นานปีมาแล้ว สำนักงานของผมตั้งอยู่ริมถนนพัฒน์พงษ์ เป็นเรื่องปกติที่สายงานของเราบังคับให้เราเลิกงานดึก
คืนหนึ่งหลังเลิกงาน พนักงานสาวคนหนึ่งเดินกลับบ้าน ชาวต่างชาติคนหนึ่งตรงมาถามเธอว่า จะไปนอนด้วยคิดเท่าไร
สถานการณ์อย่างนี้ย่อมน่าจะทำให้ขุ่นเคืองใจ แต่มองอีกมุมหนึ่ง ย่านพัฒน์พงษ์ในสายตาของต่างชาติก็คือแหล่งโลกีย์ ย่อมมีคนเข้าใจผิดได้
เมื่อเธอเล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง เราบอกเธอว่า “Take it as a compliment.”
คิดว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน
Take it as a compliment เป็นสำนวน หมายถึงการถือคำกล่าวของอีกฝ่ายเป็นคำชม
ในเมื่อมีคนมองว่าเราสวยและมีเสน่ห์ทางเพศ แทนที่จะโกรธ ก็สามารถเลือกมองในมุมว่าเรามีคุณค่า
บ่อยครั้งคำที่อีกฝ่ายพูดไม่ใช่คำชม แต่ก้ำกึ่งระหว่างดีกับไม่ดี ยกตัวอย่าง เช่น
“คุณนี่เถียงเหมือนผู้หญิง” ก็อาจมองว่า ก็ดี ผู้หญิงเถียงเป็นธรรมชาติที่จริงใจดี แล้วเอ่ยว่า “I will take it as a compliment.”
“คุณนี่ฉลาดแบบแปลก ๆ” ก็อาจมองว่าเราไม่เหมือนคนอื่น
“คุณนี่นิสัยประหลาดดี” ก็อาจมองว่าเรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
“เส้นผมคุณขาวแล้ว” ก็อาจมองว่า ผมขาวดูสง่ากว่า
เรื่องเดียวกัน มองต่างกัน จิตต่างกัน
……………………………………………………………………………………………………………
Take it as a compliment ยังมีนัยว่า เราไม่สนใจคำของคนอื่น หรือคำพูดของคนอื่นทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราเลือกมองบวก
ในโลกโชเชียลทุกวันนี้เต็มไปด้วยคำวิพากษ์แรง ๆ ผมได้รับคำวิพากษ์เหล่านี้เป็นประจำ ผมก็เลือก ‘Take it as a compliment.’ โดยมองว่า สิ่งที่เราเขียนต้องดีพอจนคนอื่นต้องเสียเวลาเขียนถึง แม้จะเป็นคำลบก็ตาม เพราะหากเลือกโหมดโกรธ ก็คงเป็นโรคหัวใจไปนานแล้ว
แม้แต่เป็นคำด่าแรง ๆ ก็อาจมองว่ามันเป็นเครื่องเตือนสติเราไม่ให้เหลิง จึงจัดว่าเป็น ‘compliment’ อย่างหนึ่ง
เมื่อมีคนปาอิฐใส่เรา เราจะหยิบมันขึ้นมาถือทั้งวัน หรือจะวางมันลง
เราเลือกได้..
เคยมีคนมาระบายทุกข์ให้เราฟังไหม? เราก็ต้องทนฟัง คิดในเแง่บวกคือ เรามีค่ากับเขา เราเป็นที่พึ่งทางใจของเขา จนเขาเลือกมาบ่นระบายทุกข์กับเรา
หลายเรื่องในชีวิตอยู่ในพื้นที่สีเทา มองได้หลายมุม มองให้แย่ก็ได้ มองให้ดีก็ได้
ดังนั้นTake it as a compliment ก็คือการมองโลกบวกนั่นเอง นี่ไม่ใช่การมองแบบ ‘โลกสวย’ ไร้เดียงสา แต่คือการเลือกมองโลกบวกเพื่อรักษาสภาวะจิตของเราให้นิ่งสงบ
นี่มิใช่การมองโลกผิดเพี้ยน แต่เป็นการเลือกใช้ชีวิตในโลกบวก
ทุกอย่างในโลกมองได้หลายด้าน ถ้ามัวไปจดจ่อสนใจแต่ด้านลบ เราก็ไม่เหลือเวลาไปทำอะไรแล้ว เพราะมัวแต่โกรธหรือเศร้าหรือกลุ้มใจ เราจะทุ่มพลังงานทั้งหมดไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่างนี้ก็เป็นโรคหัวใจแน่นอน
……………………………………………………………………………………………………………
วินทร์ เลียววาริณ
winbookclub.com