ข้อมูลเบื้องต้น
กู้จินเยว่วาดฝันถึงชีวิตที่สวยงาม แต่อยู่ๆ ก็เหมือนตกจากสวรรค์ที่วาดไว้ นางโดนใส่ร้ายว่าเป็นฆาตกรที่เกือบสังหารพี่สาวตัวเอง โดนคนรักหักหลัง สุดท้ายชีวิตอับจนหนทางมีวิธีเดียวคือดำดิ่งลงไปในความมืดมิด
อยู่ดีๆ ก็โดนที่เย็บกระดาษหล่นใส่หัวแถมดันมาโผล่ในร่างใครก็ไม่รู้ แล้วทำไมชีวิตเธอมันรันทดขนาดนี้เนี่ยกู้จินเยว่ โดนพี่สาวตัวเองแทงข้างหลังแย่งคนรักสุดท้ายก็ต้องโดนถอนหมั้น โดนกล่าวหาว่าเป็นนางมารร้ายรังแกพี่สาวตัวเอง แล้วยังมาโดนพี่สาวกับป้าสะใภ้รวมหัวกันไล่ออกจากบ้านอีก สู้เขาสิวะอีเดือน ไหนๆก็มาเกิดใหม่พร้อมมิติวิเศษแล้วก็ต้องใช้ให้คุ้ม ฉันจะเป็นเกษตรกรผู้ร่ำรวยโดนไม่ต้องง้อผู้ชายหน้าไหน
-กู้จินเยว่-
“หากภายหน้าพวกท่านได้ดีมีเงินทองข้าก็จะไม่มายุ่งกับท่าน แต่พวกท่านก็อย่ามารบกวนพวกข้าเล่า"
“จะปลูกผักดินก็เสีย แล้วจะทำอย่างไรเนี่ยอนาคตเศรษฐีนีทำไมมันยากอย่างนี้วะ”
" พวกเราไม่ใช่หลานของท่านหรือ มีแค่จางลี่ที่เป็นหลานของพวกท่านใช่หรือไม่"
“แล้วนี่อะไรอีกเนี่ยถอนหมั้นไปแล้วทำไมยังโผล่หัวมาอยู่ได้ จะรักกันก็ไปรักกันไกลๆ ผู้ชายเฮงซวยอยากได้เอาไปเลย”
***นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น ไม่ได้อิงจากประวัติศาสตร์แต่อย่างใด***
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เราเป็นนักเขียนมือใหม่อาจจะมีหลายๆจุดที่ผิดพลาดไปขอผู้อ่านอย่าถือสา
ฝากกดหัวใจและกดเข้าชั้นเพื่อเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ
บทที่ 1 กู้จินเยว่
*คำเตือน:Suicide*
ปลายฤดูใบไม้ผลิท่ามกลางแสงตะวันอันริบหรี่ ลมพัดใบไม้รอบบ้านสกุลกู้ปลิวไสว มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนอนคุดคู้อยู่บนเตียงด้วยความทรมาน กู้จินเยว่นอนกุมท้องมาเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยามแล้วลมหายใจของนางเริ่มเบาบางลงเรื่อยๆ ภายในท้องไส้รู้สึกปั่นป่วน กู้จินเยว่รู้สึกได้ถึงอวัยวะภายในที่ค่อยๆ แหลกสลาย ข้างกายนางมีภาชนะบรรจุของเหลวที่นางดื่มเข้าไปหนึ่งชั่วยามก่อน
หากย้อนเวลากลับไปได้นางจะไม่เลือกทำแบบนี้ กู้จินเยว่เจ้ามันช่างโง่เขลายิ่งนัก นางเคยวาดฝันชีวิตที่สวยหรูและครอบครัวที่อบอุ่น ด้วยฐานะที่ยากจนและโดนรังแกมาตลอดชีวิตทำให้กู้จินเยว่เลือกที่จะหมั้นหมายกับบุรุษที่ปักใจรักมาหลายปีเพื่อถีบตัวเองให้สูงขึ้น แต่เมื่อต้องผิดหวังกับความรักทั้งต้องเผชิญหน้ากับความอับอาย และการถูกใส่ร้ายป้ายสี นางกลายเป็นตัวร้ายในสายตาของผู้อื่นจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อตัดสินใจที่จะปลิดชีพตัวเองแล้วก็กลับรู้สึกเสียดายชีวิตขึ้นมา นางลืมไปได้อย่างไรว่าชีวิตนี้อย่างน้อยก็ยังมีบุคคลอีกสามคนที่รักนางโดยไม่มีเงื่อนไข
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยลูกคนนี้มันไม่รักดีสร้างปัญหาให้พวกท่านมากมาย ต่อจากนี้ข้าขอให้พวกท่านมีชีวิตที่ดีหลุดพ้นจากนรกแห่งนี้และอย่าได้เจ็บปวดอีกเลยนะเจ้าคะ” ดวงตาทั้งสองข้างของหญิงสาวเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา เปลือกตาของนางค่อยๆ ปิดลง
ปัง!ปัง!ปัง!
“จินเยว่! เปิดประตูให้แม่หน่อยเถิดลูก พ่อกับแม่เจ้ากลับมาแล้วออกมากินข้าวกินปลาเถอะอย่าทรมานตัวเองแบบนี้เลยหนา” หนิงเทียนเคาะประตูอยู่สักพักก็ไม่มีเสียงตอบรับจากภายในห้องในอกของคนเป็นแม่รู้สึกเจ็บแปลบๆ นางและสามีพึ่งกลับมาจากการทำงานในสวนของครอบครัวก็รีบตรงปรี่ไปที่เรือนของพวกเขา ลูกสาวของพวกเขาไม่ยอมออกจากห้องมาหลายวันแล้วตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น
ปัง!ปัง! หนิงเทียนตัดสินใจเคาะประตูเรียกอีกครั้งแต่ก็ยังไม่ได้การตอบรับจากคนในห้อง สุดท้ายหันหน้ากลับไปมองสามีที่ยืนอยู่ข้างหลังและพยักหน้าให้กัน หนิงเทียนเดินหลบไปด้านข้างเพื่อให้สามีของนางกระทำการได้สะดวก
กู้ซีห่าวเมื่อเห็นภรรยาหลบทางให้เขาก็ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาและถีบออกไปสุดแรง เมื่อประตูเปิดออกสายตาของทั้งหนิงเทียนและซีห่าวก็สาดส่องไปทั่วห้องจนเห็นลูกสาวของพวกเขาที่นอนงอตัวอยู่บนเตียง หัวใจของซีห่าวสั่นระรัวเมื่อหางตาหันไปเห็นขวดบางอย่างที่ตั้งอยู่ข้างกายของจินเยว่ ภายในใจกู่ร้องภาวนาไม่ให้เป็นดั่งที่ตนคิด เมื่อตั้งสติได้ทั้งคู่รีบวิ่งเข้าไปในห้อง แขนทั้งสองข้างของซีห่าวค่อยๆ ประคองศีรษะลูกสาวขึ้นมาบนตัก เขายกมือที่สั่นเทาของตัวเองขึ้นมาจรดที่ปลายจมูกของจินเยว่ เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจบางเบาและเชื่องช้า เขาจึงหันหน้าไปหาภรรยาและส่ายหน้าเป็นการบอกเป็นนัยๆ
“เรามาสายเกินไปหนิงเทียน ลมหายใจของนางแผ่วเบามากแล้วเราทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ” ก้มหน้าบอกภรรยาสองมือดึงลูกสาวมากอดแนบอกแน่น
“กรี๊ดดด ไม่จริงใช่หรือไม่ท่านพี่” หนิงเทียนกรีดร้องออกมาเสียงแหลม
“ลูกของเราจะต้องไม่เป็นอะไร ข้าจะไปขอร้องท่านพ่อให้พาท่านหมอมารักษาเยว่เอ๋อร์” นางกล่าวพร้อมเดินเข้าไปนั่งบนเตียงกอดลูกสาวและสามีด้วยร่างกายที่สั่นเทา
ทุกคนภายในบ้านได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากข้างหลังของบ้านก็รู้ทันทีว่ามาจากห้องของใคร พวกเขารีบสาวเท้าไปตามเสียงด้วยต่างคนก็ต่างอารมณ์
กู้ซีฮันเป็นผู้เดินมาถึงคนแรกตามด้วยภรรยาของเขา ตามมาด้วยกู้หวังหย่งพร้อมภรรยาและลูกๆ ของเขา ภายในดวงตาของกู้ซีอันว่างเปล่าไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร
เมื่อหนิงเทียนเห็นว่าบุคคลที่เข้ามาใหม่คือพ่อสามีนางก็รีบรุดเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าเขาน้ำตาของนางไหลเป็นสายเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด "ท่านพ่อ ช่วยเยว่เอ๋อร์ของเราด้วยเถิดเจ้าค่ะ ตามหมอมารักษานางเถอะนะเจ้าคะ ท่านต้องการอะไรข้าจะหามาให้ท่านทุกอย่าง ได้โปรดช่วยเยว่เอ๋อร์ด้วย" นางขอร้องด้วยเสียงแหบแห้ง
"ไม่ได้นะ ท่านพี่ท่านก็รู้ว่าปีนี้พวกเราแทบไม่เหลือเงินแล้ว ซ้ำผลผลิตก็เก็บเกี่ยวได้น้อยที่เหลืออยู่จะเก็บได้เพิ่มเท่าไหร่กันเชียว นี่ก็เข้าใกล้เหมันตฤดูแล้ว ถ้าต้องเอาเงินที่มีไปรักษานางแล้วเมื่อเข้าเหมันตฤดูคนที่เหลือเล่าจะทำอย่างไร" กู้ฮุ่ยชิวรีบกล่าวขัดขึ้นมาทันที คนจะตายอยู่แล้วจะรักษาให้เสียเงินเสียทองไปทำไมกัน
กู้ซีฮันเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียด อย่างไรนี่ก็คือสายเลือดของเขา จะปล่อยให้ตายไปเฉยๆ ก็คงจะไม่ดี "ข้าว่าเรียกหมอมาดูนางเถอะ อย่างไรนี่ก็หลานของเราคนหนึ่ง ถ้าปล่อยไปไม่ดูดำดูดีชาวบ้านจะเอาไปนินทาว่าอย่างไร" เขากล่าวอย่างเรียบเฉย
"แต่ว่าท่านพี่…" หญิงชรายังไม่ทันจะพูดจบก็ต้องหุบปากลงเมื่อสามีตวัดสายตามามองนาง
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครขัดแล้วกู้ซีอันก็หันไปสั่งหลานชายคนโตที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม "จางหย่ง เจ้าไปตามท่านหมอบอกเขาว่าให้รีบมา"
หลังจากนั้นก็มีเสียงนุ่มแทรกขึ้นมา "ท่านแม่ นางจะเป็นอะไรหรือไม่ ข้ารู้สึกผิดยิ่งนัก ข้าน่าจะพูดกับนางให้นางเข้าใจว่าข้ากับท่านพี่เฟยหรงเราเป็นแค่สหายกันเท่านั้น เป็นนางที่เข้าใจผิดไปเอง ข้าเป็นพี่จะแย่งคนรักของน้องสาวได้อย่างไรเล่า" กู้จางลี่นางเป็นลูกสาวท่านลุงของจินเยว่ ทั้งสองมักมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยครั้ง ในสายตาคนนอกจะเห็นว่าจินเยว่คอยรังแกพี่สาวตัวเองตลอด แต่ใครเล่าจะรู้ความจริงเท่ากับคนในครอบครัว เป็นจางลี่ต่างหากที่คอยรังแกจินเยว่
“โถ่ลูกสาวของแม่ ช่างน่าสงสารจริงๆ เจ้าโดนนางรังแกแล้วใยต้องรู้สึกผิดด้วยเล่า” แม่ของจางลี่แกล้งบีบเสียงตอบลูกสาวพลางโผโอบกอดลูกสาว นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องทุกอย่างมันเป็นมาอย่างไร
หนิงเทียนที่เงียบมาสักพักแต่เมื่อได้ยินสองแม่ลูกพูดเช่นนั้นนางก็อดไม่ได้ที่จะเหยียดยิ้มหยันออกมา ทำไมนางจะไม่รู้เล่าว่าลูกสาวจะต้องเจออะไรบ้างเพียงแต่นางไม่สามารถช่วยอะไรลูกได้เลย ก่อนหน้าที่ลูกสาวมาบอกกับนางและสามีว่าคนรักของนางจะมาสู่ขอนางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ลูกสาวจะได้หลุดพ้นเสียที แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่าเหตุการณ์มันจะกลับกลายเป็นเช่นนี้
ผ่านไปสักพักท่านหมอเกาก็มาถึง เขาตรวจชีพจรนางแล้วได้แต่ส่ายหัว “ข้าไม่รับปากนะว่าจะสามารถรักษาชีวิตนางไว้ได้แต่ข้าก็จะพยายามช่วยนางให้ถึงที่สุด พวกเจ้านำยาในห่อนี้ไปต้มให้นางกิน เผื่อจะช่วยขับพิษออกมาได้บ้าง” พูดจบก็ขอตัวกลับ
“ทำตามที่ท่านหมอเกาบอกหนิงเทียน ข้าช่วยนางได้เท่านี้อย่าหาว่าพวกข้าไร้น้ำใจเลย ลูกสาวของพวกเจ้าเลือกที่จะทำเช่นนี้เอง เจ้าจะโทษผู้อื่นไม่ได้” เมื่อกู้ซีฮันกล่าวกับลูกสะใภ้จบก็เดินออกจากห้องไป คนอื่นๆ ที่เหลือก็เดินตามไปด้วย หนิงเทียนหันไปมองตามคนที่เดินออกไปก็พบว่าสองแม่ลูกนั้นหันมายิ้มเยาะให้นาง
หนิงเทียนรีบไปต้มยามากรอกใส่ปากของจินเยว่ทันที สามีของนางประคองลูกสาวให้นอนในท่าทางที่สบายตัว ทั้งคู่นั่งข้างเตียงคนละฝั่งพร้อมฝ่ามือที่กุมมือของบุตรสาวไว้เบาๆ
บทที่ 2 คุณตำรวจช่วยหนูด้วย
ศศิธรหรือเดือนหญิงสาวอายุ24ปี เธอเป็นพนักงานออฟฟิศในบริษัทแห่งหนึ่ง เธอทำงานที่นี่มาได้หลายปีแล้วส่งผลให้เงินเดือนของศศิธรสูงค่อนข้างที่จะสูง แต่ความฝันสูงสุดของเธอคือการได้กลับไปอยู่บ้านนอกและใช้ชีวิตกับแม่ที่ใกล้ชรา ทำสวนปลูกผักใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยสบายๆ ไม่ใช่ชีวิตที่ทุกอย่างคือการแข่งขันและต้องเร่งรีบไปเสียหมด
เธอกำลังอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว เนื่องจากโครงการที่เธอได้รับมอบหมายล่าสุดถูกส่งต่อให้กับฝ้ายคู่อริของเธอ ทั้งศศิธรและฝ้ายเป็นคนสวยทั้งคู่ เดือนเป็นคนสวยที่มองแล้วสบายตาเธอชอบแต่งตัวเรียบง่าย ส่วนฝ้ายเธอเป็นคนสวยที่หน้าตาเย้ายวนชอบแต่งตัวเซ็กซี่ฝ้ายมักจะมีหนุ่มๆ ในออฟฟิศมาตามจีบเสมอ
ในตอนแรกๆ ที่เข้ามาพร้อมกันทั้งคู่เคยสนิทกันมาก สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่มีปัญหากันเพราะฝ้ายเคยแย่งงานของเดือนไปโดยการขโมยไฟล์งานในคอมพิวเตอร์ของเดือนไปมันเป็นโครงการที่เดือนใช้เวลาหลายเดือนในการคิดค้น เดือนไม่มีหลักฐานอะไรในการเอาผิดอีกฝ่าย หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มมีปัญหากันเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ถนนxxx เวลา 08.30 น.
ศศิธรกำลังนั่งอยู่บนรถแท็กซี่ วันนี้รถติดหนักกว่าทุกวัน “คุณผู้ชมคะ เรากำลังอยู่หน้าโรงเรียนย่านxxxที่มีเหตุโครงสร้างอาคารถล่มลงมาในช่วงเย็นของเมื่อวานค่ะ จากรายงานพบว่ามีผู้เสียชีวิต13คนคือผู้รักษาความปลอดภัยของโรงเรียนที่กำลังเดินตรวจอาคารตอนเกิดเหตุ2ศพ เด็กนักเรียน9ศพและคุณครูอีก2ศพค่ะ” เธอได้ยินข่าวจากเครื่องเล่นเสียงบนแท็กซี่ ก็รู้ได้ถึงสาเหตุที่รถติดทันที
ในขณะนั้นเองเธอก็หันไปเห็นโรงเรียนที่เกิดเหตุถล่ม ได้แต่คิดในใจว่าน่าสงสารจริงๆ ยังเป็นเด็กกันอยู่แท้ๆ ต้องมาโชคร้ายแบบนี้ ชีวิตคนเรานี่มันไม่แน่ไม่นอนจริงๆ เราจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะตายเมื่อไหร่ พอคิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้คิดถึงแม่ที่รออยู่ที่บ้านที่ต่างจังหวัดขึ้นมา เมื่อไหร่จะได้กลับไปอยู่กับแม่นะคิดถึงจะแย่อยู่แล้ว แม่รอหนูก่อนนะอีกไม่นานเราจะได้ใช้ชีวิตที่วาดฝันไว้ด้วยกัน
เมื่อมาถึงบริษัทเธอก็นั่งพักจิบกาแฟบนที่โต๊ะทำงานเรียกสติก่อนเริ่มงาน ศศิธรเป็นคนขยันตั้งใจทำงานเธอมักจะมาถึงคนแรกและกลับคนสุดท้ายเสมอ
เมื่อเห็นมีคนมาใหม่เป็นพี่ที่สนิทกันก็ยิ้มทักทายและถามว่า “พี่จิ๊บ เอกสารรายงานประชุมเมื่อวานอยู่กับพี่หรือเปล่าคะหนูจะเอามาทำสรุปไว้”
“อ๋อ อยู่ในห้องเก็บเอกสารนู่นแหละพี่พิมพ์เสร็จก็เอาไปเก็บตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว”
“ขอบคุณค่ะพี่จิ๊บ งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ” ศศิธรยิ้มขอบคุณ และลุกขึ้นเพื่อเดินไปที่ห้องเก็บเอกสารทันที
เมื่อมาถึงเธอก็ค้นหาเริ่มหาแฟ้มรายงานประชุม “เอ๊ะ ปกติมันต้องอยู่ชั้นนี้สิใครย้ายไปไหนนะ” เธอพึมพำเบาๆ
ศศิธรค้นหาไปเรื่อยๆ จนมาเจอกับแฟ้มสีส้มเล่มหนึ่งเธอเปิดอ่านมัน ” เจอสักที ” เธอกำลังหันหลังกลับเพื่อจะออกไปทางประตูแต่ก็มีเสียงคุ้นหูแว่วข้ามาจากประตูอีกฝั่งที่เชื่อมกับห้องของหัวหน้าของเธอ
เสียงของหญิงสาวกล่าวว่า “พี่นัท พี่สัญญากับฝ้ายแล้วนะว่าจะซื้อกระเป๋าใบนี้ให้อ่ะทำไมพี่ผิดสัญญาล่ะ”
“ฝ้ายก็ต้องเข้าใจพี่ด้วยเดือนนี้พี่ต้องจ่ายค่าเทอมลูก ฝ้ายรอเดือนหน้านะ” เมื่อรู้ว่าในห้องนั้นเป็นใครเดือนตกใจสุดขีดรีบเอามือกุมริมฝีปากทันที
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าพี่ไม่ซื้อให้ฝ้ายจะไปบอกเมียพี่เรื่องของเรา ฝ้ายไปละ” น้ำเสียงของเธอประชดประชันชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ฝ้ายเดินหนีอีกฝ่ายมือของเธอเอื้อมไปจับลูกบิดประตู
เมื่อศศิธรรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะเปิดประตูเข้ามาเธอก็รีบหันหลังกลับเพื่อจะรีบวิ่งออกจากห้องเอกสารแต่ด้วยความที่ห้องนี้ค่อนข้างอัดแน่นไปด้วยเอกสารทำให้เธอสะดุดล้มลงไปใส่ชั้นเอกสารทำให้ชั้นโอนไปเอนมาเครื่องเย็บเอกสารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนชั้นล่วงลงมาโดนศีรษะของเธอ
ตึง!
ศศิธรหมดสติทันที “กรี๊ดดด เดือน!เป็นอะไรไหม เดี๋ยวฉันจะไปตามคนมาช่วยนะ” ฝ้ายที่เข้ามาเห็นก็รีบไปดูอาการเดือนทันทีถึงจะไม่ถูกกันแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเจ็บตัวเธอก็ไม่อาจเมินเฉยได้ แต่มันสายไปเสียแล้วร่างของศศิธรกลายเป็นร่างไร้ลมหายใจไปแล้ว
ณ บ้านสกุลกู้
ศศิธรรู้สึกตัวมาได้สักพักแล้วแต่เธอยังไม่สามารถปรับม่านตาให้รับแสงได้ หญิงสาวรู้สึกได้ว่ามือทั้งสองข้างของเธอโดนฝ่ามืออุ่นของบางคนจับไว้เบาๆ
“แม่หรอ แม่” เธอพยายามเปล่งเสียงออกมาแต่มันช่างแหบแห้งเหลือเกิน
“เยว่เอ๋อร์ แม่อยู่นี่ลูก พ่อกับแม่อยู่นี่แล้วนะ” ใครคือเยว่เอ๋อร์ ไม่เห็นรู้จักเลย เปลือกตาของเธอเริ่มเปิดออกได้ครึ่งหนึ่งแล้ว หางตาเห็นเงาของคนสองคน ในหัวเริ่มประมวลผล เอ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อนนะนี่มันภาษาจีนไม่ใช่เหรอ ศศิธรพูดษาจีนได้เพราะเธอต้องคุยกับลูกค้าที่เป็นคนจีนบ่อยๆ จึงต้องไปเรียนภาษาเอาไว้
เมื่อเธอลืมตาทั้งสองข้างขึ้นก็ต้องตกใจสุดขีด คนพวกนี้เป็นใครกัน แล้วนี่เราอยู่ที่ไหน ทำไมมันเหมือนในหนังย้อนยุคเลย โอเคยัยเดือนเมื่อกี้เธอโดนของแข็งหล่นใส่แล้วก็หมดสติไป แล้วพอลืมตาขึ้นมาเธอก็มาโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้ คิดสิคิด เอาล่ะมันต้องใช่แน่ๆ
ศศิธรในร่างเยว่จินพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งโดยมีพ่อแม่ของเยว่จิช่วยประคอง “พวกคุณจับตัวฉันมาทำไม ปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันจะโทรเรียกตำรวจเดี๋ยวนี้เลย” พูดแล้วก็พยายามควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า เอ๊ะ! แล้วกระเป๋าไปไหน เธอยังคงพยายามหาต่อไป
“เยว่เอ๋อร์ ลูกพูดเรื่องอะไรกัน แม่ไม่เข้าใจ” หนิงเทียนทำหน้าฉงน เมื่อครู่เยว่เอ๋อร์ของนางยังนอนซมอยู่เลยแล้วนี่ลุกขึ้นมานั่งได้อย่างไร
พอหาไปสักพักศศิธรเริ่มหอบหายใจแรงขึ้น เธอรู้สึกเหนื่อยจนหายใจไม่ทันท้ายที่สุดก็สลบไปอีกครั้ง
“ไม่นะเยว่เอ๋อร์ ท่านพี่ทำอย่างไรดีเจ้าคะ” หนิงเทียนถามเสียงสั่น
“ให้ลูกนอนพักก่อนเถอะ นางไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว” เขาเลือกที่จะตอบหนิงเทียนไปแบบนั้นเพราะไม่อยากให้ภรรยาทุกข์ไปมากกว่านี้
“เจ้าค่ะ” หนิงเทียนจำใจยอม แต่มือก็กุมมือของบุตรสาวไว้ไม่ปล่อย
บทที่ 3 ท่านแม่ขอรับ
หลังจากศศิธรหมดสติไปเธอก็มาโผล่ในมิติที่มีแต่ความมืดมิดและว่างเปล่ามีเพียงแสงเลือนรางเท่านั้น หญิงสาวค่อยๆ เดินไปตามทางที่มีแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามา จนถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นพื้นดินกว้างมีลำธารพาดผ่าน รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ เธอมองตามลำธารไปจนสุดสายตาก็พบว่ามันเป็นลำธารที่ไหลลงมาจากน้ำตก เสียงน้ำไหลของลำธารทำให้สมองของเธอปลอดโปร่ง
ศศิธรกำลังทอดสายตาเหม่อมองท้องฟ้าเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลายตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกนี้เธอมีอะไรให้ครุ่นคิดมากมาย
“ท่านแม่ขอรับ” เสียงเล็กแทรกขึ้นมาระหว่างที่
“ว๊าย! เธอเป็นใครเนี่ย แล้วใครแม่เธอ” ศศิธรร้องเสียงหลง ใบหน้าของเธอฉายแววตื่นตกใจ อยู่ดีๆ ก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งมายืนตรงหน้าเธอ หน้าตาก็น่ารักจิ้มลิ้มดีแต่ดันมาเรียกเธอว่าแม่นี่สิเดือนรับไม่ได้
หลังจากที่ยืนคิดมาสักพักจนเด็กน้อยแทรกขึ้นมาหญิงสาวพอจะเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ ได้บ้างแล้ว ศศิธรคาดว่าเธอน่าจะเสียชีวิตไปแล้วคงทะลุมิติมาเหมือนนิยายที่เคยชอบอ่านตอนเด็กๆ ในใจก็เป็นห่วงแม่ที่ใกล้ชราแต่เธอก็คิดว่าตัวเธอเองทำประกันชีวิตไว้เยอะแม่ของเธอน่าจะได้อยู่อย่างสุขสบาย
“ข้าเป็นภูตผู้ดูแลอยู่ที่แห่งนี้ขอรับ ท่านก็คือเจ้าของมิตินี้ ข้าขอเรียกท่านว่าท่านแม่ได้ไหมขอรับข้าอยู่คนเดียวมานานข้าเหงาเหลือเกิน” พูดเสร็จเด็กน้อยก็ทำหน้าจะร้องไห้
“เอ่อคือ อย่าร้องนะ ก็ได้ๆ ท่านแม่ก็ท่านแม่ แล้วหนูชื่ออะไรบอกพี่ เอ่อ บอกแม่มาสิ”
เด็กน้อยที่เคยทำหน้าจะร้องไห้เมื่อสักครู่กลับยิ้มแป้นขึ้นมาทันที “ข้าชื่อเจียวเจี้ยขอรับ”
ศศิธรพยักหน้ารับพร้อมกับถามเด็กน้อย “แล้วที่แห่งนี้มันคืออะไรกันแน่เด็กน้อย”
เด็กน้อยทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะบอกกับศศิธรว่า “ที่นี่คือมิติวิเศษขอรับ ท่านแม่สามารถปลูกพืชผักต่างๆ ได้ที่นี่ เวลาที่นี่จะเดินไวกว่าข้างนอก10เท่า ท่านเห็นลำธารที่ไหลมาจากน้ำตกฝั่งนั้นใช่ไหมขอรับ” เจียวเจี้ยพูดพร้อมชี้ไปที่น้ำตกไหลมา หญิงสาวพยักหน้าช้าๆ
“นั่นคือน้ำตกผิงอานขอรับ น้ำที่ไหลจากน้ำตกท่านสามารถนำมารดน้ำต้นไม้ที่ท่านปลูกได้ ใช้ดื่มและใช้อาบได้ ถ้าท่านดื่มเข้าไปมันจะเป็นยาบำรุงให้ร่างกายแข็งแรง หากใช้รดน้ำต้นไม้มันก็จะเจริญงอกงามอุดมสมบูรณ์ และยังช่วยเยียวยารักษาบาดแผลได้ด้วยนะขอรับ” เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วรอยยิ้มของเขาสว่างเจิดจ้า
เด็กน้อยทำหน้าครุ่นคิดแล้วพูดต่อ “ท่านมีช่องว่างระหว่างมิติด้วยนะขอรับเพียงท่านนึกถึงมันแล้วเอื้อมมือเข้ามาในมิติท่านก็จะสัมผัสมันได้โดยตรง ท่านสามารถนำของต่างๆ มาเก็บในนี้ได้ ช่องว่างนี้จะช่วยหยุดระยะเวลาของสิ่งของที่ท่านแม่นำเข้ามา หากท่านนำอาหารมาเก็บไว้มันก็จะยังคงสภาพเดิมไม่เน่าเสียด้วยนะขอรับ”
เด็กน้อยหยุดพักหายใจก่อนจะทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “เป็นอะไรไปล่ะ ทำไมถึงไม่เล่าต่อ” ศศิธรถามด้วยความสงสัย เมื่อกี้ยังพูดไม่หยุดอยู่เลยทำไมตอนนี้ถึงเงียบไปล่ะ
“ข้ามีอีกสิ่งที่ต้องบอกท่านถึงสาเหตุที่ท่านต้องเข้ามาอยู่ในร่างนี้ขอรับ”
“เจ้าเล่ามาเถิดแม่พร้อมฟัง”
“คืออย่างนี้ขอรับท่านแม่ ร่างที่ท่านแม่อยู่ในตอนนี้ก็คือร่างกายของกู้จินเยว่ นางน่าสงสารมากนะขอรับ นางโดนคนในครอบครัวรังแกสารพัด พอมีคนรักก็โดนแย่งไปอีก นางถูกพี่สาวของนางจัดฉากว่ากู้จินเยว่ผลักพี่สาวตัวเองตกน้ำ แล้วคู่หมั้นของนางมาเห็นพอดีเขาโมโหนางเป็นอย่างมากเขากล่าวหาว่านางจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต แล้วยังมีคนปล่อยข่าวลือเรื่องนี้ไปทั่วสร้างความอับอายให้แก่กู้จินเยว่เป็นอย่างมาก” เด็กน้อยเล่าเสียงเบาลงเรื่อยๆ
“แล้วอย่างไรต่อเล่า” สงสารก็สงสารหรอกแต่ความอยากรู้มันมีมากกว่านี่สิ
“วันต่อมานางก็ถูกชายผู้นั้นบอกว่าจะถอนหมั้นขอรับ ก่อนหน้านี้ก็มีคนปล่อยข่าวลือว่านางคอยรังแกข่มเหงหญิงคนนั้นบ่อยครั้ง และด้วยข่าวลือที่แพร่ไปทั่วทำให้นางไม่กล้าออกจากบ้านเลย สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหวดื่มยาพิษเข้าไป แล้วท่านที่ร่างกายหมดอายุขัยแต่วิญญาณของท่านยังไม่หมดอายุขัยก็มาแทนที่นางขอรับ”
ในใจของศศิธรมีแต่ความสับสน ชีวิตของคนๆ นึงจะต้องเจออะไรมากมายขณะนี้เลยหรอ โลกช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ โดนกระทำขนาดนี้แล้วยังต้องมาตายอีก ศศิธรตั้งมั่นได้แล้วว่าต่อไปนี้เธอจะไม่ยุ่งกับคนเหล่านั้นอีกแต่ถ้าเธอโดนกระทำก่อนเธอก็จะสู้กลับสุดตัว เธออยากให้ดวงวิญาณของจินเยว่คนเก่าได้หลุดพ้นและได้เห็นว่าคนที่จินเยว่รักมีความสุข
ต่อไปนี้เธอคือจินเยว่ไม่ใช่ศศิธรอีกต่อไปแล้ว
“ต่อไปนี้แม่คือกู้จินเยว่เข้าใจไหมเด็กน้อย” เธอก้มลงไปบอกกับเด็กน้อยพร้อมกุมมือของเขาไว้
เธอจะใช้ชีวิตให้ดีที่สุดให้สมกับที่ได้รับโอกาสนี้มาและจะต้องเป็นคนสวยที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองแห่งนี้
เด็กน้อยยิ้มพร้อมพยักหน้ารับคำ “ขอรับท่านแม่เรามาช่วยกันปลูกต้นไม้ให้มันเต็มพื้นที่ไปเลยนะขอรับ ข้ารอท่านมานานมากแล้ว เราจะได้ช่วยกันดูแลที่นี่”
“ได้สิเจียวเจี้ย เรามาช่วยกันปลูกพืชผลให้มันงอกงามแล้วก็เอาไปขายเยอะๆ แล้วเราก็เอาเงินมาทำเป็นที่นอนดีหรือไม่ อย่างที่เขาว่าเกิดมาบนกองเงินกองทองแต่ข้าเกิดมาจนงั้นถ้าเรารวยแล้วเรามานอนบนกองเงินกองทองกันเถิด” หญิงสาวพูดเสร็จก็หัวเราะชอบใจ เด็กน้อยที่เห็นหญิงสาวตรงหน้าหัวเราะเขาก็หัวเราะตามไปด้วย
“ดีขอรับท่านแม่” พูดจบสองแม่ลูกก็มองหน้ากันด้วยสายตาอบอุ่นริมฝีปากทั้งคู่เปื้อนยิ้ม
ความเห็น 0