ตอนผมเด็กๆ เวลาเจอญาติผู้ใหญ่ จะได้ยินเขาพูดเสมอว่า ให้ตั้งใจเรียน เรียนให้เก่งๆ จะได้ทำงานเป็นเจ้าคนนายคน … เจอกี่ครั้งก็จะย้ำอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เรียนประถมยันเข้ามหาลัย แต่ก็แหงแหละครับ พอเราเรียนจบและเริ่มชีวิตการทำงาน โดยเฉพาะสายมนุษย์เงินเดือนในองค์กรอย่างผม คงไม่มีใครที่จะจ้างมาเป็น CEO หรือผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่วันแรกที่เรียนจบแน่ๆ
ทุกคนล้วนเริ่มต้นที่บันไดขั้นแรกของปิรามิดองค์กรอย่างเท่าเทียมกัน ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะเก่งกล้าสามารถปีนปิรามิดไต่เต้าไปจนถึงขั้นที่ญาติผู้ใหญ่คนนั้นเขาเรียกว่า “เจ้าคนนายคน” ได้เร็วกว่ากันแค่นั้นเอง
เป็นเรื่องปกติมากในชีวิตการทำงานที่เราจะบ่นขิงบ่นข่าของความไม่ได้ดั่งใจ หรือความโหดร้ายของชีวิตการทำงานไปเรื่อย ซึ่งเมื่อจัดหมวดหมู่ของเรื่องบ่นก่นด่าในชีวิตการทำงานแล้ว เรื่องเจ้านายถือเป็นหัวข้อยอดฮิตครองอันดับหัวชาร์ตตลอดกาลยิ่งกว่าเพลงของ Blackpink ซะอีก
เราบ่นกันตั้งแต่เจ้านายดุ เจ้านายงี่เง่า เจ้านายไม่ฟังเรา เจ้านายลำเอียง เจ้านายสั่งงานคืนวันศุกร์จะเอาเช้าวันจันทร์ จนเป็นความรู้สึกร่วมกันมาตลอดว่า การเป็นลูกน้องนี่ไม่ดีเลยเนอะ เป็นฝ่ายถูกสั่งงานตลอดเวลา ได้แต่ก้มหน้ารับคำสั่งกันไป รออีกนิดเถอะ เดี๋ยวเราได้เป็นเจ้านายบ้าง ชีวิตการทำงานต้องดีกว่าเดิมเยอะแน่ๆ
พิมพ์มาถึงตรงนั้นแล้วอยากจะนั่งไทม์แมชชีนไปกระซิบข้างหูตัวเองในวัยเด็กน้อยนั้นว่า โถ… ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
เพราะในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเราค่อยๆไต่เต้าเติบโตในองค์กรขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วในวัยสามสิบกว่าๆนี่แหละครับที่เราจะเริ่มกระดึ๊บๆขึ้นมาถึงช่วงกลางของปิรามิดองค์กร ซึ่งนั่นหมายความว่า เราก็ยังคงเป็นลูกน้องที่มีเจ้านายคอยสั่งงานเราอยู่ดีแหละครับ แต่เราจะได้อีกบทบาทนึงเพิ่มมาอีกก็คือ
เราเองก็จะได้เป็นเจ้านายของเด็กๆรุ่นใหม่ด้วย ซึ่งบอกเลยครับว่าชีวิตการทำงานในวัยสามสิบที่อยู่ตรงกลางของแซนวิช ข้างนึงก็เจ้านาย ข้างนึงก็ลูกน้อง มันยากและท้าทายกว่าการเป็นเด็กน้อยสดใสในองค์กรมาก ซึ่งนั่นหมายความว่า นอกจากการทำงานให้ดีแล้ว เรากำลังจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกน้องเราเช่นกัน
สิ่งนึงที่เจ้านายคนแรกของผมสอนมาตลอด และสอนตั้งแต่วันแรกๆของการทำงาน จนกลายเป็นสิ่งที่ผมจำได้และยึดเป็นหลักหนึ่งของการทำงานมาจนถึงวันนี้คือ การสอนงานลูกน้อง ซึ่งลำพังแค่งานของตัวเองก็ท่วมหัวจนทำไม่ทันอยู่แล้ว เรายังต้องเผื่อเวลาอีกส่วนสำหรับการสอนงานด้วย
ซึ่งเจ้านายผมกำชับตลอดว่า อย่ารู้สึกว่าการสอนงาน คือการเสียเวลาทำงานเลย เพราะจริงๆแล้วมันคือส่วนหนึ่งของงานต่างหาก การสอนงานให้ลูกน้อง อาจจะทำให้เราเหนื่อยเป็นสองเท่า แต่เราจะเหนื่อยแค่ครั้งเดียว แต่ถ้าเราไม่สอน และมีลูกน้องที่ทำงานไม่เป็น เพราะในตอนนั้นเราคงยังไม่มีทางรู้หรอกว่าสิ่งที่เจ้านายกำลังสอนเราในวันนั้นมันจริงหรือไม่ จนกว่าเราจะได้มีลูกน้องจริงๆ
ผมเห็นภาพตัวเองในหลายสถานการณ์ที่งานเดือดท่วมโต๊ะ และกำลังมีสมาธิทำงานแบบเข้าด้ายเข้าเข็ม แต่ทันใดนั้นก็มีลูกน้องเดินเข้ามาขอคำปรึกษา มาถามความเห็น มาขอให้ช่วยดูงาน ซึ่งในใจแล้วถ้าเสกลูกน้องให้หายไปชั่วคราวได้คงทำไปแล้ว
แต่ก็นั่นล่ะครับ ในความเป็นจริง มันคือหน้าที่ของเราที่จะจัดการทั้งงานของเราเอง และช่วยให้ลูกน้องทำงานของเขาสำเร็จได้ด้วย
ตลกดีที่วันนี้เวลาที่ผมนัดเพื่อนรุ่นเดียวกัน เราก็ยังคงปรับทุกข์เรื่องเจ้านายเหมือนเดิม แต่นอกจากเรื่องเจ้านายแล้ว ตอนนี้คนวัยสามสิบกว่าอย่างพวกเรามีเรื่องลูกน้องให้บ่นเพิ่มเข้ามาอีกเรื่องนึงด้วย บางคนบ่นเพราะกลัวเป็นเจ้านายที่ไม่ดี แล้วจะโดนลูกน้องบ่นเหมือนกับเราก็เคยบ่นเจ้านายเหมือนกัน
บางคนบ่นเพราะไม่รู้จะรับมือกับความกดดันที่สาดใส่เข้ามาทั้งสองด้านพร้อมๆกันยังไงดี แต่ผมพบว่าวันนี้การนั่งบ่นและปรับทุกข์พวกเรา มันไม่ใช่การบ่นขิงบ่นข่าแบบที่เราชอบทำกันสมัยก่อน แต่เรากำลังคุยกันเพื่อหาทางเป็นลูกน้องที่ดี และเป็นเจ้านายที่ดีไปพร้อมๆกัน หลายครั้งสิ่งที่เราคิดไม่เคยออกในที่ทำงานจะทำยังไง กลับมาได้คำตอบกับการนั่งคุยกันกับเพื่อนนี่แหละ
ผมเคยได้คุยกับผู้บริหารรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ที่ให้ข้อคิดที่ดีเกี่ยวกับการทำงานสำหรับคนในวัยสามสิบกว่าคือ การเป็นเจ้านายและลูกน้องพร้อมๆกัน เป็นช่วงที่ยากที่สุดของการทำงานแล้ว
เพราะมันทำให้เราเหนื่อยขึ้น แต่เพราะการมีลูกน้องนี่แหละ ที่จะทำให้เราอยากจะโตเป็นแบบอย่างที่ดี ซึ่งบ่อยครั้งเราอาจจะไม่ได้รู้ตัวเลย บางวันเราอาจจะขี้เกียจ อยากลาพักร้อน อยากแกล้งป่วย แต่สุดท้ายเราก็เลือกที่จะแซะร่างตัวเองขึ้นมาทำงาน แล้วพาทีมไปด้วยกัน
และกว่าเราจะรู้ตัวอีกที วันรุ่งขึ้นเราก็ไปทำงานด้วยตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นทุกวันแล้ว
ความเห็น 0