โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

‘ริวกิว’ ไม่ได้มีแต่ปลาหวานและไข่ปลา ความแตกต่างระหว่างโอกินาว่าและญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่

conomi

อัพเดต 04 ธ.ค. 2566 เวลา 11.46 น. • เผยแพร่ 02 ธ.ค. 2566 เวลา 12.00 น. • conomi.co

เวลาพูดคำว่า ‘ริวกิว’ ชาวไทยส่วนใหญ่จะรู้จักในนาม ‘ปลาริวกิว’ ที่มีลักษณะเป็นปลาหวานตากแห้ง หรือไม่ก็รู้จัก ‘ไข่ปลาริวกิว’ หรือที่บางท้องถิ่นในไทยเรียกว่า ‘ไข่ปลาเรียวเซียว’ ก็มี อย่างไรก็ตามในประวัติศาสตร์นั้น ปลาริวกิวและไข่ปลาริวกิวไม่ได้มาจากดินแดนที่ชื่อว่าริวกิวแต่อย่างใด หากแต่อยุธยาของไทยและราชอาณาจักรริวกิวได้มีการติดต่อค้าขายกันมานานน่าจะสัก 500 ปีได้ โดยพ่อค้าจากริวกิวน่าจะได้ปลาชนิดนี้จากแหล่งน้ำแห่งใดแห่งหนึ่งระหว่างเดินทางมาอยุธยา ชาวอยุธยาจึงเรียกปลาชนิดนี้ว่าปลาริวกิวเสียเลย เพื่อแสดงว่าเป็นปลาจากพ่อค้าชาวริวกิว ไม่ได้แปลว่าเป็นปลาจากดินแดนริวกิวแต่อย่างใด

เมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้เขียนมีโอกาสได้ไปงาน Okinawan Festival ที่จัดโดยสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และผู้เขียนเองเคยใช้ชีวิตอยู่ที่ริวกิวมา 1 ปีเต็ม วันนี้จึงจะขอเล่าเรื่องของริวกิวในลักษณะเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ให้อ่านกัน

ระบอบการปกครองของริวกิว VS ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่

ปราสาทซูริ

ประเด็นแรกที่ชัดมากคือชื่ออย่างเป็นทางการของริวกิวคือ ราชอาณาจักรริวกิว (琉球王国: The Ryukyu Kingdom) โดยมีอักษรคำว่าราชาหรือกษัตริย์ (王) คือ King จึงปกครองด้วยระบอบ King ในขณะที่ญีปุ่นแผ่นดินใหญ่นั้นมีชื่อทางการก่อนแพ้สงครามโลกครั้งที่สองคือ มหาจักรวรรดิญี่ปุ่น (大日本帝國: The Empire of Japan) โดยมีอักษรคำว่าจักรวรรดิ (帝) หรือ Empire จึงปกครองด้วยระบอบ Emperor คือจะเรียกว่าจักรพรรดิ (เราจะไม่เรียกจักรพรรดิญี่ปุ่นว่าราชาญี่ปุ่นหรือกษัตริย์ญี่ปุ่น) เพียงแต่ช่วงต้นคริสตวรรษที่ 17 นั้น ชาวแคว้นซัตสึมะของญี่ปุ่นได้บุกไปยึดริวกิวเข้าเป็นเมืองขึ้น และอาศัยริวกิวซึ่งมีสัมพันธภาพอันดีกับราชวงศ์ชิงของจีน จึงใช้ริวกิวทำการค้ากับราชวงศ์ชิงอยู่หลายปี จนกระทั่งรัฐบาลญี่ปุ่นในยุคเมจิหลังการปฏิรูปเมจิได้เปลี่ยนชื่อริวกิวให้กลายเป็นโอกินาว่า (沖縄) ในปี ค. ศ. 1879 และกลายเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นไป แต่จนกระทั่งทุกวันนี้ชาวโอกินาว่าก็ยังมีหลายคนนิยมเรียกญี่ปุ่นว่า ‘ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ (日本本土: Mainland Japan)’ เพราะจังหวัดโอกินาว่าอยู่ไกลออกไปจากประเทศญี่ปุ่นมาก ๆ เพราะจริง ๆ เป็นต่างประเทศนั่นเอง

ภูมิอากาศของริวกิว VS ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่

โอกินาว่า

อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีของโอกินาว่าคือ 23.1 องศาเซลเซียส ในขณะที่อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีของโตเกียวคือ 15.4 โดยโอกินาว่าเป็นจังหวัดเดียวในประเทศญี่ปุ่นที่ไม่เคยมีหิมะตกมาก่อน ลักษณะอากาศเป็นอากาศแบบท้องทะเลตลอดปี และพืชผลประจำจังหวัดต่าง ๆ ล้วนเป็นพืชเมืองร้อนเช่น อ้อย สัปปะรด ซีกวาซ่า (Okinawan citrus fruit) เป็นต้น แม้กระทั่งกระแสน้ำที่รายล้อมโอะกินะวะอยู่ก็เป็นกระแสน้ำอุ่นกว่าญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ ทำให้ผลิตผลจากท้องทะเลโอกินาว่ามีจุดเด่นที่แตกต่างจากของญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่อยู่มากพอสมควร

อาหารการกินของริวกิว VS ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่

โซบะโอกินาว่า

อาหารหลักของชาวโอกินาว่าก็จะแตกต่างจากชาวญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่โดยสิ้นเชิง นิยมบริโภคมะระ เต้าหู้ เนื้อหมูตุ๋นพะโล้คล้ายของจีน แม้แต่อาหารเส้นก็จะบริโภคโอกินาว่าโซบะซึ่งคล้ายเส้นโซบะจีนสีเหลือง ไม่ใช่เส้นโซบะญี่ปุ่นสีเทาหม่นแบบในอาหารญี่ปุ่นปกติ และน้ำซุปของโซบะก็มักเป็นซุปพะโล้ตุ๋นกับเหล้าอะวะโมะริ แม้กระทั่งชาที่ชาวโอกินาว่านิยมดื่มก็จะนิยมดื่ม ‘ซัมปิงชะ (さんぴん茶)’ ที่เป็นชามะลิคล้ายของจีน มากกว่าจะดื่มชาเขียวแบบชาวญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ แต่ในปัจจุบันก็มีอาหารญี่ปุ่นปกติและชาเขียวปกติแผ่อิทธิพลเข้าไปในโอกินาว่ามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

แม้แต่เหล้า ก็ยังแตกต่างกัน (อ่านรายละเอียดได้ใน: อะวะโมะริ (泡盛) เหล้าเชื่อมสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น) โดยชาวญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่แต่เดิมทำเป็นเพียงเหล้าหมักเท่านั้น ไม่ได้ชำนาญการกลั่นเหล้า แต่ชาวริวกิวรับภูมิปัญญาการกลั่นเหล้าไปจากชาวอยุธยาจนกลั่นเหล้าอะวะโมะริเป็น โดยใช้ข้าวไทยเป็นพื้นฐานในการกลั่น และถ่ายทอดภูมิปัญญาการกลั่นเหล้าไปที่ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่จนกลายเป็นต้นตระกูลของเหล้าโชจู (焼酎: Shochu) ญี่ปุ่นที่ใช้ข้าวญี่ปุ่นไป

ศิลปะการต่อสู้มือเปล่าของริวกิว VS ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่

คาราเต้

โอกินาว่าเป็นเมืองร้อน และสมัยที่ยังเป็นราชอาณาจักรริวกิวนั้นมีกฎหมายเข้มงวดห้ามประชาชนพกพาอาวุธ แต่เนื่องจากเป็นเมืองท่าจึงมีการแลกเปลี่ยนวิทยายุทธกับจีนและกับหลาย ๆ วัฒนธรรมในยุคนั้น จนพัฒนาขึ้นเป็นวิชาต่อสู้มือเปล่าคือคาราเต้ (唐手) (อ่านรายละเอียดได้ใน : คาราเต้: ความเป็นมาก่อนจะกลายเป็น 1 ในกีฬาโอลิมปิก 2020) คือเน้นไปที่การเตะ ต่อย ไปทางคล้ายวิทยายุทธของจีน แม้จะมีการฝึกอาวุธก็เป็นการประยุกต์อุปกรณ์การเกษตรหรือปศุสัตว์มาเป็นอาวุธเสียมากกว่าจะใช้อาวุธจริง ๆ แต่ในทางตรงกันข้าม ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่นั้นอากาศหนาวกว่า และธรรมเนียมการออกรบคือซามูไรมักต้องใส่เกราะเหล็กทั้งตัว มีการต่อสู้กันด้วยดาบซามูไรและอาวุธประเภทต่าง ๆ ดังนั้นศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่จึงไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การเตะและต่อยเพราะไม่มีประสิทธิภาพในการไปเตะต่อยเกราะเหล็กหนา ๆ ในสนามรบ แต่ไปเน้นพัฒนาเทคนิคการบิดกระดูก บิดเส้นเอ็น หักข้อต่อ และจับทุ่มเพื่อให้ช้ำในจากน้ำหนักของเกราะ แล้วค่อยใช้อาวุธเสียบเข้าไปตามร่องข้อต่อของชุดเกราะมากกว่า จึงเป็นวิชาแนวจูจุทสึ (柔術) ซึ่งเป็นต้นตระกูลของไอกิโด (合気道) และยูโด (柔道) ในปัจจุบัน แม้ในปัจจุบันอิทธิพลของวิชาคาราเต้จะเผยแพร่ไปสู่ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่และเผยแพร่ไปทั่วโลก แต่คาราเต้ต้นตำรับแบบโอกินาว่าก็ยังมีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากคาราเต้ญี่ปุ่นอย่างชัดเจน

นิสัยใจคอของผู้คนริวกิว VS ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่

คนริวกิว

ผู้คนในโอกินาว่ามีนิสัยคล้ายคนไทยอย่างมาก คือไม่ค่อยตรงต่อเวลานัก อะลุ้มอล่วย ยืดหยุ่นกับอะไรหลาย ๆ อย่าง และชอบความเฮฮาสนุกสนาน มากกว่าชาวญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่อย่างเห็นได้ชัด แม้แต่วิธีจัดปาร์ตี้ก็ต่างกันคือชาวโอกินาว่าเวลามีงานรื่นเริงมักจะปิดท้ายงานโดยการค่อย ๆ เกณฑ์หรือดึงแขกในงานออกมารำวงแบบโอกินาว่าที่เรียกว่า คะจะชี (カチャーシー) คือออกมารำเฮฮามั่ว ๆ กันอยู่หน้าเวทีจนกว่าจะเลิกงาน ในขณะที่ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่จะมีลักษณะของงานพิธีการมากกว่า แล้วถ้าอยากเฮฮาค่อยนัดวงเล็กไปต่อร้าน 2 ร้าน 3 กันเอาเอง ไม่สามารถเฮกันสุดขีดกัน ณ พื้นที่งานทางการได้แบบที่โอกินาว่า

สรุป

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้โอกินาว่าค่อย ๆ รับความเป็นญี่ปุ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ และโลกแห่งอินเทอร์เน็ตก็ได้เชื่อมโยงญี่ปุ่นทุกจังหวัดเข้าด้วยกันหมดแล้ว ทำให้ลักษณะเด่นของริวกิวแบบดั้งเดิมค่อย ๆ พร่าเลือนไป สำหรับชาวไทยเองหากไปท่องเที่ยวญี่ปุ่น การได้รับรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นย่อย ๆ ของญี่ปุ่นในขณะที่ท่องเที่ยวโดยตระหนักรู้และให้ความเคารพ ย่อมดีกว่าการมองญี่ปุ่นแบบเหมารวมทั้งประเทศ และแนวคิดการให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมท้องถิ่นย่อยนี้ก็อาจกลับมาเป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นของไทย และอาจโยงไปสู่การอนุรักษ์และพัฒนาสินค้าท้องถิ่นหรือธุรกิจวัฒนธรรมท้องถิ่นของไทยได้บ้าง ก็เป็นได้

ขอบพระคุณ

สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย

เว็บไซต์ Conomi.co

บริษัท DMK (Thailand) Co., Ltd.

ทีมงานที่เดินทางมาจากจังหวัด Okinawaทุกท่าน

ที่กรุณาให้โอกาสได้เข้าร่วมงาน

เกี่ยวกับผู้เขียน

วีรยุทธ พจน์เสถียรกุล เป็นคนไทยเพียงไม่กี่คนที่เคยศึกษาที่มหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่นมาแล้วถึง 4 แห่ง โดยเคยได้รับทุนแลกเปลี่ยนระหว่างที่ว่าการจังหวัด Okinawa และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปศึกษาที่ The University of the Ryukyus รวมทั้งเคยได้รับทุนรัฐบาลญี่ปุ่นแบบสอบผ่านสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ไปศึกษาที่ 1) Tokyo University of Foreign Studies / 2) International Christian University / และ 3) Keio University มีประสบการณ์ทำงานที่หลากหลาย เคยเป็นผู้สื่อข่าวและผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ให้บริษัท Nippon Production Service (บริษัทในเครือสถานีโทรทัศน์ NHK) / เป็นผู้สอนภาษาไทยที่สถาบันภาษาไทยหลายแห่งในโตเกียว / เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติที่สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) / เป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจและการตลาดให้บริษัท Corporate Directions Inc. ของประเทศญี่ปุ่น / เป็นผู้ก่อตั้งสาขาภาษาญี่ปุ่นธุรกิจของคณะศิลปศาสตร์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ / เป็นผู้อำนวยการบริษัท AIRA Capital และเป็นทีมงานก่อตั้งบริษัท AIRA and AIFUL รวมทั้งบัตรกดเงินสด A-Money / เป็นที่ปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์ของบริษัท TOYO Business Service / เป็นที่ปรึกษาด้านทรัพยากรมนุษย์ของบริษัท JECC ประเทศญี่ปุ่น / เป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจของบริษัท Business Consultants South East Asia / มีประสบการณ์สอนในมหาวิทยาลัยมากกว่า 10 แห่งในประเทศไทย / เป็นที่ปรึกษาและจัดฝึกอบรมให้องค์กรหลายแห่ง

ปัจจุบันมีธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเองคือ บริษัท Consulting Agency for Talent จำกัด ทำธุรกิจให้คำปรึกษาด้านพัฒนาองค์กรและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HROD และ HRD) / เป็นนักวิชาการอิสระ / วิทยากรอิสระ / นอกจากเขียนคอลัมน์ที่ Conomi แห่งนี้แล้ว ก็เขียนคอลัมน์ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ / เขียนคอลัมน์ให้ The PEOPLE Online Magazine / เขียนคอลัมน์ให้ Marumura และยังคงใฝ่เรียนรู้สิ่งใหม่ต่าง ๆ อยู่เสมอแม้ว่าจะมีปริญญา 7 ใบแล้วก็ตาม

ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่

Facebook : รวมผลงานของวีรยุทธ – Weerayuth’s Ideas

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...