ควบคุมราคา “รพ.เอกชน” สร้างความ“เสมอภาค” หรือสร้าง“ปัญหา” ในอนาคต?
หลังจากที่ ครม.เห็นชอบขึ้นบัญชีควบคุมค่ายา-เวชภัณฑ์-ค่าบริการทางการแพทย์ ตั้งแต่ช่วงหลังปีใหม่ 2562 ที่ผ่านมา ปรากฎว่าได้ส่งผลกระทบให้หุ้นรพ.เอกชนราคาตกอย่างมีนัยยะสำคัญ อีกทั้งมีการเคลื่อนไหวของหมอเอกชนที่ไม่เห็นด้วยกับมตินี้ เพราะมองว่า รพ.เอกชน คือทางเลือก ไม่ใช่ทางหลัก
ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 ม.ค. ที่ผ่านมา "นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์" อดีตนายกสมาคมรพ.เอกชน กล่าวว่า ความเห็นส่วนตัวในฐานะของผู้ประกอบการ รพ.เอกชน มองว่า มติครม.ให้ค่ารักษาเป็นสินค้าควบคุมเช่นนี้เราก็ต้องทําตามแต่จะแก้ไขอย่างไรก็อย่ากระทบจนกระทั่งความมีประสิทธิภาพของรพ.เอกชน
ทั้งนี้ "นพ.พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช" นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เคยแถลงต่อสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมา ว่า หากมีการควบคุมราคาก็จะทำให้รพ.เอกชนไม่สามารถพัฒนาและแข่งขันกับต่างประเทศเพื่อเป็น“ศูนย์กลางบริการสุขภาพนานาชาติ” (Medical Hub)
ในขณะที่ประชาชนไทยยังไม่ได้รับการบริการทางการแพทย์ที่ดีมีคุณภาพอย่างทั่วถึง แต่ก็มีนโยบายผลักดันงานบริการทางการแพทย์เพื่อหวังดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติเข้าประเทศ ที่เรียกว่า Medical Hub
การเป็นMedical Hub สำคัญขนาดไหน? และสำคัญต่อใครกันแน่?
ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ได้ถูกริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน สร้างรายได้ให้กับประเทศมากถึงปีละกว่าแสนล้านบาท โดยมีตัวแปรสำคัญเป็น“โรงพยาบาลเอกชน” ที่มีสัดส่วนรายได้เกินครึ่ง นั่นเท่ากับว่ารพ.เอกชน เป็นส่วนสำคัญของแผนงานเมดิเคิล ฮับ ภายใต้การชูธงของรัฐบาล
"ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เคยกล่าวถึงนโยบายการผลักดันประเทศไทยเป็น Medical Hub ไว้ว่า เราจะมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพนักท่องเที่ยวแต่ต้องไม่ทิ้งสุขภาพประชาชนของคนไทยถือเป็นหลักที่สำคัญโดยเป็นการแยกให้ชัดว่าไม่เอาทรัพยากรที่จะดูแลคนไทยเอาไปให้กับชาวต่างชาติ
นพ.พงษ์พัฒน์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ยังกล่าวอีกด้วยว่า “หากไม่เกิดการพัฒนา ก็ห่วงว่าผลสุดท้ายคนไทยเองจะลําบาก เพราะไม่มีรพ.ดี ๆ แล้วต้องบินไปรักษา ที่รพ.ต่างประเทศเหมือนในอดีต ทั้งที่วันนี้ไทยถือว่าเป็นผู้นํา”
แม้การเข้าใช้บริการทางการแพทย์ในรพ.เอกชน จะเป็นเพียง “ทางเลือก” ของประชาชนไทย เนื่องจากยังคงมีสิทธิ์ในการรักษาพยาบาลที่เข้าถึงประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กองทุนประกันสังคม และกองทุนข้าราชการและครอบครัว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในยุคปัจจุบันรพ.เอกชนเป็นทางเลือกเบอร์ต้น ๆและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเข้าใช้บริการไม่ด้อยไปกว่ารพ.รัฐ
การขึ้นบัญชีฯ ให้กระทรวงพาณิชย์ เข้ามามีบทบาทควบคุมค่ายา-เวชภัณฑ์-ค่าบริการทางการแพทย์ จึงเป็นใบเบิกทางให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น ไม่ถูกโก่งค่ารักษาพยาบาลจนเกินเหตุ แต่ในขณะเดียวกัน หาก รพ.เอกชน ถูกแทรกแซงจนกระทบต่อคุณภาพงานบริการ การพัฒนาด้านการรักษา การลงทุนกับเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย ที่อาจไม่ตอบโจทย์ประชาชนกลุ่มหนึ่งที่เลือกเข้ารพ.เอกชน เพราะมุ่งหวังที่จะได้รับประโยชน์ด้านนี้ อาจทำให้รพ.รัฐ เบอร์ต้น ๆ ที่ประชาชนเชื่อมั่น ต้องแบกรับภาระปริมาณผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น ความแออัดและกระจุกตัวของงานบริการสาธารณสุข ที่คงหนีไม่พ้นคนที่มีอำนาจเงินและเส้นสายมาเบียดแย่งพื้นที่การรักษาของ ปชช. อีกส่วนใหญ่ที่ยังต้องหวังพึ่งการรักษาจากโรงพยาบาลรัฐ จึงเป็นผลกระทบอีกด้านหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
แหล่งข้อมูล :
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_1329833
https://www.khaosod.co.th/hot-topics/news_2121755