โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ส่อง 5 หุ้น P/E ต่ำกว่าตลาด เมื่อ SET จะถูกสุดในรอบ 10 ปี

Wealthy Thai

อัพเดต 05 ม.ค. 2567 เวลา 04.50 น. • เผยแพร่ 20 ต.ค. 2566 เวลา 02.08 น. • กฤษฎิ์ รัตนธีระธาดา

ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศได้เจอแรงกดดันรอบด้าน จนทำให้ระดับของ P/E เฉลี่ยของตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงจนถูกกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต โดยในวันนี้ทาง Wealthy Thai ก็ไปพบกับมุมมองที่น่าสนใจต่อตลาดหุ้นไทย จากบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด
โดยได้พูดถึงระดับดัชนีตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่ 1,433.40 จุด มี Trailing PE อยู่ที่ระดับ 19.8 เท่า แม้จะดูสูงแต่จริงๆถูกกดดันจากกำไรงวดไตรมาส 4/65 ที่ต่ำผิดปกติเพียง 1.72 แสนล้านบาท (ปกติอยู่ระดับ 2.5 แสนล้านบาท)
แต่หากมาดูกันที่ Forward P/E ปี 66 จะพบว่าเหลือเพียง 15.9 เท่า อ้างอิงจาก EPS ปี 66 ที่ 88.6 บาทต่อหุ้น และถ้าเป็น Forward P/E ปี 67 ก็จะเหลือเพียง 14.2 เท่า ซึ่งค่าเฉลี่ยของทั้ง 2 ปีนั้น ถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย Forward P/E ในรอบ 10 ปี หรือที่ 18.8 เท่า
ด้วยข้อมูลมุมมองที่น่าสนใจนี้ ทางเราก็ได้ไปทำการรวบรวมหาข้อมูลหุ้นในกลุ่ม SET 50 ที่ระดับ P/E ในปัจจุบันยังอยู่ต่ำกว่าของตลาดนั้น จะมีตัวใดบ้างที่ติด 5 อันดับแรก และพื้นฐานของธุรกิจจะน่าสนใจเพียงใด Wealthy Thai หาคำตอบมาให้แล้ว
สำหรับหุ้นตัวแรกเรียกได้ว่า P/E ต่ำที่สุดในกลุ่ม ก็คือ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ที่ปัจจุบัน (ณ วันที่ 18 ต.ค. 66) ราคาหุ้นซื้อขายกันอยู่ 8.05 บาท และคิดเป็นระดับของ P/E เพียง 3.66 เท่า ซึ่งทางด้านความคิดเห็นจากบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 10 บาท
ด้วยพื้นฐานของธุรกิจที่จะได้ปัจจัยสนับสนุนอย่างทิศทางของธุรกิจในไตรมาส 4/66 ที่จะเป็นจุดสูงสุดของปี เพราะเข้าสู่ไฮซีซั่นของการใช้ก๊าซธรรมชาติ–ถ่านหิน ซึ่งยังไม่รวมกับปัจจัยบวกเพิ่มเติม อย่างความคืบหน้าการสปินออฟ BKV ช่วงปลายปี 2566 – ต้นปี 2567 และการเริ่มเปิดใช้งานโครงการ CCS แห่งแรก แต่อย่างไรก็ตามคาดกำไรปี 2566 ที่ 1.30 หมื่นล้านบาท ลดลง 84% จากปีก่อนหน้า
ถัดมาที่หุ้นตัวที่ 2 ก็คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ที่ปัจจุบัน (ณ วันที่ 18 ต.ค. 66) ราคาหุ้นซื้อขายอยู่ที่ 19.50 บาท และคิดเป็นระดับของ P/E อยู่ที่ 7.41 เท่า ซึ่งทางด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ก็ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 24 บาท
ขณะที่ความน่าสนใจของ KTB ด้วยระดับราคาหุ้นที่ซื้อขายกันในปัจจุบันสะท้อนถึง P/BV อยู่ที่ 0.68 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างถูกในกลุ่มธนาคารใหญ่ หรือ ถูกรองลงมาจาก BBL ขณะที่พื้นฐานของธุรกิจแนวโน้มคุณภาพหนี้และสํารองส่วนเกินที่มียังค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยคาดกําไรปี 2566 ที่ 3.94 หมื่นล้านบาท เติบโต 17% จากปีก่อนหน้า
ต่อมากันกับหุ้นตัวที่ 3 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ราคาหุ้นซื้อขายในปัจจุบัน(ณ วันที่ 18 ต.ค. 66) อยู่ที่ 126.50 บาท หรือคิดเป็นระดับ P/E อยู่ที่ 8.44 เท่า โดยมุมมองการลงทุนจากบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ได้ให้คำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมายที่ 140 บาท
พร้อมกับความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า KBANK เป็นหนึ่งในธนาคารที่ได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น รวมไปถึงยังเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนา Digital Banking เพื่อต่อยอดธุรกิจหลักและเพิ่มช่องทางการเติบโตใหม่ต่อเนื่อง ทั้งนี้คาดกำไรปี 2566 ที่ 3.93 หมื่นล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน
ถัดไปหุ้นตัวที่ 4 ก็คือ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ที่ในปัจจุบัน (ณ วันที่ 18 ต.ค.66) ราคาหุ้นซื้อขายกันอยู่ที่ 175 บาท และคิดเป็นระดับ P/E อยู่ที่ 8.67 เท่า ขณะที่ความเห็นจากบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ได้ให้คำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมายที่ 180 บาท
แต่ยังมีมุมมองว่า ให้ช่วงราคาน้ำมันดิบลดลงผ่านไปก่อน ถึงจะทยอยซื้อเก็งกำไร โดยราคาหุ้นจะมีอัพไซด์จากการประชุมใหญ่ OPEC+ (26 พ.ย. 66) มีโอกาสเห็นการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มรองรับการฟื้นตัวช้าของเศรษฐกิจโลก และจากการเข้าลงทุนในแหล่งใหม่และความสำเร็จของแหล่งสำรวจฯ ทั้งนี้คาดกำไรปี 2566 ที่ 7.40 หมื่นล้านบาท เติบโต 4% จากปีก่อน
มาถึงหุ้นตัวสุดท้าย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ราคาหุ้นซื้อขายในปัจจุบัน (ณ วันที่ 18 ต.ค.66) อยู่ที่ราคา 167.50 บาท และมีระดับ P/E อยู่ที่ 8.72 เท่า โดยคำแนะนำจากบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ได้แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 220 บาท พร้อมยังยก BBL เป็น Top Pick ของกลุ่มธนาคารคู่กับ KTB เพราะได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น
อีกทั้งยังมีความเป็นผู้นำด้านสินเชื่อธุรกิจ ซึ่งจะได้อานิสงส์โดยตรงจากการเติบโตของเศรษฐกิจ รวมถึงมีความแข็งแกร่งในเรื่องคุณภาพสินทรัพย์และความเพียงพอของสำรองมากสุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ทั้งนี้คาดกำไรปี 2566 ที่ 4.49 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 53%

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...