โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

โบรกเชียร์ซื้อ TTB เป้าสูง 1.98 บ. หลังกำไร Q3 โตเกินคาด ชี้ปีนี้ทะลุ 1.7 หมื่นล้าน

ข่าวหุ้นธุรกิจ

เผยแพร่ 22 ต.ค. 2566 เวลา 05.38 น. • ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์

ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 กำไรสุทธิที่ 4,735 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3,715 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2566 โดยบริษัทมีกำไรสุทธิที่ 13,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 10,348 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานเติบโตแข็งแกร่ง เป็นผลมาจากรายได้หลักและการจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากโครงสร้างงบดุลที่มีความเหมาะสมและคล่องตัว ส่งผลให้ TTB สามารถหมุนเวียนเงินทุนจากสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เพื่อรับประโยชน์ในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยรายได้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มเติบโตขึ้น 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) ขยายตัวได้ดีโดยเพิ่มขึ้น 0.32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 3.21%เทียบกับ 2.89% ในช่วงระยะเวลา 9 เดือนแรกของปีก่อน เป็นผลจากการปรับเปลี่ยนสัดส่วนของพอร์ตสินเชื่อ และการบริหารพอร์ตเงินลงทุน pre-funding รวมถึงเงินฝากล่วงหน้าที่ช่วยรักษาอัตรากำไรด้านดอกเบี้ย ส่งผลรายได้รวมจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 52,630 ล้านบาท

นอกจากนี้ TTB ตั้งสำรองฯ และ Management Overlay จำนวน 12,874 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ 1.26% ลดลง 5% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวของปีก่อน

โดยจากผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2566 และงวด 9 เดือนแรกออกเติบโตแข็งแกร่งดีกว่าการคาดการณ์ ส่งผลให้ฝ่ายนักวิเคราะห์ต่างๆยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมประเมินผลการทำงานมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่น

บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ต่อ TTB หลังกำไรงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 คิดเป็น 79% ของประมาณการกำไรทั้งปีเดิม ด้วยการดำเนินกลยุทธ์การทำงานร่วมกันของรายได้จะสามารถทำได้ตามเป้าทั้งปีที่ 3-5 พันล้านบาท ผ่านการดำเนินการภายใต้การใช้ดิจิทัลเป็นตัวนำ และมีการพัฒนาการขายผลิตภัณฑ์บนแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งทำให้ช่วยลดต้นทุนอย่างเห็นเด่นชัด พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เป็นอย่างดีและมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะตอบโจทย์ลูกค้าของธนาคารออกมาอย่างต่อเนื่อง และสร้างรายได้ให้มากขึ้นในอนาคต

ส่วนในช่วงไตรมาส 4/2566 จนถึงปี 2567 ทาง TTB ยังคงไม่เน้นโตจากการเร่งปล่อยสินเชื่อ แต่ยังคงใช้กลยุทธ์เพิ่มสินเชื่อที่มีอัตราผลตอบแทนสูงผ่านลูกค้าเดิมที่ประวัติดีต่อไป ขณะที่คาดการณ์การตั้งสำรองมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS 9 ที่ระดับ 1.28% ดังนั้นฝ่ายนักวิเคราะห์จึงปรับประมาณการกำไร TTB ปี 2566 ขึ้นราว 4% อยู่ที่ 17,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากงวดเดียวของปีก่อน

ด้านผู้บริหาร TTB ประเมินการดำเนินงานโดยรวมในปี 2567 ว่าภาวะเศรษฐกิจอาจไม่ดีเท่าที่คาดการณ์ก่อนหน้า จากนักท่องเที่ยวเข้ามาต่ำกว่าคาดการณ์ ภาคส่งออกยังไม่ฟื้นตัวได้ตามต้องการ และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลกรุมเร้าเศรษฐกิจไทย ทำให้ดำเนินการธุรกิจยากขึ้น จึงยังคงไม่เร่งโตสินเชื่อในปี 2567 แต่คงเน้น cross sell ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีอัตราผลตอบแทนสูงกับลูกค้าเดิม ซึ่งมีคุณภาพเป็นหลัก โดยเชื่อว่า NIM สูงในปัจจุบัน จะคงอยู่ในระดับเต็มปี จนถึงปีหน้า ซึ่งยังช่วยเพิ่มรายได้ดอกเบี้ยให้เติบโตได้ดีในปีถัดไป ประกอบกับการคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโดยการออกผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางดิจิตัลเป็นหลัก จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และหนุนให้กำไรปี 2567 เติบโตโตจากปี 2566 ได้ต่อไป

ทั้งนี้ จากการไม่เร่งโตสินเชื่อในปีนี้และปีหน้า ส่งผลให้การมีเงินกองทุนระดับสูงๆ ปัจจุบัน BIS อยู่ที่ 19.9% ไม่จำเป็นมากนัก จึงประเมินว่าปีนี้ TTB จะจ่ายปันเป็นในอัตราหุ้นละ 0.1 บาท หรือราว 54% ของกำไรสุทธิ ซึ่งสูงกว่าปีก่อนที่ราว 50% ของกำไรสุทธิ คิดเป็น Dividend Yield ที่ 5.8% โดยในครึ่งปีแรก 2566 จ่ายไปแล้วที่ 0.05 บาท คาดการณ์ว่าในครึ่งหลังปี 2566 จะจ่ายอีก 0.05 บาท หรือคิดเป็น Dividend Yield ที่ 2.9%

ขณะที่เดียวกันทางฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยมองเป็นทิศทางบวกต่อการดำเนินกลยุทธ์ของ TTB ที่ประเมินว่าจะทำให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีบน ROE ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และยังมีอัตราเงินปันผลจูงใจ ปรับมาใช้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 1.98 บาท ซึ่งราคาปัจจุบันมี upside 15% จึงคำแนะนำ “ซื้อลงทุน”

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ สำหรับกำไรไตรมาส 3/2566 ของ TTB มากกว่าตลาดคาดแต่เป็นไปตามนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดย TTB ประกาศกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน มากกว่าที่ตลาดคาด 7% แต่เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาด อีกทั้งกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 2566 คิดเป็น 80% จากประมาณการทั้งปี แต่ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นได้ดีที่เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน เพราะคาดว่ากำไรไตรมาส 4/2566 ลดลงจากไตรมาสก่อน เพราะ OPEX ที่ เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล แต่จะยังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ได้ต่อเนื่องจากการรุกสินเชื่อที่ผลตอบแทนสูงจากฐานกลุ่ม ลูกค้าเดิมของ TTB ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าการหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ มีคำแนะนำ “ซื้อ” มีการ rollover ราคาเป้าหมายไปปี 2567 ได้ที่ 1.95 บาท จากเดิมที่ 1.85 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ว่าจาก TTB มีกำไรไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท เป็นไปตามคาด ซึ่งกำไรเพิ่มขึ้น 27.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และ 3.7% จากไตรมาสก่อน

ทั้งนี้ทำให้ยังคงประมาณการกำไรปี 2566 ของ TTB ไว้ที่ 17.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.5% เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อน เป็ นการเติบโตที่โดดเด่นจากรายได้ ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นถึงแม้ว่าสินเชื่ออาจจะไม่ได้โต ในขณะที่สามารถรักษาต้นทุนดอกเบี้ยไว้ได้ดี เพื่อให้เหมาะสมกับช่วงเวลาการลงทุนจึงปรับไปใช้ราคาพื้นฐานปี 2567 ที่ 1.96 บาท ปรับคำแนะนำขึ้นมาเป็น “ซื้อ”

บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ประมาณการณ์กำไรของ TTB ปี 2566 อยู่ที่ 17,574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ได้ปัจจัยหนุนจากส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ในปี 2566 กว้างขึ้นจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น และเน้นปล่อยสินเชื่อรายย่อยมีผลตอบแทนสูง ขณะทีต้นทุนด้านเงินฝากสามารถคุมได้ดีแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” โดยมีมูลค่าพื้นฐานที่ 1.90 บาท และประเมิน Dividend Yield ที่ 4%

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...