่มต่างๆ กับการบังคับใช้กฎหมายในโลกอาชญากรรม”

ปัจจุบัน หว่องมีอายุ 58 ปีแล้ว เขาฝากผลงานการแสดงล่าสุดไว้ในหนังเรื่อง “A Guilty Conscience” (2023) ซึ่งเพิ่งสร้างสถิติเป็นหนังท้องถิ่นที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ฮ่องกง

คราวนี้ บทที่หว่องในวัยใกล้เกษียณได้รับ ไม่ใช่บทตำรวจ แต่เป็น “ทนายความตัวร้ายจอมตลบตะแลง”

นี่คือการเดินทางไกล (ที่แวะผ่านมาเยี่ยมเยือนเมืองไทยแค่ระยะสั้นๆ) ของนักแสดงชื่อ “ไมเคิล หว่อง” •

ข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวงการบันเทิงฮ่องกงจาก https://www.scmp.com/lifestyle/entertainment/article/3241029/michelle-yeoh-film-gave-him-his-first-break-typecast-him-too-hong-kong-actor-michael-wongs-early

| คนมองหนัง

youtube
ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...