โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

แฟชั่น บิวตี้

ทฤษฎี 3 เดือน คืออะไร ทำไมหลายคนมักหยิบมาใช้กับเรื่องความรัก ?

SistaCafe

อัพเดต 30 ก.ค. เวลา 10.00 น. • เผยแพร่ 30 ก.ค. เวลา 10.00 น. • SistaCafe

ฮัลโหลลลล~ สวัสดีค่าชาวซิสแล้วก็สวัสดีนักอ่านท่านอื่น ๆ ที่แวะเวียนมาอ่านบทความนี้กันด้วยนะคะ ไหน ๆ มีใครเคยได้ยินเรื่องของ " ทฤษฎี 3 เดือน " กันบ้างไหมคะ เชื่อว่าบางคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแต่บางคนก็ยังแอบงงอยู่ว่ามันคืออะไรกันน้อ? ซึ่งคนที่เคยได้ยินมาอาจจะได้ยินมาเกี่ยวกับเรื่องของความรักใช่ไหมละคะ หลาย ๆ คนชอบหยิบเจ้าทฤษฎีนี้มาพูดสัมพันธ์กับเรื่องรัก ๆ ตลอด แต่มันใช้ได้จริง ๆ เหรอ มันเวิร์กจริง ๆ ไหม แล้วปรับใช้กับอะไรได้บ้าง ถ้าอยากรู้แล้วละก็… งั้นทุกคนมาเริ่มทำความรู้จักเจ้า "ทฤษฎี 3 เดือน" กันเล้ยยยย!

♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥

ทฤษฎี 3 เดือน คืออะไร ?

ทฤษฎี 3 เดือนก็คือแนวคิดที่เชื่อกันว่าช่วงเวลา 3 เดือนแรกจะเป็นช่วงเวลาของการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ และมักจะเป็นช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปได้ยากที่สุด เนื่องจากช่วง 3 เดือนแรกทุกคนจะอยู่ในช่วงปรับตัว ทำให้อะไรหลาย ๆ ยังไม่เห็นผลชัดเจนหรือยังไม่เห็นผลสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ความรัก การเรียน รวมไปถึงธุรกิจอีกด้วย ซึ่งถ้าผ่านพ้น 3 เดือนไปได้ก็จะถือว่ามีโอกาสที่จะเห็นภาพชัดเจนขึ้นหรือเห็นผลสำเร็จนั่นเองค่ะ เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นลองฟังคุณเขื่อนพูดสั้น ๆ เพิ่มเติมได้น้า

• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •

ทฤษฎี 3 เดือน ใช้กับเรื่องอะไรได้บ้าง ?

จริง ๆ ต้องบอกก่อนว่ามันขึ้นอยู่กับเราในการปรับใช้เลยค่ะ เพราะมันไม่ได้เป็นทฤษฎีที่มีกฎตายตัวหรือบังคับอะไร แต่ถ้าจะให้แนะนำเลยก็…

ใช้กับเรื่อง 'ความรัก'

หลาย ๆ คนหยิบเจ้าทฤษฎี 3 เดือนมาใช้พูดถึงเรื่องความรักบ่อย ๆ เพราะเขาว่ากันว่าช่วงเวลา 3 เดือนมันคือช่วงเวลาโปรโมชันและการปรับตัว ถ้าเรารักใคร คุยกับใครประมาณ 3 เดือนแล้วเราแฮปปี้ มีความสุข อยู่กับเขาแล้วเป็นตัวเองโดยไม่ต้องฝืน เขาก็ไม่ต้องฝืน นั่นก็อาจจะแปลได้ว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้มันอาจจะไปได้ยาวมากกว่าที่คิด แต่ถ้าพ้นจาก 3 เดือนหรือในช่วง 3 เดือนนั้นไม่มีความสุขในการอยู่ด้วยกันเลย ก็แปลได้ว่าความรักครั้งนี้อาจจะมันไม่เวิร์กได้เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น คุณดา เอ็นโดรฟิน นักร้องสาวเสียงมีเสน่ห์ก็ได้พูดในรายการคลับฟรายเดย์โชว์ว่าถ้าเธอคบใครหรือคุยกับใครในช่วง 3 เดือนแล้วไม่เวิร์ก เธอก็จะเลือกจบความสัมพันธ์ทันที เพราะเธอคิดว่า 3 เดือนคือช่วงโปรโมชันที่จะเห็นเคมีในตัวเราและเขา ถ้า 3 เดือนเวิร์กยังไงก็ไปต่อไหวแน่นอน อย่างเธอกับสามีของเธอก็ใช้วิธีเหมือนกัน 3 เดือนเวิร์กก็คบต่อจนได้แต่งงานนั่นเอง

ใช้กับเรื่อง 'การเรียนรู้สิ่งที่สนใจ'

เรื่องนี้ขอเหมารวมทั้งการเรียนหนังสือและการเรียนรู้สิ่งที่สนใจเลยนะคะ เพราะว่าการเรียนรู้ไม่มีสิ้นสุด วัยไหน เพศไหนก็สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา แต่การจะเรียนรู้ในด้านการตั้งใจเรียน เรียนรู้เนื้อหาวิชานั้น ๆ แน่นอนว่าถ้าอ่านแค่ก่อนสอบไม่กี่วันมันก็อาจจะไม่ได้สามารถทำให้เราจดจำหรือรู้ว่าเราชอบมันได้มากขนาดนั้น เราจะต้องใช้เวลาในการอ่านบ่อย ๆ ซึมซับเรื่อย ๆ อยู่กับมันไป และการหยิบทฤษฎี 3 เดือนมาใช้กับสิ่งนี้ก็จะทำให้เราเข้าใจเนื้อหาการเรียนมากขึ้น จดจำมันได้แม่นยำ แล้วก็อาจจะทำให้ได้รู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบวิชานี้ได้เลย ส่วนเรื่องการเรียนรู้สิ่งที่สนใจ อันนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเนื้อหาที่จริงจัง อาจจะเป็นความชอบอื่น ๆ ก็ได้ เช่น ชอบการ์ตูน ชอบดนตรี ชอบการเต้น ชอบอ่านนิยาย ชอบวาดรูป ฯลฯ ถ้าเราชอบ เราตั้งใจศึกษา ตั้งใจเรียนรู้กับสิ่ง ๆ นั้นไปเรื่อย ๆ จากสิ่งที่สนใจ ถ้าใช้เวลาแบบทฤษฎี 3 เดือนก็อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกชอบขึ้นมาก็ได้นะคะ

ใช้กับเรื่อง 'การสร้างนิสัย'

จริง ๆ แล้ว การสร้างนิสัยเนี่ยมีวิจัย (โดยฟิลิปปา แลลลี นักวิจัยด้านสุขภาพที่ University College London) ออกมาบอกว่าการเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างประมาณ 18 วันแรกจะเกิดความเคยชิน แต่ถ้าอยากให้เป็นนิสัยและคุ้นชินมากขึ้นก็ต้องทำไปเรื่อย ๆ ต่อเนื่อง 66 วัน แต่ถ้าจะให้กลายเป็นนิสัยของเราจริง ๆ ก็จะต้องประมาณ 254 วันนะคะ แต่การใช้ทฤษฎี 3 เดือนก็เป็นการตั้งเป้าหมายนึงเพื่อสร้างนิสัยได้เหมือนกัน เพราะว่าถ้าผ่านพ้นช่วง 3 เดือนแรกไปได้ นิสัยนั้น ๆ ที่เราอยากจะสร้างหรืออยากจะเปลี่ยนแปลงมันก็จะทำได้ง่ายขึ้นหรือคุ้นชินขึ้นนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น อยากจะเป็นคนพูดเพราะ ไม่พูดคำหยาบคาย ก็พยายามเปลี่ยนการพูดจา ลดคำหยาบไปเรื่อย ๆ ช่วง 3 เดือนแรกก็จะยากหน่อยแต่ถ้าผ่านไปได้ปุ๊บ เราก็จะทำมันได้ง่ายขึ้นจนวันนึงหรือเมื่อครบ 254 วันก็จะกลายเป็นนิสัยจนเราเป็นคนที่พูดเพราะ ไม่พูดคำหยาบได้ในที่สุด

ใช้กับเรื่อง 'การทำงาน'

แน่นอนว่าถ้าเราได้เริ่มทำงานใหม่ ๆ ไม่ว่าจะย้ายงานหรือเพิ่งจบใหม่แล้วกำลังจะเข้าทำงาน ส่วนใหญ่จะต้องเจอเกณฑ์การผ่านโปรฯ (Probation Period) หรือช่วงทดลองงานประมาณ 3-6 เดือนใช่ไหมละคะ ซึ่งคล้ายกับเรื่องของทฤษฎี 3 เดือนเลย นั่นก็เป็นเพราะว่ามันเป็นช่วงเวลาในปรับตัวที่กำลังดี ไม่มากและไม่น้อยเกินไป ทำให้เราได้รู้จักงานที่ทำมากขึ้น รู้จักเพื่อนร่วมงานมากขึ้น ได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เนื้อหางาน การทำงานและเพื่อน ๆ ในที่ทำงานได้มากขึ้น ถ้าเราผ่านพ้นช่วง 3 เดือนแรกไปได้แล้วยังมีความสุขที่จะทำต่อแม้มันจะยากแค่ไหน นั่นก็อาจจะแปลได้ว่าเราแฮปปี้หรืออาจจะเรียกได้ว่าชอบการทำงานนี้นั่นเอง

ใช้กับเรื่อง 'การเปลี่ยนแปลงชีวิต'

การเปลี่ยนแปลงชีวิตเนี่ยค่อนข้างกว้างเลยค่ะ ไม่ว่าจะเปลี่ยนที่อยู่อาศัย เปลี่ยนที่ทำงาน ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย แต่งงาน ฯลฯ และแน่นอนว่าเราสามารถหยิบทฤษฎี 3 เดือนมาปรับใช้ได้นะคะ คล้ายกับการสร้างนิสัยเลยค่ะ เพราะมันก็คือการสร้างความเคยชินและจะต้องผ่านพ้นช่วงที่ยังไม่เคยชิน ช่วงปรับตัวนี้ไปให้ได้ อย่างการเปลี่ยนที่อยู่อาศัย บางคนต้องย้ายไปทำงานต่างจังหวัด บางคนย้ายไปทำงานต่างประเทศ แน่นอนว่าช่วงแรก ๆ หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นชิน ยังปรับตัวไม่ได้ แต่เมื่อเราอดทนจนผ่านช่วง 3 เดือนไปได้ ก็อาจจะแปลได้ว่าเราเอนจอยที่จะอยู่ที่นี่ เอนจอยกับการเปลี่ยนแปลงนี้นั่นเองนะคะ

• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •

แล้วทฤษฎี 3 เดือน ใช้ได้จริงไหม ?

ก็ต้องบอกกันตามตรงว่าทฤษฎี 3 เดือนยังไม่มีวิจัยที่ไหนที่ทำออกมาแล้วบอกว่ามันทำได้จริง ๆ นะ น่าเชื่อถือนะ แต่มันเป็นสิ่งที่คนพูดต่อ ๆ กันมาว่าเขาใช้ทฤษฎี 3 เดือนกับเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วมันสามารถทำได้จริง ๆ หลาย ๆ คนก็เลยหยิบมาทำตามไปเรื่อย ๆ ดังนั้นเราก็ขอพูดให้เข้าใจง่าย ๆ เลยก็คือกับบางเรื่อง กับบางสิ่งเราอาจจะหยิบเจ้าทฤษฎี 3 เดือนมาปรับใช้ได้หรือตั้งเป็นเป้าหมายสั้น ๆ ในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น การสร้างนิสัย การเปลี่ยนแปลงตัวเอง เปลี่ยนแปลงชีวิต การเรียน ฯลฯ แต่กับบางเรื่องเราอาจจะต้องใช้วิจารณญาณเข้ามาร่วมด้วยในการตัดสินใจ เช่น ความรัก ความสัมพันธ์ การทำงาน การเริ่มทำธุรกิจ การเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ฯลฯ มันอาจจะไม่สามารถใช้ช่วงเวลา 3 เดือนในการตัดสินได้ชัดเจนมากนัก แต่ก็อาจจะพอช่วยทำให้เราเข้าใจอะไรบางอย่างคร่าว ๆ ได้ เช่น การทำงาน เริ่มทำงานได้ 3 เดือน ก็รู้สึกว่าทำได้ แฮปปี้กับหลาย ๆ อย่างแต่ยังไม่มั่นใจว่าชอบ เราก็อาจจะลองทำต่อไปก่อนก็ได้ ไม่ได้แปลว่าครบ 3 เดือนปุ๊บงั้นลาออกเลยอะไรแบบนั้นนะคะ อยากให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจทำสิ่งต่าง ๆ เสมอนะคะ

• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •

สรุปเราควรให้เวลาตัวเองในแต่ละเรื่องนานแค่ไหน ต้องทำยังไงให้เวิร์ก ?

ทุกอย่างมันขึ้นกับตัวบุคคล ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ รวมไปถึงปัจจัยแวดล้อมด้วยว่าเราจะให้เวลาตัวเองในแต่ละเรื่องนานแค่ไหน บางคนอาจจะให้เวลาตัวเองในการเปลี่ยนนิสัยแค่ 3 เดือนก็เห็นการเปลี่ยนแปลงแล้วเพราะตัวเขาตั้งใจทำ จิตใจเขาแน่วแน่ แถมสภาพแวดล้อมก็เอื้อให้ทำได้ แต่บางคน 3 เดือนก็ยังทำไม่ได้เลยก็มี เพราะจิตใจไม่แน่วแน่พอหรือสภาพแวดล้อมไม่เอื้อให้ทำ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เลยก็คือ การลดน้ำหนัก บางคนทำงานไม่หนักมาก มีเวลาออกกำลังกาย มีเงินเดือนที่ดี สามารถเลือกซื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพมาก ๆ ได้ อีกทั้งรอบข้างก็มีแต่คนให้กำลังใจ ก็มีโอกาสที่เขาจะลดน้ำหนักได้ แต่กับบางคนต้องทำงานหนัก ไม่มีเงินทองมากมาย ไม่มีเวลาได้ออกไปไหน ก็ทำให้เขาไม่มีเวลาออกกำลังกายหรือซื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ เนื่องจากอาหารที่ดีต่อสุขภาพราคาสูง หรือถ้าจะต้องมาทำกินเองก็ต้องใช้เวลา บางคนก็ไม่สะดวกทำ ดังนั้นมันไม่ได้มีอะไรตายตัวที่ตอบได้ชัดเจนว่าสิ่งนี้ใช้เวลาเท่านี้ สิ่งนั้นใช้เวลาเท่านั้น ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละบุคคลเลยค่ะ

แต่ถ้าถามว่าแล้วแบบนี้จะทำยังไงให้เวิร์ก ทำให้เห็นผล มันไม่สามารถทำได้จริง ๆ เหรอ? ก็ต้องบอกว่ามันทำได้ค่ะ เพียงแต่ว่าอันดับแรกต้องมีใจจะทำก่อนเลย ไม่ว่ากับเรื่องอะไร ถ้าจิตใจเข้มแข็งแน่วแน่ก็สามารถทำได้แน่นอน ต่อมาก็อาจจะต้องดูในเรื่องของสภาพร่างกายเพราะบางสิ่งที่หลาย ๆ คนอยากปรับอาจจะมีเรื่องของร่างกายมาเกี่ยวข้อง เช่น ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย การทำงาน ฯลฯ และสิ่งสุดท้ายก็คือปัจจัยต่าง ๆ ทั้งสถานที่ บุคคลรอบตัว เวลา การใช้ชีวิตต่าง ๆ ถ้าปัจจัยต่าง ๆ เอื้อให้เราทำ ระยะเวลาประมาณ 3 เดือนตามทฤษฎีก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้และเวิร์กได้นั่นเองค่ะ

♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥ ♥

เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับ " ทฤษฎี 3 เดือน " ได้รู้จักและเข้าใจมันมากขึ้นแล้วใช่ม้า? ก็หวังว่าทุกคนจะได้รับข้อมูลและประโยชน์ไปปรับใช้กันนะคะ ถึงแม้ยังไม่ได้มีการวิจัยที่ออกมาว่ามันทำได้จริง แต่การลองปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างในช่วง 3 เดือน กับบางเรื่องก็เป็นการกระทำที่อาจจะไม่ได้เสียหายมากมายนัก ถ้าทำแล้วไม่เดือดร้อนตัวเอง ไม่เดือดร้อนใครก็ลองทำกันได้นะคะ เป็นการตั้งเป้่าหมายระยะสั้นที่ถือว่าระยะเวลากำลังดีเลยล่ะ ว่าแล้วเราก็ขอตัวไปตั้งเป้าหมายระยะสั้นตามทฤษฎี 3 เดือนบ้างดีกว่า ดูซิว่ามันจะเวิร์กไหม ถ้าใครทำแล้วเวิร์กก็ลองมารีวิวในซิสป้ายยากันได้นะคะ เผื่อเพื่อน ๆ ชาวซิสคนไหนแวะมาอ่านอาจจะได้กำลังใจดี ๆ ไปลองตั้งเป้าหมายทำตามก็ได้ ส่วนตอนนี้ลาไปก่อนแล้วค่า บ๊ายบาย :-D

ขอบคุณภาพปกจากเว็บไซต์ soompi.com ภาพประกอบบทความจากเว็บไซต์ soompi.com, koreaboo.com และข้อมูลจากเว็บไซต์ timesofindia.indiatimes.com, thairath.co.th

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

แนะนำบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ!

อ่านบทความต้นฉบับได้ที่: SistaCafe.com ครบเครื่องเรื่องบิวตี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...