โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

“คนรวย” เสีย “ภาษี” แบบไม่มีวันจน ! “คนชนชั้นกลาง” เสีย “ภาษี” แบบไม่มีวันรวย !

TheHippoThai.com

เผยแพร่ 20 พ.ย. 2561 เวลา 01.00 น.

“คนรวยเสียภาษีแบบไม่มีวันจน! “คนชนชั้นกลางเสียภาษีแบบไม่มีวันรวย !

“…คนจนจะหมดไปจากประเทศไทย…”

นี่คือปณิธานที่เราได้ยินจากผู้บริหารประเทศ พร้อมมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจมากมาย ทั้ง บัตรคนจน และโดยเฉพาะ  การปฏิรูประบบภาษี”  ซึ่งระบบภาษีแบบก้าวหน้า(Progressive Taxation) หรือระบบภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งไทยเรานำมาใช้นั้นได้กำหนดอัตราภาษีที่จะต้องเสียเพิ่มขึ้นเมื่อฐานภาษีเพิ่มขึ้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือไม่ว่าใครก็ตามเมื่อบวกลบกลบค่าลดหย่อนต่างๆ (ประกัน, กองทุน, ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าลดหย่อนบุตร คู่สมรส บิดามารดา, เงินบริจาค และเงินที่ได้รับการยกเว้นเสียภาษีกระตุ้นเศรฐกิจ หรือการ Shop ช่วยชาตินั่นเอง) แล้วเกิดเป็นรายได้สุทธิจริงๆ จึงจะนำมาคิดคำนวณเสียภาษี โดยมีความตั้งใจให้เป็นลักษณะภาษี  “ที่ช่วยลดความไม่เท่าเทียมกันในการกระจายรายได้

สำหรับแผนปฏิรูปภาษีที่กำหนดจะใช้ในปีหน้า (2562) นั้นยิ่งควรทำให้ประชาชนผู้เสียภาษี ได้หน้าชื่นตาบานกันใหญ่ เพราะมีของลดแลกแจกแถมกันเยอะมาก เพดานการเสียภาษีก็ขยับสูงขึ้น อัตราภาษีนิติบุคคลก็น้อยลง อันเป็นการรับลูกเพื่อสร้างการกระจายรายได้ แต่ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือ แม้คนจนตามคำนิยามของรัฐบาลจะมีจำนวนน้อยลงแต่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจกลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนจนมีอัตราลดลงต่ำแต่คนรวยมีอัตราเพิ่มแบบเท่าทวีและชนชั้นกลางก็แบกรับภาษีส่วนใหญ่ของประเทศอยู่เช่นเดิม!!

ปฏิรูปภาษีปี62 มีอะไรที่จะเกิดขึ้นบ้าง

สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามแนวทางปฏิรูปภาษีปี 62 ของรัฐบาลสะท้อนอะไรบ้าง อย่างแรกเราคงจะได้ยินคำว่าเดี๋ยวพี่เอาชื่อบริษัทรับเงินน้อยลง เพราะอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นปรับน้อยลงมาจนสูงสุดของขั้นบันไดที่จะต้องเสีย 25 % เท่าเทียมกันกับภาษีที่นิติบุคคลต้องจ่ายในรอบนี้ จากเดิมที่คนที่มีรายได้สุทธิเกิน 2 ล้านบาทต่อปี จะเสียภาษี 30 % ของส่วนที่เกิน และเกิน 5 ล้านบาทต่อปี จะเสียภาษี 35 % ของส่วนที่เกิน และนั่นหมายความว่าจะมีสตางค์หมุนกลับเข้ากระเป๋าคนรวยกลับมายิ่งขึ้นไปอีก 

อย่างที่สองภาษีเงินได้นิติบุคคลก็จะได้จ่ายน้อยลงไปกว่า3 % พูดง่ายๆ ก็คือ ธรรมดาภาษีเงินได้นิติบุคคล จะเสียจากกำไรของการประกอบการ รวมทั้งสิ้นในการจัดการต่างๆ 28 % แต่ตอนนี้จะรวบตึงให้เหลือเพียง 25 % นั่นหมายความว่าจะมีกำไรกลับเข้ากระเป๋าเหนาะๆ 3 % ทีนี้คนรวยก็เตรียมยิ้มได้เลย เพราะเงินได้ส่วนบุคคลก็รับเองได้ไม่เสียหายอะไร ยังได้กำไรจากนิติบุคคลคืนมาอีก 

เมื่อรวมกับมาตรการลดหย่อนสารพัด สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือจะมีคนที่รายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษีน้อยลงทุกปีและการลดหย่อนภาษีนี้ก็ไม่ได้ช่วยคนจนแต่อย่างใด เพราะผู้มีรายได้สุทธิไม่ถึง 150,000 บาท อย่างคนจนทั่วไปนั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องเสียภาษีอยู่แล้ว หมายความว่าชีวิตพวกเขาก็จะเป็นอยู่อย่างเดิม ในขณะที่ชนชั้นกลางพนักงานออฟฟิศทั่วไปที่มีรายได้สุทธิไม่ถึง2 ล้านบาทสักทีก็ต้องใช้ชีวิตอยู่แบบเดิมและในที่สุดคนรวยก็ได้สตางค์เพิ่มซึ่งก็สามารถย้อนกลับไปเป็นเงินซื้อผลิตภัณฑ์ที่นำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้เพิ่มอีก มีเงินส่งเบี้ยประกันชีวิต ซื้อกองทุน เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่มีความมั่นคง แถมยังได้เอามาปล่อยเช่าให้คนชั้นกลางอีกทอด มีเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน โดยไม่ต้องเสียภาษี

คนจนไม่ต้องเสียภาษีแถมยังมีบัตรคนจนแล้วไงจะเอาอะไรอีก?

และแม้จะบอกว่ารัฐมีทางออกให้ผู้มีรายได้น้อย ด้วยการให้เข้าชื่อเป็นบัญชีผู้ถือบัตรคนจน หรือในชื่อจริงที่ว่าโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะได้รับสิทธิ์ต่างๆ จากการเข้ามาลงทะเบียน แต่ปัญหานั้นก็ดูจะเกิดจากการคัดคนเข้ามาในระบบช่วยเหลือนี้ เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การคัดคนแบบยื่นรายได้ในปีที่ผ่านๆมานั้น ได้รวมเอาทั้งคนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ  และคนที่แค่ว่างงานเข้ามาในระบบ โดยการรับสมัครใหม่ในแต่ละปีไม่ได้มีการตรวจสอบสถานะผู้ที่ได้บัตรในปีที่แล้วแต่อย่างใด ซึ่งคนว่างงานเหล่านั้น อาจจะได้งานไปแล้ว แต่ก็ยังได้รับสิทธิ์อุดหนุนต่างๆ แล้วแบบนี้ใครเขาจะคืนบัตร ได้นิดได้หน่อยก็ถือว่าได้ ไม่นับคนที่ถือบัตรคนจน ปากบอก “อ้ายเป็นคนจน” แต่มีคนเลี้ยงดู มีของหรูใส่ ประเภทนี้อีก 

ซ้ำร้ายคนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆแต่ไม่ถึงเกณฑ์ คือ จนจริงแต่อายุไม่ถึง 17 ปี ก็ถือบัตรคนจนนี้ไม่ได้เลย หรือว่าเป็นคนที่เกิดมรสุมชีวิต ที่นาน้ำท่วม ประสบภัยธรรมชาติกะทันหัน ซึ่งตอนแรกไม่ได้ลงทะเบียนไว้ ก็ไม่ได้รับสิทธิ์เลยใช่ไหม?

เก็บภาษีคนรวยไปด้วยจะช่วยได้ไหม!

เช่นนั้นก็มีอีกวิธี ที่ต่างชาติเขานำเอามาใช้ นั่นก็คือ  ภาษีคนรวย” (Wealth Tax) ซึ่งเป็นการเก็บภาษีคนรวยจากทรัพย์สินไม่ใช่เงินได้สุทธิ ที่พ่วงมาด้วยการลดหย่อนต่างๆ คือว่ามาเลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นทรัพย์สินในชีวิตมีอะไรบ้าง แล้วเก็บภาษีตามเกณฑ์อีกทาง หลังจากจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปแล้ว

ซึ่งทุกวันนี้ก็มีหลายประเทศที่ใช้มาตรการนี้ เช่น ฝรั่งเศสที่จัดเก็บภาษี ผู้มีสินทรัพย์เกิน 50 ล้านบาทขึ้นไป โดยคำนวณจากทรัพย์สินที่เกินจาก 31 ล้านขึ้นไป (คือถ้ามีทรัพย์สิน 50 ล้านบาท 31 ล้านบาทจะไม่ถูกนำมาคิดภาษีคนรวย แต่ 29 ล้านบาทที่เกิน ต้องเสียภาษี) หรือ สเปนที่จัดเก็บภาษีผู้ที่มีสินทรัพย์เกิน 39 ล้านบาทขึ้นไป นอร์เวย์ที่จัดเก็บผู้ที่มีทรัพย์สินเกิน 6 ล้านบาท เป็นต้น ซึ่งการจัดเก็บภาษีคนรวยนั้น ช่วยได้จริงๆ 

แต่ที่ช่วยไม่ได้ก็คือเมื่อเป็นแบบนี้คนรวยทั้งหลายก็ไม่อยากถือสัญชาติที่มีการจัดเก็บภาษีคนรวย เพราะเขาก็จะมองว่าเขาต้องเสียภาษีซ้ำซ้อน ความมั่งคั่งของพวกเขาต้องหดหายโดยไม่จำเป็น เลยเปลี่ยนสัญชาติมันซะเลย นั่นทำให้ เงินทุนในประเทศหดหายไปหมด คืออาจจะจัดเก็บภาษีจากพวกเขาได้ในหลักพันล้าน แต่เงินที่หมุนเวียนจากพวกคนรวยในระดับหมื่นล้านจากการใช้จ่ายของพวกเขา หายออกนอกประเทศ ก็เลยทำให้มาตรการเก็บภาษีคนรวยพลอยต้องถูกยกเลิกไป

หรือจะเหลือทางเลือกเพียงทางเดียว นั่นก็คือ การตั้งมาตรฐานการเก็บภาษีคนรวยในเกณฑ์ระดับโลก เป็นค่ากลางที่ทุกชาติใช้ แต่แค่คิดก็รู้ว่าจะเกิดขึ้นได้ยากขนาดไหน ไหนจะต้องมีการออกมาโวยวายเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเอย ความผันผวนทางเศรษฐกิจเอย… ก็คงต้องอยู่กันไปแบบนี้เหมือนที่เคยเป็นมาทุกทีใช่ไหม?

*****************

ข้อมูลเพิ่มเติม

http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/644417

https://brandthinkbiz.com/p/หรือ-ภาษีคนรวยโลก-จะเป็นทางออกของความเหลื่อมล้ำ-lwbux4

https://today.line.me/th/pc/article/สรุปแผนปฏิรูปภาษี+ปี+2562-19eJw2

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0