ช่วงนี้เรื่องราวที่เป็นที่พูดถึงกันมากที่สุดก็หนีไม่พ้นเรื่องของ “ไวรัสโคโรน่า” ไวรัสสายพันธุ์ใหม่จากจีนที่กำลังระบาดอยู่ในหลายประเทศแล้วก็มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในวันที่ผมเขียนเรื่องนี้อยู่ก็มีข่าวคนญี่ปุ่นติดเชื้อไวรัสจากคนสู่คนทั้งๆที่ไม่เคยเดินทางไปยังประเทศจีน ซึ่งมันก็เป็นข่าวใหญ่ที่สร้างความแตกตื่นอย่างมาก
ในไทยเองก็ค่อนข้างตื่นตัวกับข่าวไวรัสโคโรน่ามากพอสมควรเหมือนกัน เพราะก็มีข่าวคนติดเชื้อที่อยู่ในไทย จึงมีการเตรียมพร้อมป้องกัน ใส่หน้ากากอนามัย (ที่เริ่มหาซื้อได้ยากเพราะขาดตลาด) และติดตามข่าวสาร แชร์ข่าวสารกันทุกวัน ซึ่งก็อาจจะมีทั้งข่าวจริงและข่าวปลอมที่สร้างความแตกตื่นมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ที่ญี่ปุ่น แม้จะมีข่าวต่าง ๆ ออกมา มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แรกๆก็มีความวุ่นวายแตกตื่นกันมาก แต่พอเวลาผ่านไปสถานการณ์ในญี่ปุ่นก็ค่อนข้างเป็นไปอย่างปกตินะครับ แม้จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมากก็ตาม
ในช่วงแรก ๆ ที่มีข่าวเรื่องไวรัสโคโรน่า ก็มีข่าวร้านขายลูกกวาดร้านหนึ่งในเมืองฮาโกเน่ที่ประกาศไม่ต้อนรับลูกค้าชาวจีนและขึ้นป้ายห้ามคนจีนเข้าร้าน เพราะกลัวเรื่องไวรัสโคโรน่า จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวที่ถกเถียงกันในโลกอินเตอร์เน็ตถึงความเหมาะสมว่าจะเป็นการเหยียดเชื้อชาติหรือไม่ หรือเป็นการตื่นตูมมากเกินไปหรือไม่ แต่ร้านส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นก็ยังคงตอนรับนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นฐานลูกค้าสำคัญของญี่ปุ่นอย่างดีเหมือนเดิม จะมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงก็คือในห้างร้านก็เริ่มมีการ “ขออนุญาต” กับลูกค้า ให้พนักงานสามารถใส่หน้ากากอนามัยเวลาทำงานได้ แต่ก็ไม่ใช่กับทุกร้าน…
คือปกติแล้วพนักงานขายในญี่ปุ่นจะไม่ค่อยใส่หน้ากากอนามัยเวลาต้องพูดคุยกับลูกค้านะครับ เพราะมันถือเป็นการเสียมารยาทต่อลูกค้า ขัดกับหลักการบริการของญี่ปุ่นที่พนักงานจะต้องยิ้ม ต้องพูดคุย ต้องสบตากับลูกค้าทุก ๆ คน ถ้าใส่หน้ากากไปมันก็เหมือนกับว่าลูกค้าจะได้รับการบริการได้ไม่เต็มที่
ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวดราม่ากันในญี่ปุ่น เมื่อร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าร้านหนึ่งในย่านอากิฮาบาร่าให้พนักงานใส่หน้ากากอนามัยทำงาน โดยไม่มีการประกาศล่วงหน้า ทำให้ถูกลูกค้าร้องเรียนมาว่าพนักงานของร้านนั้นไม่สุภาพ และทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่สบายใจว่าพนักงานเป็นโรคติดต่ออะไรหรือไม่ ทำไมถึงใส่หน้ากากอนามัยออกมาให้บริการกันแบบนี้ จนร้านอื่นต้องรีบออกมาชี้แจงและติดป้ายประกาศอย่างเป็นทางการว่าการให้พนักงานใส่หน้ากากนั้นเป็นการใส่เพื่อป้องกันไวรัสโคโรน่า จึงต้องขออภัยลูกค้าล่วงหน้า
แต่แม้สถานการณ์จะเลวร้ายขึ้น มีการติดเชื้อและแพร่ระบาดมากขึ้น แต่ก็มีแค่บางร้านนะครับที่อนุญาตให้พนักงานใส่หน้ากากอนามัยได้ ร้านบางร้านก็ยังคงไม่ยอมให้พนักงานใส่หน้ากากเวลาทำงาน เพราะเชื่อว่ามารยาทต่อลูกค้าต้องมาก่อนอยู่ดี อันนี้บางทีผมว่ามันก็เกินไป เพราะในสถานการณ์ไวรัสระบาดแบบนี้เรื่องของความปลอดภัยมันน่าจะต้องมาก่อนไหมนะ
แต่หลังจากนั้น กระแสเรื่องไวรัสโคโรน่าในญี่ปุ่นกลับเบาลงกว่าตอนแรก คนเริ่มวิตกกังวลและตื่นตัวน้อยลง สวนทางกับการมีข่าวการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มีการติดต่อจากคนสู่คนในประเทศญี่ปุ่นเอง ซึ่งดูๆไปก็น่าจะต้องยิ่งวิตกกังวลกันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ทำไมความแตกตื่นในเรื่องนี้ของคนญี่ปุ่นโดยรวมกลับลดลงได้นะ ?
ทางสื่อญี่ปุ่นเองเขาก็ทำสกู๊ปข่าวเรื่องนี้เช่นกัน ว่าทำไมความแตกตื่นตกใจ และการรับรู้ในข่าวเรื่องไวรัสโคโรน่าของคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะจังหวัดที่ไม่ใช่เมืองใหญ่ ๆ นั้นกลับลดลง ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ๆ
สาเหตุที่เป็นแบบนั้น นักวิชาการญี่ปุ่นเขาวิเคราะห์กันน่าจะเป็นเพราะความรู้สึก “ชิน” และ ความรู้สึก “ปลอดภัย” ของประชาชน ก็อย่างที่ทราบกับว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่ประสบกับภัยพิบัติค่อนข้างบ่อย ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ต่างจากการระบาดของไวรัสที่ยังมีการเตรียมการรับมือเป็นอย่างดี แม้ในช่วงที่เกิดไวรัสระบาดนี้ชาวญี่ปุ่นก็จะบ่นด่ารัฐบาลของตัวเองไม่แพ้ชาติอื่น ๆ
แต่ไป ๆ มา ๆ ด้วยการจัดการของทางการญี่ปุ่นที่ค่อนข้างมีระบบและรวดเร็ว ทำให้ประชาชนรู้สึกว่ามันก็ยังเป็นเรื่องที่รัฐบาลเขายังรับมือได้ และเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องทำอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลมากเหมือนช่วงแรกแต่อย่างใด สำนักข่าว สื่อต่างๆก็มุ่งเน้นการทำข่าวไปที่ส่วนอื่น ๆ มากขึ้น
เช่น การช่วยเหลือคนญี่ปุ่นที่ติดค้างอยู่ที่จีน หรือการให้ความช่วยเหลือการการแพทย์กับจีน เพราะแม้จะมีข่าวผู้ติดเชื้อในญี่ปุ่น แต่ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบเป็นอัตราส่วนกับจำนวนผู้ติดเชื้อในจีน คนเลยมองข่าวเรื่องไวรัสโคโรน่าแล้วรู้สึกเหมือนว่ามันไกลตัวออกไป ข่าวนี้ก็กลับไปอยู่ในกรอบของข่าวต่างประเทศอีกครั้ง กลายเป็นเรื่องของประเทศจีนที่อาจจะมีผลกระทบต่อประเทศญี่ปุ่นบ้าง แต่ก็ไม่เอามาเป็นข่าวใหญ่ในประเทศเหมือนเคย ทำให้คนญี่ปุ่นเริ่มลดความแตกตื่นในข่าวไวรัสโคโรน่าลง
ข่าวที่น่าอึ้งต่อมาก็คือ หลังจากที่ญี่ปุ่นส่งเครื่องบินไปรับคนญี่ปุ่นกลับมาจากจีน เมื่อรับกลับมาถึงประเทศญี่ปุ่นแล้ว กลับมีผู้โดยสารชาวญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งในเที่ยวบินนั้นเลือกที่จะ “ปฏิเสธการตรวจไวรัส” แต่กลับเลือกการถูกกักบริเวณที่บ้านแทน เรื่องนี้ก็เป็นที่ถกเถียงกันค่อนข้างมากในญี่ปุ่นว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำไมถึงยอมปล่อยตัวออกมา แบบนี้มันจะชิลกันเกินไปรึเปล่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นะไม่ใช่ไข้หวัด จะได้ปล่อยกลับบ้านไปเฉย ๆ ต้มโจ๊กให้กินแล้วก็หาย ถ้าไปแพร่เชื้อให้คนอื่นล่ะจะทำยังไง…
อันนี้ทางการญี่ปุ่นก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะตามกฎก็ไม่อาจบังคับให้เข้ารับการตรวจได้หากคนไข้นั้นไม่สมัครใจ ส่วนผู้โดยสารที่ไม่ยอมรับการตรวจนั้นก็อาจจะคิดว่ามันเป็นสิทธิที่เขาจะทำได้ เพราะค่าเครื่องบินเขาก็เป็นคนจ่ายเงินค่าตั๋วเอง รัฐแค่ส่งเครื่องบินไปรับตามหน้าที่ที่ต้องทำ ดังนั้นก็ไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณกับใคร รัฐบาลญี่ปุ่นก็ทำได้แค่ต้องป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้อีกในเที่ยวบินต่อไป โดยการให้ผู้โดยสารเซนต์ยอมรับการตรวจก่อนขึ้นเครื่องในเที่ยวบินหน้าซะเลย ถ้าใครไม่ยอมรับ ก็จะถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่อง
และยิ่งถ้าเป็นเมืองรอบนอก สถานการณ์นี่ยิ่งเหมือนแทบไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยครับ ตอนนี้ผมมาทำงานอยุ่ที่จังหวัดโอกินาว่าพอดีครับ ก่อนมาก็เรียกว่ากังวลพอสมควร เพราะว่าในโอกินาว่านั้นเรียกว่าเป็นจังหวัดที่นักท่องเที่ยวชาวจีนเยอะมาก มีทัวร์จีนลงอยู่ตลอด จังหวัดโอกินาว่าเป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของญี่ปุ่น และเป็นเกาะที่อยู่ใกล้ไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่มาก
ก่อนมาผมก็คิดว่าบรรยากาศที่นี่น่าจะต้องตึงเครียดพอสมควร เพราะนักท่องเที่ยวหลักๆเลยก็เป็นนักท่องเที่ยวจีนล้วนๆ แต่ปรากฎว่าบรรยากาศที่นี่กลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ทีวีท้องถิ่นที่นี่แทบไม่นำเสนอข่าวเกี่ยวกับไวรัสโคโรน่าด้วยซ้ำ มีแค่ออกข่าววันละนิดหน่อย แถมจำนวนคนที่ใส่หน้ากากอนามัยก็มีไม่มาก ทั้งคนญี่ปุ่นเจ้าถิ่นเองและนักท่องเที่ยวจีน เรียกว่าที่นี่คนใช้ชีวิตกันเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ผมได้ลองสอบถามกับเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนโอกินาว่าหลายๆคน เขาบอกว่าจริงๆก็ตามข่าวเรื่องนี้เหมือนกันนะ แต่เพราะว่าโอกินาว่าเป็นเกาะที่แยกออกมาจากเกาะหลักประเทศญี่ปุ่น มันก็เลยทำให้คนโอกินาว่ารู้สึกเหมือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเกาะหลัก ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อจากคนสู่คน หรือจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น มันก็ยังอยู่ห่างไกลจากจังหวัดโอกินาว่าอยู่นั่นเอง ทำให้คนที่นี่ยังคงใช้ชีวิตปกติ แทบไม่ใส่หน้ากากอนามัยกันด้วยซ้ำ ยกเว้นจะเข้าไปในพื้นที่ที่สุ่มเสี่ยงจริงๆอย่างเช่นสนามบิน ถึงจะหยิบมาใส่กันบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่รู้สึกว่าต้องวิตกกังวลอะไรจนกว่าจะมีข่าวการติดเชื้อในจังหวัดนั่นแหละ ถึงจะเริ่มตื่นตัวกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ความรู้สึกปลอดภัยก็เป็นสิ่งดีที่ทำให้คนเราไม่แตกตื่นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ความไม่แตกตื่นที่มากเกินไปมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนะครับ เราก็ควรที่จะตื่นตัวและระมัดระวังตัวอยู่เสมอ และอย่าให้ความรู้สึกปลอดภัยกลายมาเป็นความประมาท ขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่ตื่นตูมมากเกินไป ฟังข่าวอย่างมีสติ แล้วเราจะผ่านพ้นวิกฤตระดับโลกนี้ไปด้วยกันครับ
ติดตามบทความใหม่เกี่ยวกับเรื่องน่ารู้และเรื่องแปลก ๆ ของประเทศญี่ปุ่นทาง LINE TODAY: TOP PICK TODAY จากผมได้ทุกวันเสาร์นะครับ
ช่องทางการติดตามเพิ่มเติม
Facebook :Eak SummerSnow
Youtube : Eak SummerSnow
ข่าวอ้างอิง : NHKNEWS , 朝日新聞 , Okinawa News Ryukyu Shimpo
ความเห็น 31
Worapong Thamasith
เห็นว่าเหตุการณ์นี้ดี เป็นเรื่องสอนใจ สุขภาพ คุณค่าของการรักษ์โลก ทำลายธรรมชาติ เรื่องระเบียบมารยาทในสังคมแต่ละประเทศ เรื่องของสงครามชีวภาพ เรื่องของเศรษฐกิจที่ตั้งเป้าแต่การท่องเที่ยวอย่างเดียว เรื่องการฉกฉวยภัยพิบัติแต่ละประเทศ จะได้รู้จักตัวเองและนานาประเทศ
02 ก.พ. 2563 เวลา 02.46 น.
Fon
ที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้น่ากลัว อัตราผู้ติดเชื้อที่เพิ่มต่อวันก็ลดลงแล้ว สัดส่วนคนหายป่วยก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับคนตาย
01 ก.พ. 2563 เวลา 17.29 น.
แต่เมืองไทยถ้าไม่ถูกใจด่ากันเจ็ดชั่วโคตรเลย55555
01 ก.พ. 2563 เวลา 15.32 น.
kasem
เขาไม่มีคนเลวหรือสส.เลวๆคอยปล่อยข่าวเฟคนิวส์ให้ชาวบ้านวิตกมากขึ้นเกินจริง
01 ก.พ. 2563 เวลา 15.04 น.
yoohoo
เราก็เชื่อมั่นในรบ.เราเช่นกัน
01 ก.พ. 2563 เวลา 13.33 น.
ดูทั้งหมด