‘ดร.สุวินัย’ มองกรณี ‘สนธิ’ หันมาเห็นใจ ‘ทักษิณ’ สะท้อนไฟแห่งอุดมการณ์มอดลงเหลือเพียงเห็นใจศัตรูเก่า
(6 ต.ค. 68) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก โดยมีใจความว่า …จิตวิทยาการเมืองของการกลับใจ : บททดลองอธิบาย จุดยืนที่เปลี่ยนไปของ สนธิ ลิ้มทองกุล
1. จุดหักเหของผู้เคย “ศรัทธา” โดยเอาธรรมนำหน้า
ในห้วงเวลากว่ายี่สิบปีที่สังคมไทยสั่นสะเทือนด้วยการเมืองสองขั้ว และสื่อเลือกข้าง
ผู้คนจำนวนไม่น้อยเคยลุกขึ้นสู้ด้วยความเชื่อมั่นว่า “ฝ่ายเราคือความถูกต้อง”
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสองทศวรรษ
เรากลับเห็นภาพแปลกประหลาดชนิดแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง…
ผู้ที่เคยเป็นแกนนำของเหล่า "นักรบแห่งธรรม" กลับหันมาปรบมือให้ศัตรูเก่าอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างไม่เคอะเขิน
กรณี “สนธิ ลิ้มทองกุล” จึงมิใช่เรื่องเฉพาะบุคคลและไม่ใช่กรณีเดียวของ "ผู้กลับใจ"
แต่มันคือกระจกสะท้อน “พลวัตทางจิตของคนการเมืองไทย” ที่หมุนวนในวงจรซ้ำ ๆ
จากศรัทธา → เกลียดชัง → เหนื่อยล้า → เข้าใจ → ปลงตก
และในบางกรณี…ก็กลายเป็นการ “กลับใจ” ชนิดพลิกขั้ว
2. เมื่อไฟแห่งอุดมการณ์แปรเป็นเถ้าถ่านของความเข้าใจ
จิตมนุษย์ไม่อาจเผาไหม้อยู่ในเปลวไฟแห่งความเชื่อไปได้ตลอดกาลหรอก
สักวันไฟนั้นย่อมมอดลงเองในที่สุด
และเมื่อไฟแห่งความเชื่อดับมอดลง เหลือเพียงเถ้าถ่านแห่งประสบการณ์ที่เจ็บปวด -ผิดหวัง- ขมขื่น
ความเกลียดชังที่เคยมีต่อฝ่ายตรงข้าม
บางครั้งจึงกลับกลายเป็น "ความเห็นใจ" แบบแปลกประหลาด
คือแลเห็นเขาเป็น “มนุษย์ที่ถูกกาลเวลาเผาไหม้” เฉกเช่นเดียวกับตนเอง
ทั้งเขาและ ศัตรูของเขาล้วนถูก "กาลเวลา" (พระกาฬ=พระกาล) กลืนกิน เหมือนกัน
ผมจึงมองว่า การกลับใจของคุณสนธิต่อเรื่องทักษิณ มิใช่การทรยศต่ออุดมการณ์ในอดีตของตนเอง
แต่น่าจะเป็นสัญญาณว่าบ่งชี้ว่าจิตของคุณสนธิเริ่มแก่ชราแล้ว
คือแก่พอจะเห็นว่า
“การตามจองล้างจองผลาญทักษิณเหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อน มันหมดความหมายไปมากแล้ว จงหันมาเกลียดตัวความชั่ว แทนคนที่ทำชั่วน่าจะดีกว่า”
แต่สิ่งที่แปลกแต่จริงที่เกิดขึ้นตามมา หลังจากคุณสนธิเปล่งวาจาเลิกเกลียดทักษิณและกลับมาเห็นใจทักษิณแล้ว คุณสนธิกลับแสดงออกถึงความเกลียดชัง "ลุงตู่" แทน
ราวกับว่า เปลวไฟแห่งความเชื่อ (ในธรรม) เปลี่ยนไปเป็น เปลวไฟแห่งความเกลียดชังล้วน ๆ แทน โดยที่ เปลวไฟดวงต่อไปที่จะมาแทน เปลวไฟแห่งความเกลียดชัง ย่อมเป็นเปลวไฟแห่งความเหนื่อยล้า อย่างแน่นอน
เพราะลุงตู่ ท่านเป็นองคมนตรีที่อยู่เหนือความขัดแย้งไปแล้วนั่นเอง
ขณะที่จิตของคุณสนธิยังวนเวียนอยู่ใน วัฏจักรของ "พลวัตทางจิตของคนการเมืองไทย" อยู่เลย
3. ความเหนื่อยล้าทางอุดมการณ์: โรคเรื้อรังของคนในยุทธภพทุกยุค
ขอให้เรามองให้ไกลกว่าเรื่องการกลับใจของคุณสนธิ โดยมองให้เห็นป่าทั้งป่า มองให้เห็นพลวัตแห่งอุดมการณ์ทั้งหลายที่อยู่ใต้กฎแห่งไตรลักษณ์
ทุกยุคสมัยย่อมมี “นักรบทางความคิด” ของยุคตน
พวกเขาจุดไฟเพื่อเผาเงามืดของสังคม
แต่เมื่อไฟนั้นเผานานเกินไป
ไฟนั้นมันย้อนมาเผาใจของผู้ถือคบเพลิงเอง
จนบังเกิดปรากฏการณ์ "ธาตุไฟแตก"
นี่คือโรคเรื้อรังของชนชั้นนำทางความคิดทั่วโลก
ไม่ว่าจะเป็นปัญญาชนฝ่ายซ้ายในยุคหลังโซเวียตล่มสลาย
หรือผู้ศรัทธาในลัทธิ WOKE ยุคหลังโควิด
พวกเขาต่างต้องเผชิญ "ความเหนื่อยล้าทางอุดมการณ์"
เมื่อพบว่าโลกจริงไม่เคยเดินตามอุดมคติที่ตนเชื่อมั่น
“เราสู้เพื่อโลกที่ดีกว่า
แต่โลกกลับสู้เพื่ออยู่รอดเฉย ๆ”
เมื่อความจริงเจ็บกว่าความเชื่อ
มนุษย์ย่อมหวนกลับมาหา “ความจริงเชิงอารมณ์” แทน
เช่น ความเมตตา ความสงสาร หรือแม้แต่ความเฉยชาต่อทุกฝ่าย
ซึ่งในภาวะนี้ เสียงของอัตตาเริ่มเงียบ
แต่เสียงของปัญญายังไม่ดังพอ
จึงเกิดภาวะกึ่งตื่นรู้–กึ่งสิ้นหวัง
4. การกลับใจ: ปรากฏการณ์ทางจิตในยุค Post-Ideology
กรณีการกลับใจของคุณสนธิ จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของโลกหลังยุคอุดมการณ์ (post-ideological world)
นี่ไม่ใช่โลกที่คนไม่มีอุดมการณ์
แต่คือโลกที่ทุกอุดมการณ์ล้วนถูกพิสูจน์แล้วว่า “ไม่สมบูรณ์” ต่างหาก
มนุษย์ยุคนี้จึงเริ่มหันมาหา “อุดมคติส่วนตัว” แทน "อุดมการณ์ลอย ๆ"
เช่น ศรัทธาในความสุขส่วนตัว ศรัทธาในการอยู่รอด หรือศรัทธาในความสมถะ (พอเพียง)
สำหรับบางคน การกลับใจทางการเมือง
จึงไม่ใช่เรื่องของการยอมจำนน
แต่เป็นการถอนรากออกจาก “ความหลงในโครงสร้าง”
แล้วกลับมาอยู่ใน “ความจริงของชีวิต”
ทว่าถ้ามองลึกในเชิงจิตวิญญาณ
นี่คือจุดที่มนุษย์เริ่มเดินจาก เส้นทางนักรบ
เข้าสู่ เส้นทางผู้สังเกตการณ์ (ผู้ดูจิต)
จาก “ผู้พิพากษาโลก”
กลายเป็น “ผู้ดูโลกอย่างรู้เท่าทัน”
5. วิถีแห่งการกลับใจแบบไร้รอย
ผมไม่แปลกใจเลย ถ้าได้เห็น การกลับใจของเหล่าเยาวชนชูสามนิ้ว
เพราะมันคือ พลวัตของจิตวิทยาการเมือง แบบเดียวกับการกลับใจของคุณสนธิ นั่นแหละ แค่ต่างกันที่เนื้อหาของการกลับใจเท่านั้นเอง
แต่ในกรณีของเยาวชนชูสามนิ้วที่กลับใจ เราควรมองว่า จิตของพวกเขามีวุฒิภาวะขึ้น มิใช่ จิตชรา แบบกรณีกลับใจของคุณสนธิ
ในเชิง “ไร้รอย” การกลับใจ มิได้หมายถึงการเปลี่ยนข้าง
แต่คือการ “คลายแรงยึด” จากขั้วทั้งสอง
ปล่อยให้จิตกลับคืนสู่ความนิ่งขึ้น กลางขึ้น
เป็นมองเห็นทั้งฝ่ายผิด–ฝ่ายถูก
โดยไม่ถูกดูดกลืนโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
น่าเสียดายที่พลวัตการกลับใจของคุณสนธิยังมาไม่ถึงจุดไร้รอยนี้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้
นี่คือบทเรียนที่สอนให้รู้ว่า
พลังของความเกลียดชังยิ่งใหญ่ได้ก็จริง
แต่พลังของ "ความว่าง" กลับทรงพลังยิ่งกว่า
การกลับใจแบบไร้รอย
จึงมิใช่จุดจบของการต่อสู้
แต่เป็นวิวัฒนาการของ “จิตนักรบ” สู่ “จิตโพธิสัตว์”
ที่ยังเห็นทุกข์ของโลก แต่ไม่ตกอยู่ในกับดักของอารมณ์ทางการเมืองอีกต่อไป
ผู้ที่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์สุดโต่ง ย่อมมองผู้กลับใจว่า “ทรยศ”
ผู้ที่ผ่านความเหนื่อยล้าทางอุดมการณ์แล้ว จะมองผู้สุดโต่งว่า “ยังเด็กอยู่”
ส่วนผู้ที่บรรลุไร้รอย จะมองทั้งสองฝ่ายด้วยความเมตตาเท่าเทียมกัน
“เมื่อไฟแห่งอุดมการณ์มอดลง
อย่าดับเถ้าด้วยน้ำแห่งความเย้ยหยัน
แต่จงเป่ามันด้วยลมหายใจแห่งปัญญา”