ในแวดวงหนังสือ และนักเขียน คงไม่มีใครไม่รู้จัก “วินทร์ เลียววาริณ” ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ เจ้าของรางวัลซีไรต์ถึง 2 ครั้ง และหนึ่งในนักเขียนคุณภาพจาก THINK TODAY ที่รวบรวมความคิดผ่านงานเขียนจาก 10 นักเขียนระดับประเทศไว้ด้วยกันบน LINE TODAY ซึ่งไม่บ่อยเลยที่นักเขียนอย่าง “วินทร์ เลียววาริณ” จะมาถ่ายทอดความคิด การใช้ชีวิตผ่านบทสัมภาษณ์แบบนี้
สำหรับ “วินทร์ เลียววาริณ” นักเขียนก็คือคนที่หายใจเข้าเป็นความคิด หายใจออกเป็นตัวอักษร คนที่สะสมสิ่งต่าง ๆ มากลั่นกรองเป็นงานเขียน..
“ผมคิดว่าชีวิตมนุษย์แต่ละคนเป็นผลรวมของการสะสม สะสมความคิด สะสมประสบการณ์ สะสมปัญญา แต่เมื่อมีความคิดหลายอย่างมารวมตัวกัน ลอยแกว่งไปแกว่งมา ก็ต้องใช้เวลาที่จะทำให้มันตกตะกอน เมื่อตกตะกอนแล้วเราจึงมองเห็นภาพชัด
“การทำงานเขียนหนังสือก็เป็นเหมือนการกลั่นกรองความคิดอย่างหนึ่ง ผ่านไปนานปี ก็ทำให้เข้าใจชีวิต มนุษย์กับสังคม ไปจนถึงเรื่องสเกลใหญ่ระดับจักรวาลได้ชัดขึ้น ก็คงคล้าย ๆ ปรัชญาเซน ก่อนฝึกเซน เห็นภูเขาเป็นภูเขา แม่น้ำเป็นแม่น้ำตอนฝึกเซน เห็นภูเขาไม่เป็นภูเขา แม่น้ำไม่เป็นแม่น้ำ หลังฝึกเซน เห็นภูเขาเป็นภูเขา แม่น้ำเป็นแม่น้ำ
“ผมยังไม่ได้บรรลุธรรมอะไรหรอก แต่ก็รู้สึกว่าก่อนเป็นนักเขียนกับหลังเป็นนักเขียน ก็มีพัฒนาการความคิด ทำให้เห็นชัดขึ้นในระดับหนึ่ง”
บางคนอาจคิดว่าเป็นนักเขียนต้องติสต์ ต้องเป็นอย่างโน้น ต้องเป็นอย่างนี้ แต่สำหรับนักเขียนที่ชื่อ “วินทร์ เลียววาริณ” แล้ว ความมินิมอลคือคำตอบของการใช้ชีวิต
“ผมใช้ชีวิตเรียบง่ายมาตลอด เป็นชาว Minimalist ดังนั้นปรัชญาการใช้ชีวิตก็คือ น้อยไว้ก่อน เอาเฉพาะที่จำเป็น มันทำให้เบาตัว โล่งสบาย ส่วนเรื่องการมองโลก ผมเคยเป็นพวกมองโลกในแง่ร้ายมาก แต่เมื่อใช้ชีวิตมานาน ก็มองเห็นประโยชน์ของการมองโลกในแง่บวก มันคุ้มกว่า!
“ผมใช้ชีวิตกับการทำงานมากกว่าการเล่นหรือการเที่ยว อาจเพราะการทำงานที่รักก็คือความสนุกอยู่แล้ว และลักษณะของงานเกี่ยวข้องกับจินตนาการและการขบคิดมาก ทำให้ผมใช้ชีวิตแบบน้ำนิ่ง (แต่ภายในปั่นป่วน!)”
แม้ชีวิตส่วนใหญ่จะอยู่กับตัวอักษร ผ่านยุคที่ส่งต้นฉบับด้วยการเขียน มาจนถึงยุคโซเชียล พิมพ์อีเมล แต่ก็ไม่มีคำว่า “เบื่อ”
“ผมเป็นนักเขียนไซด์ไลน์นานสิบหกปี เมื่อชีวิตถึงจุด ๆ หนึ่ง ก็ต้องตัดสินใจว่าจะไปทางไหน ผมเลือกทางสายนักเขียนอย่างไม่แน่ใจนัก สามัญสำนึกบอกว่าไม่น่าจะไปทางนี้ แต่หัวใจส่วนลึกบอกว่าควรไป
ในที่สุดก็แพ้ใจตัวเอง…
“การเป็นนักเขียนมีความยุ่งยากสองเรื่อง เรื่องที่หนึ่งคือการฝึกฝนตนเองให้เป็นนักเขียน เรื่องนี้เหมือนกันหมดทั้งโลก ไม่ว่าสามสิบปีก่อนหรือตอนนี้ คือต้องฝึกหนัก เขียน ๆ ๆ ๆ ๆ ฝึกจนได้ที่ จึงจะพอเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียน ถ้าเก่งหน่อยก็อาจใช้เวลาน้อยหน่อย แต่ก็ไม่น่าจะต่ำกว่าสิบปี
“เรื่องที่สองคือการขายผลงาน ส่วนนี้ยากเหมือนกัน การขายผลงานจำเป็นต่อการเป็นนักเขียนอาชีพ เพราะนักเขียนอยู่ได้ด้วยรายได้ตรงนี้
“ปัญหาคือเมื่อสามสิบปีก่อน นักเขียนขายงานได้ง่ายกว่าตอนนี้ สมัยผมเป็นวัยรุ่น ยอดพิมพ์หนึ่งหมื่นเล่มเป็นเรื่องไม่แปลก ตอนนี้เป็นเรื่องสุดแสนมหัศจรรย์ สาเหตุคงเพราะพฤติกรรมการเสพสื่อของคนทั้งโลกเปลี่ยนไปอ่านสั้นลง และอ่านหนังสือจริง ๆ จัง ๆ น้อยลง ก็คงต้องรับสภาพ และปรับตัว
“ส่วนจะเป็นนักเขียนไส้แห้งไหม..
แล้วแต่คน จังหวะ และหลายปัจจัย
เขียนดี ขายเป็นก็ไส้ไม่แห้ง
เขียนไม่ดี ขายเป็น ก็ไส้ไม่แห้ง
เขียนดีขายไม่เป็น ก็ไส้แห้ง
ประเด็นคือ คุณภาพงานเขียนไม่เกี่ยวกับยอดขาย คนละเรื่องเลย! เป็นเรื่องน่าเศร้า แต่เป็นความจริง”
ทุกวันนี้มีสิ่งที่เรียกว่า “งานเขียนออนไลน์” ที่บางคนก็บอกว่าทำให้คุณค่าของความเป็นหนังสือลดน้อยลง แต่สำหรับนักเขียนมืออาชีพระหว่างการเขียนหนังสือ กับงานเขียนออนไลน์ไม่ได้ต่างกันเลย
“ผมว่ามันไม่แตกต่างกัน ก็เหมือนสร้างหนังมาหนึ่งเรื่อง จะฉายที่โรงหนังหรือทางโทรทัศน์ก็ได้ เพราะสิ่งที่สำคัญคือเนื้อหาสาระของเรื่อง
“สำหรับผมสิ่งเปลี่ยนอย่างเดียวคือ งานเขียนที่ลงออนไลน์จะเขียนสั้นลง และจับเหตุการณ์ภายนอกมากขึ้น ส่วนงานเขียนอื่น ยังเป็นปกติ ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไร ผมมองไม่เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างการเขียนหนังสือกับเขียนออนไลน์ เพราะนักเขียนแต่ละคนก็มีสไตล์และวิธีการทำงานที่ไม่เปลี่ยนมาก”
นอกจากงานเขียนบนโลกออนไลน์หรือบนกระดาษจะไม่ต่างกันแล้ว การอ่านก็ยังไม่แตกต่างกันด้วย สิ่งที่ต่างก็คือเราได้หรือไม่ได้อะไรจากการอ่านนั้น
“ผมว่าจะอ่านหรือจะดู หรือด้วยวิธีการใด ๆ ไม่สำคัญ สำคัญที่สาระของสารที่เสพเข้าไป ถ้าเสพสารไม่หลากหลาย ความคิดก็จะไม่กว้างเท่าที่ควร แต่ถ้าเสพแล้วไม่สามารถย่อยหรือวิเคราะห์ ความคิดก็จะคับแคบ หรืออาจจะโง่ลงได้
“เพราะฉะนั้นจะอ่านหนังสือกี่บรรทัดไม่สำคัญอะไรเลย สำคัญที่อ่านอะไร อ่านเป็นไหม อ่านแตกไหม อ่านหลากหลายไหมเท่านั้นเอง การอ่านหนังสือเป็นคืออ่านแล้วย่อย แตกหน่อความคิด แล้วฉลาดขึ้น
“อ่านหนังสือไม่เป็นคืออ่านแล้วเชื่อเลย ไม่คิด ไม่วิเคราะห์ การอ่านแบบนี้อาจทำให้โง่ลงได้ หรืออาจเลวร้ายกว่าไม่อ่านด้วยซ้ำ
“อย่างร่างกายคนเราต้องการสารอาหารอย่างน้อยจำนวนหนึ่งจึงมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่เป็นโรคภัย สมองก็เช่นกัน ต้องอ่านมากพอในปริมาณหนึ่ง ซึ่งบ่อยครั้งที่ 8 บรรทัดไม่เพียงพอ”
สำหรับงานเขียน “วินทร์ เลียววาริณ” คือตัวจริง คือคนใช้ตัวอักษรเลี้ยงชีพมากว่า 30 ปี และสิ่งที่ทำให้เดินทางมาไกลจากมาตรวัดความฝันวันแรกของการเขียนหนังสือ ก็คือ “ใจ”
“นักเขียนคือคนที่หายใจเข้าเป็นความคิด หายใจออกเป็นตัวอักษร การใช้ชีวิตของผมทุกวันเหมือนกันหมด ตื่นเช้าอย่างช้าหกโมง กินอะไรสักหน่อย แล้วเริ่มทำงานไปจนค่ำ ระหว่างการทำงานก็เบรกด้วยการพัก การงีบ การออกกำลังกาย ดูหนัง สลับไปมา โดยไม่มีกฎตายตัว แต่ก็เขียนตลอด
“ที่ผ่านมาผมชอบเขียนแทบทุกแนว แต่ที่ยังไม่ได้เขียนมีหลายแนว เช่น นวนิยายปรัชญา นวนิยายธรรมะ นิยายกำลังภายใน ถ้าพร้อมและยังมีแรง ก็คงได้เขียน ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไฟในการเขียนให้ตัวเองเรื่อย ๆ ยังอ่านเรื่อย ๆ อ่านกว้าง ๆ แล้วคิดไปด้วย ก็เป็นวิธีหนึ่งที่เปิดความคิด และทำให้มีเรื่องเขียน
“สำหรับเรื่องความสำเร็จในอาชีพนักเขียน ถ้าวัดด้วยมาตรของความฝันวันแรกที่เขียนหนังสือ ผมก็ถือว่าสำเร็จ มาไกลกว่าที่คิดไว้หลายปีแสง ตอนแรกแค่เขียนสนุก ๆ และทำงานด้วยความยากเย็นแสนสาหัส จนคิดว่าไม่น่ารอดแน่ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกว่า ‘เอาอยู่’ และมั่นใจขึ้นมาก ประกอบกับผลตอบรับทั้งคนอ่าน รางวัล และรายได้ที่พอเลี้ยงตัวได้จากการเขียนหนังสืออย่างเดียว ก็ถือว่าสำเร็จ ซึ่งอาจต่างจากระดับความสำเร็จของนักเขียนดังระดับโลกหลายล้านปีแสง แต่แค่นี้ก็พอใจแล้ว”
ปิดท้ายด้วยข้อคิดจาก “คุณวินทร์” ที่ไม่ว่าจะอยากเขียนหรือไม่อยากเขียนก็นำไปใช้ได้
“ใช้ชีวิตให้สมกับค่าใช้จ่ายที่ธรรมชาติมอบให้เรา”
ถ้าอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ จะรู้เลยว่า “วินทร์ เลียววาริณ” เป็นนักเขียนที่ยังคงคมในความคิดเสมอ ถ้ารู้จักนำไปใช้..ก็มักได้อะไรจากสิ่งที่เราอ่าน แต่ถ้าแค่อ่าน แค่ผ่านไป..ก็ไม่แปลกที่เราจะโง่ลงเรื่อย ๆ เพราะโลกก้าวหน้าไปถึงไหน ๆ แต่เรากลับหยุดความรู้ไว้แค่นั้น..
ความเห็น 26
เป็นนักเขียน no. 1 ของผมเลย ขอบคุณคุณวินทร์ ที่เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แม่จ้าว!
10 ส.ค. 2561 เวลา 12.58 น.
S.
พออายุมากขึ้น อ่านหนังสือเยอะขึ้น
คนนี้เป็นนักเขียนที่ชื่นชมมากคนนึง
หลังๆเบื่อ แนวเอาเรื่องคนอื่นมาเล่า
โชว์โลกสวยด้วยคำกลวงๆ
พวกโชว์ความฉลาด
ด้วยความฉลาดของคนอื่น
ผ่านปลายปากกา
10 ส.ค. 2561 เวลา 12.31 น.
ชื่นชอบผลงานค่ะขอบคุณที่ยังทำหนังสือดีๆให้ได้อ่านได้แรงบันดาลใจและแว่คิดดีๆค่ะ🙂🙂
10 ส.ค. 2561 เวลา 16.01 น.
Rewat Thaiwee♾️1️⃣9️⃣
FC ครับ
11 ส.ค. 2561 เวลา 01.44 น.
audomdee
ขอบคุณที่เป็นคนธรรมดาคนเดิม
10 ส.ค. 2561 เวลา 17.47 น.
ดูทั้งหมด