โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

“มวยเด็ก” ยอมเจ็บตัวเพื่อหาเงิน! “สังเวียนผลประโยชน์” ที่นำมาซึ่ง “สังเวย” ชีวิต!

TheHippoThai.com

เผยแพร่ 20 พ.ย. 2561 เวลา 05.00 น.

“มวยเด็ก” ยอมเจ็บตัวเพื่อหาเงิน! “สังเวียนผลประโยชน์” ที่นำมาซึ่ง “สังเวย” ชีวิต!

จากกรณีที่ ด.ช.อนุชา หรือ เล็ก ทาสะโก หรือ เพชรมงคล ป.พีณภัทร อายุ 13 ปี ถูกคู่ต่อสู้ชกหลับกลางอากาศหัวฟาดผืนผ้าใบอย่างแรงจนเสียชีวิต ทำให้เกิดการตั้งคำถามมากมายถึงความเหมาะสมกับวงการ ‘มวยเด็ก’ ที่ว่ากันว่าเป็นหนึ่งใน ‘วัฒนธรรม’ คู่สังคมไทยมาช้านาน 

อย่างแรก คือเรื่องความปลอดภัยของเด็กที่ต้องมีการยกเครื่องกฏหมายกันครั้งใหญ่ ตั้งแต่เกณฑ์อายุ ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กำลังเสนอแก้ไข พ.ร.บ.กีฬามวย 2542 ให้ ครม.พิจารณาห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีชกมวย ถ้าอายุระหว่าง 13-15 ปีต้องใส่เครื่องป้องกัน

ซึ่งถ้ามองเบื้องต้น ก็ดูเหมือนว่าจะดีสำหรับอนาคตของเด็กๆ แต่ก็มีอีกหลายความคิดเห็นจากคนในวงการที่คัดค้านการแก้กฎหมายดังกล่าว โดยมีเหตุผลสำคัญคือ มองว่าจะเป็นการทำลายมนต์เสน่ห์บนผืนผ้าใบให้ลดน้อยลง 

และยังมีอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญ ที่ถึงจะฟังดูโหดร้าย แต่ก็เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ คือการขึ้นสังเวียนตั้งแต่เด็ก คือแหล่งรายได้สำคัญที่นักมวยรุ่นจิ๋วเอากลับไปช่วยเหลือครอบครัวได้ง่ายที่สุด เพราะถ้าได้ลองเข้าไปคลุกคลีในอีเวนต์มวยเด็กเหล่านี้จริงๆ จะเห็นว่าเกือบจะ 100% คือเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีรายได้น้อย และขาดโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคมต่างจากเด็กๆ ที่เติบโตมาในครอบครัวทั่วไปอยู่หลายเท่าตัว

อย่างแรกคือ เมื่อเติบโตมาในครอบครัวที่มีรายได้น้อย พ่อแม่ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนไม่มีเวลาเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด วิธีการที่ง่ายที่สุด ก็คือฝากลูกไว้ตามค่ายมวยตามชุมชนต่างๆ อย่างน้อยที่สุดก็มีคนช่วยดูแล แถมถ้าพอมีฝีมือ มีแววเข้าตาครูฝึก ก็อาจได้ขึ้นไปชกบนเวที เพื่อแลกกับ ‘ค่าขนม’ เล็กๆ น้อยๆ เรียกได้ว่ามีทั้งรายได้  ฝึกฝนระเบียบวินัย ได้ออกกำลังกาย ร่างกายแข็งแรง มองอย่างไรก็มีแต่ได้กับได้เห็นๆ 

แต่ ในความเป็นจริงแล้ว ภายใต้กรอบคำว่า ‘มีแต่ได้กับได้’ นั้น คนที่ได้คือเด็กจริงๆ หรือเปล่า หรือเป็นเพียงแค่คำพูดสวยหรู เพื่อความสะใจและโอกาสสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับเหล่าผู้ใหญ่ที่ยืนเชียร์อยู่ข้างสังเวียนกันแน่ 

เพราะเอาจริงๆ รายได้ที่เด็กๆ ขึ้นชกแต่ละครั้ง นั้นมีตั้งแต่ต่ำที่สุดในระดับไม่กี่สิบบาท โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ อายุไม่ถึง 10 ขวบ ที่จะถูกคำพูดทำนองว่า “ยังเด็กอยู่ ขึ้นไปชกขำๆ จะเอาเงินไปทำไมเยอะแยะ” แต่เมื่อขึ้นไปอยู่บนสังเวียนจริงๆ ขึ้นชื่อว่า ‘การต่อสู้’  ถึงจะเป็นเด็กก็พกความจริงจัง และแบกศักดิ์ศรีลูกผู้ชายที่ไม่อยากยอมแพ้ขึ้นไปทั้งนั้น ยิ่งมีเสียงเชียร์จากข้างล่างกระตุ้นเร้ามากเท่าไหร่ นักกีฬาบนเวทีก็ยิ่งฮึกเหิมจนอาจลืมผลเสียที่ตามมาได้ง่ายๆ 

ความเสียหายจากหมัด เท้า เข่าศอก ของคู่ต่อสู้ ที่อาจเป็นเพียงการสะกิดสำหรับผู้ใหญ่ แต่อย่าลืมว่า ร่างกายและสมองของเด็กๆ เหล่านั้นก็ยังอยู่ในระยะที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ การถูกกระทบกระทั่งซ้ำๆ แม้เพียงเบาๆ ก็สามารถสะสมความบอบช้ำจนส่งผลกับการพัฒนาของร่างกายได้ในระยะยาว 

พอลงจากเวที รายได้ที่ถึงแม้จะน้อยนิด แต่ถ้าเทียบกับการไปทำงานอย่างอื่น ที่เอาจริงๆ ก็มีไม่กี่ที่นักหรอก ที่จะยอมรับเด็กๆ เหล่านี้เข้าทำงานจริงๆ เพราะฉะนั้นการยอมเจ็บตัวนิดๆ หน่อยๆ จึงเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่า เพื่อหาเงินทุนการศึกษา หรือบางครั้งก็อาจเป็น ‘ค่าหวย’ ‘ค่าขวด’ ของพ่อแม่ หรือ ‘ค่านมน้อง’ ที่นอนรออยู่เบื้องหลังได้ไม่ยาก 

ทำให้เราถึงเห็นสถิติน่าตกใจ ของ ‘น้องเล็ก’ ที่มีประวัติการชกเริ่มต้นตั้งแต่ 8 ขวบ จนกระทั่งอายุ 13 ปี กับสังเวียนครั้งสุดท้าย นักชกที่ผู้คนสรรเสริญกันว่าเป็น ‘กำปั้นกตัญญู’ ก็ต้องขึ้นชกไปมากกว่า 170 ไฟต์ เท่ากับว่าระยะเวลาเพียง 5 ปี น้องเล็กต้องขึ้นยืนหยัดรับหมัด เท้า เข่า ศอก ปีละประมาณ 35 ครั้ง หรือ เดือนละ 3 ครั้ง หรือ 10 วันต่อหนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อย ซึ่งขัดกับข้อบังคับที่ว่า นักมวยต้องพักอย่างน้อย 21 วันถึงจะขึ้นชกครั้งต่อไปได้ อย่างสิ้นเชิง 

ยังไม่นับรวมความอยุติธรรม ที่มักจะถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเงื่อนไขในการ ‘ต่อรอง’ ของเซียนพนัน ทำให้เราจะเห็นการ ‘แบกน้ำหนัก’ หรือชกข้ามรุ่นของวงการมวยเด็กอยู่เสมอ อย่างกรณีน้องเล็กที่อายุเพียง 13 ปี แต่ต้องขึ้นชกกับคนที่อายุ 15 ปีที่กระดูกมวยแข็งแรงกว่า 

และยังไม่ต้องพูดไปถึงการบังคับให้ขึ้นไปแพ้บนสังเวียน ที่มักพบเห็นได้ในอีเวนต์มวย ที่มีนักกีฬาเป็นลูกของผู้อิทธิพลในละแวกนั้นๆ ที่เชิงมวยอาจไม่แข็งเท่าไหร่ แต่อาศัยบารมีของผู้ปกครอง ทำให้โปรโมเตอร์ ต้องจัดหาเด็กๆ ด้อยโอกาส เพื่อขึ้นไปชก โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามชนะเป็นอันขาด เท่ากับว่าสภาพของเด็กคนนั้น ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการถูกจ้างเพื่อขั้นไปเป็นกระสอบทรายให้ถูกซ้อมเล่น เพื่อแลกกับค่าแรงไม่กี่บาทเพียงเท่านั้น 

เพราะฉะนั้นหากมองให้ลึกลงไป หากจะแก้ปัญหา ‘มวยเด็ก’ ที่เกิดขึ้นให้ถูกจุดจริงๆ การแก้เฉพาะกฎหมายและข้อบังคับเบื้องต้น อาจจะยังไม่ใช่การ ‘เกาถูกที่คัน’ เท่าไหร่นัก เพราะตราบใดก็ตามที่เรายังมีความเหลื่อมล้ำทางสังคม มีเงื่อนไขความสนุกสนานและความสะใจของบรรดา ‘เซียนพนันรุ่นใหญ่’ ที่คอยควบคุมและบงการเม็ดเงินและความบันเทิง โดยมี ‘ชีวิต’ และ ‘อนาคต’ ของนักมวยเด็ก ที่ต้องขึ้นไปฟาดลำแข้งเพื่อความอยู่รอด 

และหากมุ่งแต่เพียงแก้ปัญหาที่ตัวกฎหมายอันเต็มไปด้วยช่องโหว่ โดย ‘คนใน’ ที่อยู่ในวงจรธุรกิจ ‘มวยเด็ก’ ยังไม่ได้แก้ความคิดที่มองเห็นนักชกรุ่นจิ๋วเป็นเพียงเครื่องมือตอบสนองความสะใจ เราก็อาจต้องทนเห็นข่าว ‘กำปั้นยอดกตัญญู’ ที่พลีชีพตัวเองเพื่อแลกกับเม็ดเงินเพียงไม่กี่บาท ออกมาให้เห็นกันอย่างไม่มีวันจบสิ้น

โอเคล่ะ! ว่าธุรกิจนี้สามารถสร้างรายได้ให้กับนักชกรุ่นจิ๋วได้จริงๆ แถมยังเป็นโอกาสสำคัญในการก้าวขึ้นมาเป็นนักมวยมืออาชีพในอนาคต แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบ ‘น้องเล็ก’ ขึ้นมาอีก มีบ้างใครบ้างไหมที่จะสามารถ ‘รับผิดชอบ’ ชีวิตของเขา รวมทั้งอนาคตของคนในครอบครัวได้จริงๆ 

อ้างอิง

https://www.thairath.co.th/content/1422351

https://www.bbc.com/thai/thailand-46218196

ภาพประกอบ

https://www.voicetv.co.th/read/HynJdg3p7

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0