กสทช. ตัด “ฟุตบอลโลก” ออกจากกฎ Must Have ประชาชนจ่อ "อดชมฟรี"
ราชกิจจาฯ เผยประกาศ กสทช. ฉบับใหม่ ปรับรายการกีฬาสำคัญที่ต้องถ่ายทอดผ่านฟรีทีวี ตัด “ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย” ออก เหลือเพียง 6 รายการกีฬานานาชาติ
ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ฉบับใหม่ เรื่อง “หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป (ฉบับที่ 2)” โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป
สาระสำคัญของประกาศฉบับนี้ คือการปรับรายการกีฬาที่เข้าข่ายกฎ “Must Have” ซึ่งกำหนดให้ต้องมีการถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวี เพื่อให้ประชาชนสามารถรับชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดย “ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย” ถูกถอดออกจากรายการที่เข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าว
รายการกีฬาที่อยู่ในกฎ Must Have ฉบับใหม่ มีเพียง 6 รายการ ได้แก่
- ซีเกมส์ (South-East Asian Games)
- อาเซียนพาราเกมส์ (ASEAN Para Games)
- เอเชียนเกมส์ (Asian Games)
- เอเชียนพาราเกมส์ (Asian Para Games)
- โอลิมปิกเกมส์ (Olympic Games)
- พาราลิมปิกเกมส์ (Paralympic Games)
ทำความเข้าใจ: กฎ Must Have และ Must Carry คืออะไร?
กฎ Must Have คือข้อกำหนดให้รายการโทรทัศน์ที่สำคัญ โดยเฉพาะการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ ต้องเผยแพร่ผ่านช่องฟรีทีวี เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงอย่างทั่วถึง
ขณะที่กฎ Must Carry กำหนดให้แพลตฟอร์มทีวีทุกประเภท ทั้งทีวีดิจิทัล ดาวเทียม เคเบิล และออนไลน์ ต้องนำช่องฟรีทีวีไปออกอากาศตามผังรายการโดยไม่มีการ “จอดำ” หรือหยุดแพร่ภาพบางช่วง
ย้อนรอยข้อพิพาท: กฎ Must Have เคยสร้างปัญหาอะไร?
กฎ Must Have เคยกลายเป็นประเด็นร้อนในปี 2557 เมื่อบริษัท อาร์เอส (RS) เจ้าของสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ฟ้องร้อง กสทช. เนื่องจากมองว่า ถูกบังคับให้ต้องออกอากาศฟรีเกินสิทธิ์ที่ได้มาในเชิงพาณิชย์ โดยสุดท้ายศาลตัดสินให้ RS ไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดสดครบทุกนัด เนื่องจากได้รับสิทธิก่อนกฎนี้มีผลบังคับใช้
ผลพวงจากกรณีดังกล่าว ทำให้ฟุตบอลโลกในปี 2561 และ 2565 ไม่มีเอกชนรายใดสนใจซื้อลิขสิทธิ์ กระทั่งรัฐบาลและ กสทช. ต้องเข้าไปประสานและร่วมออกงบประมาณเพื่อให้มีการถ่ายทอดสดในประเทศไทย