"ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว เราไปเที่ยวกัมพูชากับเพื่อนอีกประมาณ 4 คน เราไปกันทั้งหมด 4 วัน 3 คืน โดยที่บินไปลงที่พนมเปญก่อนวันแรก เที่ยวในเมืองก่อนแล้วนั่งรถต่อไปที่เมืองเสียมราฐในวันเดียวกัน
ด้วยความที่เรากับเพื่อนก็ศึกษาประวัติศาสตร์กันมา ทุกคนเลยวางแพลนกันว่าเราจะไปพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดง ซึ่งในพนมเปญมีที่ ๆ ดังอยู่ 2 จุด อันแรกคือ Choeung Ek Genocidal Center อยู่ออกจากตัวเมืองไปประมาณ 17 กิโลเมตร ส่วนอีกที่เป็นโรงเรียนที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ชื่อ S-21Victims อยู่ใจกลางเมืองเลย
เราไปถึงที่จุดแรก ทุกคนก็เช่า Audio Guide กันไปคนละเครื่องแล้วก็เดินไปตามจุด ที่ Choueng Ek จะเซตอัปทุกอย่างเหมือนเป็น Killing Field ทุกจุดอยู่กระจายตัวกัน เราก็ค่อย ๆ เดินไปแล้วกดตัว Audio Guide เพื่อฟังคำอธิบาย
ถึงตอนนี้จะบอกว่ามันยังไม่ได้มีตัวละครที่เป็นผีเข้ามาอยู่ในเรื่องของเรานะ แต่บรรยากาศทุกอย่างระหว่างที่เราเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่นี่มันทำให้เราจิตตกมาก ๆ อย่างจุดแรก ๆ เขาจะใ้หเราไปหยุดอยู่ตรงหน้าต้นไม้ต้นนึง ซึ่งหน้าตามันก็ดูเหมือนต้นปาล์มธรรมดา แต่เสียงที่อธิบายเล่าว่าต้นไม้นี้คือเครื่องมือในการฆ่าโดยทหารจะจับเอาคอของคนมาพาดเอาไว้แล้วกดเพื่อเชือด หรืออีกจุดที่เป็นจุดท้าย ๆ แล้ว ก็เป็นต้นไม้ใหญ่อีกต้น มีกองผ้าขลุกอยู่ด้านล่าง เคยมีลำโพงแขวนเอาไว้ และสตอรี่ของมันก็คือจุดนี้เป็นจุดที่พวกทหารจะเปิดเพลงรื่นเริงตอนกลางคืน เปิดให้ดังเพื่อกลบเสียงร้องโหยหวนของคนที่โดนหลอกมาฆ่า
ที่แรกก็ทำให้เราดิ่งแล้ว ที่ ๆ สองก็ยิ่งน่าหดหู่ใจไม่แพ้กัน จะเล่าเร็ว ๆ ว่าตรงนี้เคยเป็นโรงเรียนที่เคยเกิดการฆาตกรรมจริง ๆ ถ้าเดินไปสังเกตดูตามกำแพงหรือผนังเล็ก ๆ ที่เป็นช่องสำหรับหนีได้ จะเห็นว่าบางจุดยังมีรอยเลือดทิ้งไว้อยู่ ซึ่งตัวนิทรรศการมีหลายจุดมาก ๆ เล่าว่าเหยื่อแต่ละคนถูกฆ่าอย่างไร มันจะมีทางเดินยาว ๆ ซึ่งช่วงต้นทางแขวนรูปถ่ายของแต่ละคนในสภาพที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเพราะถูกหลอกมาว่าพวกเขากำลังจะมีอนาคตที่ดี แต่สุดท้ายก็ถูกฆ่าหมด กลายเป็นรูปที่แขวนไว้ตรงปลายทาง จบจากที่นี่ ทุกคนก็คือยิ่งรู้สึกดิ่งลงไปอีก
เรานั่งรถตู้จากพนมเปญต่อไปที่เสียมราฐ ออกรถตั้งแต่ประมาณ 4 โมงเย็นและตามแพลนคือถึงเสียมราฐตอนประมาณ 3 ทุ่ม ซึ่งระหว่างทางพอออกจากตัวเมืองไปมันก็คือชนบทที่ไม่มีแม้แต่ไฟบนถนน แล้วดันเป็นวันที่พายุเข้า ฝนตกหนักมาก หนักขนาดที่ว่าเราพยายามมองออกไปนอกรถก็เห็นทุกอย่างเป็นแค่เงาเลือน ๆ ไปหมด
รถก็แล่นไปเรื่อย ๆ ความสว่างที่มีทั้งหมดมาจากแค่แสงไฟหน้ารถและจังหวะที่ฟ้าแลบเพื่อนเราทุกคนก็หลับกันไปด้วยความเหนื่อย ส่วนตัวเราเองก็สะลึมสะลือ หลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะฟ้าร้องดังเป็นระยะ ๆ
ระหว่างทางตอนนั้นมีแต่ทุ่งหญ้ากับต้นไม้ ซึ่งแน่นอนว่าแม้แต่ไฟถนนก็ไม่มีและก็ไม่มีหมู่บ้านเลย เป็นทางโล่ง ๆ สิ่งที่เราเห็นตอนที่ตื่นมาก็คือเงาคนจากไกล ๆ ฝั่งขวา ตัวเราเองนั่งฝั่งซ้ายติดกระจก มันแปลกตรงที่พอฟ้าแลบทีไร เราลืมตาขึ้นมามองก็เห็นเงาคนยืนอยู่คนเดียว ตำแหน่งเดิมฝั่งขวา ทั้ง ๆ ที่รถก็แล่นไปเรื่อย ๆ แล้วก็วืบหายไป
ครั้งแรกก็คิดว่าตัวเองตาฝาดนะ หรือตัวเองก็น่าจะติดตาจากที่ไปพิพิธภัณฑ์มา แต่พอเห็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ก็เริ่มคิดว่าไม่น่าใช่ละ เรายังคงเห็นเงาคนอยู่ไกล ๆ เรื่อย ๆ ยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ฝั่งขวา เลยหันหัวมาพิงเบาะฝั่งซ้าย หันหน้าเข้ากระจกฝั่งซ้าย จะได้นอนได้อย่างสบายใจ
แต่คราวนี้พอเราหลับตาลงอีกครั้งและเป็นโมเมนต์ที่ฟ้าผ่าพอดี แทนที่จะได้นอนอย่างสบายใจตามที่คิดในตอนแรกเรากลับเห็นหน้าคนโผล่เข้ามาที่กระจกฝั่งเรา และเป็นใบหน้าที่อาบเลือด..
เราตื่นเลยจ้า และตลอดทั้งทางก็นั่งเล่นมือถือ ไม่พยายามมองไปข้างนอกหน้าต่างอีกเลย
ที่เสียมราฐน่าจะเป็นจุดรวมเหตุการณ์พีก ๆ ของทริปนี้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเกิดที่สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่เราไปกันมา ยกตัวอย่างเช่น…
ที่นครวัด พวกเราก็ไปกันแต่เช้าเพื่อไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ด้วยความขัดข้องตอนซื้อตั๋วเลยทำให้ไปไม่ทัน พอไปถึงตัวปราสาทก็สว่างละ แถมวันนั้นมีมาราธอนประจำปีที่จัดขึ้นที่นั่นด้วย เราก็ อะ ๆ ไม่เป็นไร ไหน ๆ ไม่อดหลับอดนอนกันมาแล้วก็ไปเดินสำรวจด้านในกัน ทั้ง 5 คนก็เดินตามทางเดินยาว ๆ เข้าไป ซึ่งระหว่างทางเราก็มีหยุดถ่ายรูปกันด้วย
คราวนี้ตอนที่เราไปยืนเป็นแบบแล้วให้เพื่อนถ่ายให้ อยู่ดี ๆ เพื่อนที่กำลังรัวชัตเตอร์ก็ชะงัก แล้วเก็บมือถือทันที เราก็เลยถามไปว่าเป็นอะไร นางก็ไม่ได้พูด ก็เลยถามกลับไปว่า มาแล้วหรอ นางก็พยักหน้า เราก็แบบไม่เป็นไร ถ่ายไปก่อน เดี๋ยวไปครอปออกเอง และระหว่างที่ก็ถ่ายรูปกันไปต่อ เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างหลังตากล้องที่กำลังเฝ้ากระเป๋าให้อยู่ อยู่ดี ๆ มันก็พูดกับใครก็ไม่รู้ว่า “อุ๊ย คุณป้า อย่ามาคุ้ยของสิคะ” ซึ่งพอเรากับเพื่อนที่เป็นตากล้องมองไปที่กระเป๋าที่วางอยู่บนพื้น ก็ไม่เห็นใครเข้ามายุ่ง และก็ไม่มีคุณป้าสักคนยืนอยู่แถวนั้น พวกเรามองหน้ากันแล้วก็เลยตัดสินใจไม่พูดเรื่องนี้ กลับโรงแรมไปนอนต่อเลย…
อีกที่นึงที่เรารู้สึกหลอน ๆ เหมือนกันก็คือที่บึงมาลา ที่นี่ถูกสร้างในสมัยเดียวกันกับนครวัดแต่ด้วยความที่มันอยู่แยกออกมาจากปราสาทที่อื่น ๆ และเป็นวัดเดียวที่ไม่ถูกบูรณะคือยังเป็นซากปรักหักพังอยู่ คนเลยไปเที่ยวไม่ค่อยเยอะ แต่เราไปค่ะ!
คราวนี้พอไปถึงมันจะมีทางเดินลงไปซึ่งก็เป็นกองอิฐที่พังทลายและกองอยู่อย่างนั้น บางช่วงของทางเดินก็จะมืดสนิทมองไม่เห็นอะไร ซึ่งตอนที่เราไปถึงก็ประมาณ 4 โมงปลาย ๆ ละ เราเดินลงไปสำรวจและเดินกลับขึ้นมาซึ่งทางกลับ ตัวเราเองได้กลิ่นธูปที่แรงมากและโชยมาถึงแม้ตรงนั้นจะไม่มีลมพัดมาเลยก็ตาม มีเสียงคนเดินจากไกล ๆ ดังมาเป็นระยะ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีคนอื่นอยู่เลยจริง ๆ และพอเดินกลับมาถึงจุดเริ่มต้น ก็ดันมีเครื่องเซ่นไหว้วางเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกมันไม่มี ทุกอย่างนี้ก็เกิดขึ้นแบบงง ๆ ทุกคนก็รู้สึกแปลก ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรกัน
ที่น่าขนลุกที่สุดก็คือเหตุการณ์ตอนก่อนกลับในวันที่ 4 พวกเราบินกลับไฟลท์กลางคืน ไฟลท์สุดท้ายของวันประมาณ 3-4 ทุ่ม และด้วยความที่ยังไม่ได้เห็นนครวัดแบบสวย ๆ เต็ม ๆ เลยแพลนกันว่าจะให้พี่คนขับรถพาไปวนดูสักรอบก่อนไปสนามบิน ประมาณว่าไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก็ขอดูแสงพระจันทร์อาบปราสาทสักหน่อยละกัน
ที่นั่งในรถจะมีเบาะนึงที่นั่งกลับหลัง มองไปทางกระจกท้ายของรถตู้และเป็นที่นั่งข้างกระเป๋าเดินทางทั้งหมด ซึ่งก็ตกเป็นตำแหน่งของเราที่โดนเด้งมาอยู่ที่นี่
พอรถเลี้ยวเข้าไปตรงลานด้านหน้า เราจะเห็นนครวัดตั้งตระหง่านอยู่และไฟรถก็ส่องนครวัด มีแสงพระจันทร์นวล ๆ ส่องลงมา เห็นเป็นเงาสะท้อนตรงสระบัวใหญ่ ๆ ด้านหน้าสองฝั่ง คือเอาเป็นว่าภาพที่เห็นมันสวยมาก ๆ แต่ตัวเราก็ยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่
จอดชมความงามของวิวนี้อยู่ประมาณ 5 นาทีก็ถึงเวลาที่ต้องไปสนามบิน คนขับก็ถามว่าออกรถได้เลยไหม เราก็แบบได้ ๆ นั่งกลับมาในที่ของเราดี ๆ ซึ่งความที่เรานั่งหันหลังให้กับทุกคน ก็จะเห็นวิวแบบย้อนหลัง ได้เห็นนครวัดอยู่คนเดียว
จังหวะที่รถกำลังวกตัวกลับไปทางถนนใหญ่และแสงไฟจากรถสาดไปตามทางเท่านั้นแหละ เราที่กำลังชมวิวสวย ๆ อยู่ก็เห็นเงาของคนยืนอยู่หน้านครวัดเต็มไปหมด
ยืนเรียงเป็นแถวและตลอดทั้งแถบ เป็นเงาดำ ๆ และลูกตาอีกหลาย ๆ คู่ที่กำลังจับจ้องมาที่รถ
เรามองเพื่อน เพื่อนมองเรา ทุกคนนั่งเงียบไม่พูดอะไรกัน..
ความแปลกสุดท้ายคือตอนที่เราไปถึงสนามบิน เดินไปเช็กอิน เดินผ่านตม. ก็มีแต่คนมองแปลก ๆ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้มีใครแต่งตัวแปลกประหลาดเลยสักนิด ทุกคนอยู่ในสภาพที่เหนื่อย ใส่ชุดที่ดูเหมือนอีกนิดก็ชุดนอนแล้ว
ตอนที่เราเดินไปนั่งจองโต๊ะที่ฟู้ดคอร์ต นักท่องเที่ยวคู่ข้าง ๆ ที่เพิ่งเอาอาหารมาวางบนโต๊ะกำลังจะเริ่มกินก็เก็บถาดอาหารแล้วลุกไปเลย พอกลับมาถึงกรุงเทพ เราก็มานั่งประมวลผลว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ได้ความว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่งตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนอื่น ๆ เหมือนกันหมด อย่างตอนที่เราเห็นเงาคนในรถตู้วันแรก เพื่อนอีกคนก็เห็นเหมือนกัน หรือตอนสุดท้ายที่นครวัด มีเพื่อนอีก 2 คนที่มีเซนส์ค่อนข้างแรง พวกนางก็บอกว่าเห็นเงาคนเป็นแถบ คอนเฟิร์มกับสิ่งที่เราเห็น พีกที่สุดคือเพื่อนคนนึงในกลุ่ม พอนางกลับมาไทยก็ไปออกกองละครทำงาน ก็มีพี่ในกองมาทักว่าไปเขมรครั้งนี้พาใครกลับมาด้วยหรือเปล่า เราเลยสันนิษฐานว่าสิ่งที่ทำให้คนในสนามบินแตกตื่นอาจจะเป็นเพราะเขาก็เห็นอะไรบางอย่างกันหรือเปล่า
เราก็เลยลงมติว่าไปเที่ยวเขมรครั้งนี้เนี่ย โดนผีหลอกอย่างเป็นทางการแล้วล่ะ จูงมือกันไปทำบุญแล้วก็อธิษฐานในใจรัว ๆ เลยค่ะว่าใครที่ตามกลับมาเที่ยวไทยด้วย กลับบ้านได้แล้วน้าา"
ขอบคุณคุณท. เจ้าของเรื่อง และติดตามเรื่องเล่าชวนชนหัวลุกได้ทุกวันพุธในคอลัมน์ 'พุธนี้ผีดุ'
ความเห็น 20
Sukhuma Phattarapana
หลอนขนลุกเลยค่ะบรื๋อ...
19 ต.ค. 2563 เวลา 12.05 น.
Nickiiiii
ไม่ผ่านไปแต่งมาใหม่
10 ต.ค. 2563 เวลา 07.39 น.
บรรจง
นี่คือผลแห่งการที่แนวคิดทางการเมืองไม่ตรงกันวิธีการป่าล้อมเมือง สุดท้ายเกิดทุ่งสังหารเป็น ล้านๆคน
10 ต.ค. 2563 เวลา 04.13 น.
Peace
ปราบด้วย เขมรฮุนเซน ลาออกหรือตาย
09 ต.ค. 2563 เวลา 22.14 น.
ถ้าเป็นจริงนะหน้ากลัวมากๆๆ
09 ต.ค. 2563 เวลา 12.31 น.
ดูทั้งหมด