'อนุทิน' เผชิญสงครามสองแนวรบ อุทกภัยใต้ทำลายภาพลักษณ์ ผนวกกับแรงกดดันงบประมาณเยียวยา ท้าทายความอยู่รอดของรัฐบาลเสียงข้างน้อย
อุทกภัยครั้งใหญ่ที่ถล่มภาคใต้ในปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 โดยเฉพาะพื้นที่หาดใหญ่และจังหวัดใกล้เคียง ไม่ได้เป็นเพียงภัยพิบัติทางธรรมชาติธรรมดา แต่กลายเป็น "วิกฤตการเมือง-เศรษฐกิจ" ที่ซ้ำเติมรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดอยู่แล้ว ภาระคู่จากการเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยและการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติครั้งใหญ่ทำให้รัฐบาลต้องสู้กับสงครามสองแนวรบพร้อมกัน ทั้งการรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและการจัดการวิกฤตเศรษฐกิจ-สังคมจากอุทกภัย
ความเสียหายที่หนักกว่าที่คิด: แรงกดดันทางการคลังที่ไม่คาดคิด
การประเมินเบื้องต้นจากหน่วยงานต่างๆ ระบุว่า ความเสียหายจากอุทกภัยภาคใต้อยู่ที่ประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งความเสียหายทางการเกษตร โครงสร้างพื้นฐาน ที่อยู่อาศัย และภาคธุรกิจ สำหรับภาคเกษตรเพียงอย่างเดียว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประเมินความเสียหายเกิน 5,000 ล้านบาท โดยเฉพาะสวนยางพาราและสวนผลไม้ที่เป็นพืชเศรษฐกิจหลักของภาคใต้
ตัวเลขนี้ยังไม่รวมผลกระทบทางอ้อม เช่น การหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยว และต้นทุนทางสังคมจากการสูญเสียชีวิตและความเจ็บป่วย หากรวมทั้งหมด ผลกระทบทางเศรษฐกิจอาจสูงถึง 40,000-50,000 ล้านบาท
สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นคือ รัฐบาลต้องเร่งอัดฉีดงบประมาณเยียวยาและฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน การช่วยเหลือเบื้องต้นครัวเรือนละ 9,000 บาทสำหรับผู้ประสบภัยหลายแสนครัวเรือนต้องใช้งบประมาณหลายพันล้านบาท การซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน ถนน สะพาน ระบบไฟฟ้า และระบบน้ำประปาอาจต้องใช้งบอีก 10,000-15,000 ล้านบาท
ปัญหาคือ งบประมาณเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในแผนการใช้จ่ายประจำปี รัฐบาลต้องหาแหล่งเงินใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนงบประมาณ การกู้เงินเพิ่มเติม หรือการใช้เงินสำรองฉุกเฉิน ทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบต่อวินัยการคลังและอาจเพิ่มภาระหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว
เสถียรภาพการคลัง: ความกังวลที่เพิ่มขึ้น
ก่อนเกิดอุทกภัย รัฐบาลอนุทินกำลังเผชิญกับความท้าทายทางการคลังอยู่แล้วจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ โครงการ "คนละครึ่งพลัส" ที่ใช้งบประมาณกว่า 60,000-70,000 ล้านบาท และมาตรการอื่นๆ ที่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้การขาดดุลงบประมาณเพิ่มสูงขึ้น
หนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ประมาณ 60-61% ของ GDP ใกล้เคียงกับเพดานที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 70% การที่ต้องกู้เงินเพิ่มเติมหลักหมื่นล้านบาทเพื่อรับมือกับอุทกภัยจะทำให้อัตราส่วนนี้เพิ่มสูงขึ้นอีก
นักวิเคราะห์เศรษฐกิจหลายรายแสดงความกังวลว่า หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการใช้จ่ายและหารายได้เพิ่มเติมได้ ความยั่งยืนทางการคลังอาจเป็นปัญหาในระยะยาว สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออาจปรับลดมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ในฐานะรัฐบาลเสียงข้างน้อย การผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณเพิ่มเติมหรือการกู้เงินผ่านสภาผู้แทนราษฎรจะยากลำบากมาก รัฐบาลต้องต่อรองกับฝ่ายค้านและพรรคร่วมที่ไม่มั่นคง ซึ่งอาจนำไปสู่การล่าช้าในการช่วยเหลือหรือต้องยอมรับเงื่อนไขที่ไม่เอื้ออำนวย
การบริหารจัดการวิกฤต: ทดสอบความสามารถจริง
นอกจากเรื่องเงินแล้ว ความสามารถในการบริหารจัดการวิกฤตของรัฐบาลก็ถูกจับจ้องอย่างใกล้ชิด ประชาชนและฝ่ายค้านกำลังประเมินว่า รัฐบาลอนุทินมีความพร้อมและประสิทธิภาพในการจัดการภัยพิบัติมากน้อยแค่ไหน
ในช่วงแรกของอุทกภัย มีคำวิจารณ์ว่า การเตือนภัยล่วงหน้าและการอพยพประชาชนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร การประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ยังมีปัญหา และการกระจายความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ห่างไกลล่าช้า
แม้ว่าในภายหลังรัฐบาลจะพยายามแก้ไขและเร่งการช่วยเหลือ แต่ความประทับใจแรกที่ไม่ดีก็สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์แล้ว นี่คือโอกาสที่ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย จะใช้โจมตีความสามารถในการบริหารประเทศของรัฐบาล
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยปรับลดลงครั้งแรกในหลายเดือน ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากปัญหาน้ำท่วมใต้ นี่สะท้อนให้เห็นว่า ภาคธุรกิจเริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถของรัฐบาลในการรับมือกับวิกฤต
ผลกระทบทางการเมือง: เพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลที่อ่อนแอ
อุทกภัยกลายเป็นอาวุธทางการเมืองที่ฝ่ายค้านใช้โจมตีรัฐบาล การที่พรรคเพื่อไทยและฝ่ายค้านอื่นๆ กำลังเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ประเด็นการจัดการอุทกภัยจะเป็นหนึ่งในหัวข้อสำคัญที่ใช้วิพากษ์วิจารณ์
ฝ่ายค้านจะตั้งคำถามว่า ทำไมรัฐบาลไม่สามารถป้องกันหรือลดผลกระทบได้ แม้จะรู้ล่วงหน้าว่าจะมีฝนตกหนัก ทำไมการอพยพและช่วยเหลือช้า ทำไมไม่มีแผนรองรับที่ชัดเจน และที่สำคัญ รัฐบาลจะหาเงินมาช่วยเหลือและฟื้นฟูได้อย่างไร โดยไม่ทำให้การคลังแย่ลง
สำหรับประชาชนในพื้นที่ประสบภัย ความไม่พอใจต่อการช่วยเหลือที่ล่าช้าหรือไม่เพียงพออาจแปลงเป็นคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า ภาคใต้ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของหลายพรรคการเมือง การสูญเสียความเชื่อมั่นในพื้นที่นี้อาจส่งผลกระทบต่อสมดุลอำนาจทางการเมืองในอนาคต
แนวทางฝ่าวิกฤต: ต้องการมากกว่าเงิน
เพื่อให้รอดพ้นวิกฤตนี้ รัฐบาลอนุทินต้องดำเนินการหลายด้านพร้อมกัน หนึ่ง เร่งความช่วยเหลือเยียวยาให้ถึงผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและลดความทุกข์ของประชาชน
สอง จัดหางบประมาณอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ โดยอาจต้องจัดลำดับความสำคัญของโครงการอื่นๆ และหาแหล่งเงินที่ไม่กระทบเสถียรภาพการคลังมากเกินไป การเจรจากับฝ่ายค้านเพื่อผ่านงบประมาณเพิ่มเติมอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งจำเป็น
สาม สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพเกี่ยวกับแผนการฟื้นฟูระยะยาวและมาตรการป้องกันในอนาคต เพื่อสร้างความมั่นใจว่ารัฐบาลมีวิสัยทัศน์และความสามารถในการป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ
สี่ เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสในการแสดงความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง หากรัฐบาลสามารถจัดการวิกฤตนี้ได้ดี อาจฟื้นฟูความเชื่อมั่นที่สูญเสียไปได้บ้าง
อุทกภัยภาคใต้เป็นมากกว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติ มันคือจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่อาจกำหนดชะตากรรมของรัฐบาลอนุทิน การจัดการที่ล้มเหลวจะเป็นหลักฐานยืนยันว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจเป็นตะปูตัวสุดท้ายที่ตอกโลงศพทางการเมือง
ในทางกลับกัน หากรัฐบาลสามารถจัดการได้ดี รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ฟื้นฟูความเชื่อมั่นและสร้างความชอบธรรมใหม่ให้กับรัฐบาลที่กำลังโซเซ
เวลาไม่เป็นฝ่ายรัฐบาล น้ำลดแล้ว แต่ภูเขาของปัญหายังคงตระหง่านอยู่ ทั้งการฟื้นฟู การเยียวยา และการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต ทุกการตัดสินใจ ทุกการกระทำในช่วงนี้จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิดและจะส่งผลกระทบต่ออนาคตทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือช่วงเวลาที่รัฐบาลอนุทินไม่มีสิทธิ์ผิดพลาด เพราะความผิดพลาดครั้งต่อไปอาจเป็นครั้งสุดท้าย