“อย่าอินเกิน” คำกล่าวที่คนสมัยนี้มักพูดเตือนกันบ่อยๆ มาดูกันว่าทุกวันนี้เรา “อิน” กับอะไรกันบ้าง ?
อินข่าวดาราจากสื่อและตามไปเม้นต่อว่าในไอจี
อินละคร อินรายการ Drama Reality
อินคู่จิ้น อยากให้เป็นคู่จริง
อินชีวิตดารา
อินดราม่า
ถ้าคุณชอบเผือกเราคือเพื่อนกัน
คำว่าเผือกอาจดูรุนแรงไปซักนิด แต่เพื่อให้เห็นภาพตามได้ง่ายและกระชับ ขออนุญาตนำมาใช้นะคะ
เผือกในที่นี้ คือ การที่เราสนใจ อยากรู้เรื่องราวของคนอื่น
และการที่เราอินเรื่องคนอื่นมากเกินไป มีที่มาจากการที่มนุษย์เรามีนิสัยชอบเผือกนี่แหละค่ะ
ความจริงแล้วการอยากรู้เรื่องคนอื่นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคม
ไม่ใช่เรื่องผิดเสียทีเดียวค่ะ ในสมัยก่อน มนุษย์ยุคหินอยู่ในสังคมเล็กๆที่ทุกคนรู้จักกัน
เมื่อมีคนรู้จักไม่มากนัก เราจึงสามารถมีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ลึกซึ้งกับกลุ่มคนรู้จักทุกคนได้
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้สนิทกันมากขึ้น คือ การเม้าท์แชร์เรื่องราวเบื้องลึกของกันและกันทั้งนิสัยส่วนตัวและชีวิตประจำวัน นั่นแปลว่า แม้สมัยก่อนไม่มีดาราออกสื่อ เราก็ยังชอบอยากรู้อยากเห็นและอินกับเรื่องของเพื่อนบ้านอยู่ดี !
มาถึงสมัยนี้… วิถีชีวิตของคนที่เราได้เผือกบ่อยที่สุด น่าจะเป็นคนดัง
เราทุกคนรู้จักคนดังจากภาพลักษณ์ที่สื่อนำเสนอ
หลายคนมีคนดังที่ติดตามตลอด ไม่ว่าจะ Follow ทาง Instagram หรือ Twitter
แม้จะไม่รู้จักคนเหล่านี้ในชีวิตจริง แต่ก็รู้สึกเหมือนเป็น “เพื่อน” คนหนึ่ง
ธรรมชาติออกแบบมาให้มนุษย์มีต่อมอยากรู้เรื่องราวของเพื่อนที่เรามีความสัมพันธ์ทางสังคมด้วย จึงไม่แปลกที่เราจะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อมีความเคลื่อนไหวเรื่องส่วนตัวของคนดัง โดยเฉพาะดารา
คนเหล่านี้เป็นเหมือน Mutual Friend ที่ทุกคนในสังคมรู้จักร่วมกัน
เป็นประเด็นหัวข้อที่หยิบยกมาเม้าท์กับคนรอบตัวได้ไม่ว่าจะรู้จักผิวเผินกันแค่ไหน
เพราะเหตุนี้… การเผือกจึงกลายเป็นเหมือนอาวุธหรือทักษะในการเข้าสังคมอย่างหนึ่ง !
แต่เมื่อไหร่ที่การอยากรู้เรื่องคนอื่นเริ่มเลยเถิดจากแค่ “ทางสังคม” จนกลายเป็น “อินเกินไป” ?
คำตอบคือ เมื่อเราเริ่มขยับจากแค่การอัพเดทเรื่องราวมาเป็นการตัดสิน “เพื่อน” ของเราโดยใช้อารมณ์ เวลาที่รู้สึกว่าคนๆหนึ่งทำไม่ถูก วิธีท่ีมองคนๆนั้นจะเริ่มเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว เปลี่ยนมามองด้วยเลนส์ที่จับผิด ยิ่งมองมุมไหน ก็ยิ่งเจอแต่มุมที่แย่
แสดงออกด้วยการคอมเม้นต์ต่อว่าบ้าง แซะคนที่ไม่เห็นด้วยบ้าง
เราต่างลืมนึกกันไปว่าครั้งหนึ่งคนที่เราต่อว่าเหล่านี้ก็ถือเป็นเพื่อนที่เรารู้จักเหมือนกัน
หากคิดว่าทุกคนคือเพื่อนของเรา เมื่อวิจารณ์ใคร เราก็จะระวังตัวให้ไม่เผลอ “อินเกินไป” ได้
อินกว่าเดิม…เมื่ออยู่ในโซเชียล
ตัวอย่างการเผลอ “อินเกินไป”แบบสุดโต่ง เช่น แอนตี้แฟนในประเทศเกาหลี ที่รุนแรงเกินกว่าเหตุไปซักหน่อ
คนกลุ่มนี้ไม่ใช่แค่ไม่ชอบหรือเกลียดเหล่าไอดอล แต่ถึงขั้นวางแผนทำร้ายร่างกาย
ทั้งบุกไปที่บ้าน ส่งจดหมายขู่ฆ่า ลอบทำร้ายและอีกมากมาย ทั้งๆที่ส่วนใหญ่จุดเริ่มต้นความไม่พอใจไอดอลเริ่มก่อตัวจากเรื่องเล็กๆน้อยๆ
เช่น คำพูดบางคำที่ให้สัมภาษณ์ออกสื่อ ข่าวซุบซิบเรื่องความรัก
เมื่อแคปเจอร์ข้อผิดพลาดเหล่านั้นแล้วเอามารวมในเพจแอนตี้ ก็ยิ่งสุมความไม่ชอบให้รุนแรงขึ้นไปอีก
โลกโซเชียลมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเราเกินคาด
ขยายดราม่าเรื่องเล็กๆให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นและทำให้เราหลงลืมมิตรภาพระหว่างกันได้
เมื่อมีคอมเมนต์จากใครซักคนที่รุนแรงดั่งไฟ
ก็จะเกิดการเม้นต์ต่อๆกัน เหมือนไฟที่ไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว
ยิ่งไหม้ ยิ่งแรง กลายเป็น “ความอินเป็นหมู่คณะ” โดยไม่รู้ตัว
เรามักจะลืมกันไปว่าเราทุกคนมีน้ำใจที่พร้อมเข้าใจเรื่องราวอีกมุมของคนอื่น และสามารถใช้นำ้ดับ “ไฟ” ที่หลายครั้งไหม้ลุกลามใหญ่โต จนทำให้ข่าวดราม่าซุบซิบเล็กๆกลายเป็นวาระแห่งชาติได้
“การอินเกินไป” ไม่ใช่แค่อินเรื่องคนอื่นเท่านั้นนะคะ
หลายครั้งการอินเกินไปสามารถเป็นเรื่องราวภายใน
อินกับความคิด ความรู้ มุมมองของตัวเองเกินไปจนไม่ฟังคนอื่นด้วยเช่นกัน
วิธีสังเกตง่ายๆอีกอย่าง คือ เมื่อเรื่องจบแล้วแต่เรายังไม่จบ
นั่นอาจแปลว่า เรากำลังอินเกินไปค่ะ
ที่มา
https://www.koreaboo.com/lists/12-idols-antifans-conspire-kill/
https://www.theodysseyonline.com/why-do-we-love-celebrity-drama
About Me
Instagram:http://www.instagram.com/faunglada
Facebook: http://www.facebook.com/faunglada
Youtube: http://www.youtube.com/faunglada
Twitter: @faunglada
Website: www.faunglada.com
ความเห็น 7
N_Tansuwannarat
ผมให้นิยามว่า "การอินคือศิลปะของการสร้างสัมพันธภาพของมนุษย์" หมายความว่า เวลาที่เราชัดเจนกับการอินสิ่งใด เราจะคลั่งไคล้มาก ๆ แต่กลับกัน เมื่อการอินไม่มีความชัดเจน เราจะไม่เข้าใจอะไรเลย
เมื่อการอินทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี อินจนเกินเลย อินจนไม่มีขอบเขต เราถึงต้องมีคำว่า "กาลเทศะ" มาตีกรอบพฤติกรรมของตัวเองว่าอย่าไปทำร้ายใคร อย่าไปทำร้ายอะไรด้วยวาจาและการกระทำ
"ก่อนพูดอะไร เรายังเป็นเจ้านายของคำพูดอยู่ แต่เมื่อพูดออกไปแล้ว คำพูดจะเป็นเจ้านายเราทันที" นี่คือประโยคที่ควรจะเตือนใจหากวันใดเราพลาดไป
23 พ.ค. 2562 เวลา 12.03 น.
.~★☆ PikaPiPi ☆★~.
ไม่เห็นอยากรู้เรื่องของใครเลย
น่าเบื่อ! 🙄
23 พ.ค. 2562 เวลา 12.15 น.
Fewling Nopparuj
เพราะถ้าลองมองกลับกัน ถ้าให้ใครลองมายุ่งเรื่องของตัวเองมากเกินไป ตัวเราก็คงไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่นัก สิ่งที่สำคัญเลยก็คือ อย่าลืมเรื่องนี้ไป "คนเราทำอะไรมักจะได้แบบนั้น"
24 พ.ค. 2562 เวลา 04.49 น.
Fewling Nopparuj
เรื่องแบบนี้มันต้องรู้ได้ด้วยตนเองตั้งแต่แรก ว่าอย่าเข้าไปยุ่งเกินขอบเขต
24 พ.ค. 2562 เวลา 04.45 น.
คนเรามีจิตสำนึกและมารยาทก็ย่อมที่จะรู้ได้ดีว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร.
23 พ.ค. 2562 เวลา 13.00 น.
ดูทั้งหมด