โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

“นั่นไง รอยยิ้มของฉัน”

TheHippoThai.com

เผยแพร่ 12 ต.ค. 2561 เวลา 13.00 น. • TEERAPAT LOHANAN

“นั่นไงรอยยิ้มของฉัน”

BY : TEERAPAT LOHANAN

สองปีผ่านไปแล้ว กับเรื่องราวการสูญเสียที่ตราตรึงอยู่ในใจคนไทยทั่วทุกหย่อมหญ้า เรื่องของมหาราชา พระนามว่า ภูมิพลฯ พ่อหลวงในดวงใจของพวกชาวไทยทุกคน 

ถ้าจะถามคนไทยทุกคนว่ารักพ่อมากแค่ไหน แน่นอนเลยว่าคงพร้อมใจตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “รักที่สุดในโลก” ไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆเพิ่มเติม เพราะสิ่งที่พ่อทำให้พวกเรา มันชัดเจนมากเพียงพออยู่แล้วว่าทำไม คนไทยถึงรักพ่อ

แต่ในโลกใบนี้ ยังมีบุคคลอีกบุคคลหนึ่งที่รักพ่อไม่เคยเหินห่าง คอยดูแลพ่ออยู่เคียงข้างในทุกๆวัน บุคคลนั้น คือคนที่เราเรียกกันว่า “แม่” หรือ “สมเด็จพระราชินีฯ”

เนื่องในวันระลึกครบรอบสองปีของการจากไปของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เรามาร่วมระลึกถึงเรื่องราวความรักของบุคคลที่คนไทยทั้งประเทศเรียกว่า “พ่อ กับ แม่” กันดีกว่า

รักแรกพบ เรื่องราวความรักของทั้งสองพระองค์ โดยมากเป็นการเปิดเผยผ่านคําบอกเล่าและบันทึกของราชวงศ์ บุคคล สําคัญ และข้าราชบริพารที่ถวายงานรับใช้ใกล้ชิด ทั้งหมดมีมุมน่ารักที่ทําให้อดยิ้มตามไม่ได้ 

วันหนึ่งในปีพ.ศ. ๒๔๘๙ วันที่ทรงแรกพบ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  ซึ่งประทับอยู่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เสด็จฯ ไปยังประเทศฝรั่งเศส เพื่อทอดพระเนตรรถยนต์พระที่นั่งแทนคันเดิมซึ่งทรงใช้มานาน โปรดเกล้าฯ ให้ “ม.จ.นักขัตรมงคล กิติยากร” เอกอัครราชทูตไทยประจํากรุงปารีสพร้อมครอบครัวเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันนี้เองที่ทรงพบกับ “ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร” ธิดาของ ม.จ.นักขัตรมงคล และ ม.ล.บัว กิติยากร ที่มารับเสด็จ โดยวันนั้น ม.ร.ว.สิริกิติ์ แต่งตัวเรียบร้อย สวมสูทสีเนื้อ ไว้หางเปียยาวถึงหลัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาถึงช้ากว่ากําหนด ทราบสาเหตุภายหลังว่า เนื่องจากรถยนต์พระที่นั่งเกิดเสียและน้ำมันหมด ตรัสว่า 

ทรงจําได้ดีถึงสีหน้าของ ม.ร.ว.สิริกิติ์ที่ทั้งหิวและรอนาน เมื่อเสด็จฯ มาถึงราชเลขาฯ ได้เชิญแต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย  แล้วให้เด็กไปรับประทานอาหารจีนอีกที่ จึงทําให้ ม.ร.ว.สิริกิติ์เคืองอยู่นิดๆ เมื่อตรัสถึงเรื่องนี้ทั้งสองพระองค์จะทรงพระสรวล โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  ทรงล้อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ว่า  "เดินตุปัดตุเป้ หน้างอ คอยถอนสายบัว"  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทรงกราบบังคม ทูลตอบว่า…

"ที่หน้างอ เพราะให้แต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย เด็กกลับไล่ไปกินที่อื่น" 

ก่อนทรงได้พบกับม.ร.ว.สิริกิติ์ ทรงทราบถึงความน่ารัก จากสมเด็จพระราชชนนีมาก่อนแล้ว ในการเสด็จเยือนปารีสครั้งแรก สมเด็จพระราชชนนีรับสั่งเป็นพิเศษว่าให้ไปทอดพระเนตรลูกสาวของ  ม.จ.นักขัตรมงคล  ว่าจะสวย น่ารักไหม ทรงกําชับว่าเมื่อถึงปารีสแล้วให้โทร.บอกแม่ด้วย 

เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถึงก็ทรง โทรศัพท์หาและตรัสว่า "เห็นแล้วน่ารักมาก.."

เนื่องจากเวลาเสด็จฯ ยังกรุงปารีส พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชประทับที่สถานทูตไทย ทําให้ครอบครัวม.จ.นักขัตรมงคล ซึ่งรวมถึงม.ร.ว.สิริกิติ์ เป็นที่คุ้นเคยเบื้องพระยุคลบาท ความที่ได้พบพระพักตร์บ่อยครั้ง ทั้งยังมีความชอบในสิ่งเดียวกัน โดยเฉพาะการดนตรี ประกอบกับนิสัยร่าเริง สุภาพอ่อนน้อม และขี้อายในบางครั้ง ทําให้ยิ่งประทับพระราชหฤทัย โดยมีความสวยงาม ของเมืองโลซานเป็นฉากหลังที่โรแมนติกและมีความหมายยิ่งต่อทั้งสองพระองค์ 

ข่าวใหญ่ที่ทําให้ประชาชนชาวไทยตกใจเป็นอย่างมากในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ คือข่าวพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์นอกเมือง โลซาน ระหว่างที่ประทับรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลใน ตําบลเมอร์เซสนั้น รับสั่งให้ราชองครักษ์ติดต่อไปยัง ม.จ.นักขัตรมงคล ให้ม.ล.บัว กิติยากร พาธิดาทั้งสองคือ ม.ร.ว.สิริกิติ์ และ ม.ร.ว.บุษบา เข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการที่ โรงพยาบาลเป็นประจําทุกวัน มีพระราชกระแสรับสั่งว่า เมื่อทรงฟื้นคืนพระสูติครั้งแรก ทรงระลึกถึงบุคคลเพียง ๒ คน คือ "สมเด็จพระราชชนนี" และ "ม.ร.ว.สิริกิติ์"

เรื่องนี้ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ได้กล่าวว่าสิ่งแรกเมื่อรู้สึกพระองค์คือทรงหยิบรูปม.ร.ว.สิริกิติ์ ออกจากพระกระเป๋า ส่งถวายสมเด็จพระราชชนนีพร้อมกับรับสั่งว่า … "แม่ เรียกสิริมาที" 

ท่านผู้หญิงเกนหลงกล่าวว่ารูป ม.ร.ว.สิริกิติ์ รูปนั้นเป็นรูปแรกที่ทรงถ่ายเป็นรูปหมู่ ที่ถ่ายตอนบุคคลเข้าเฝ้าฯ ณ สถานทูต ม.ร.ว.สิริกิติ์อยู่เป็นคนสุดท้าย เห็นหน้าไม่ชัด พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  รับสั่งว่า "…ยู้ฮู คนข้างหลังโผล่หน้ามาหน่อยสิ.."  รูปนั้นทรงตัดเฉพาะหน้า ม.ร.ว.สิริกิติ์ ไว้ในพระกระเป๋า 

ในปีพุทธศักราช ๒๕๒๑ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระราชทานสัมภาษณ์ ในภาพยนตร์สารคดี เรื่อง "ขวัญของชาติ" ออกเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ บีบีซี กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พระราชทานสัมภาษณ์ถึง รักแรกพบ มีความตอนหนึ่งว่า .. "สําหรับข้าพเจ้าเป็นการเกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย ๔ โมง แต่จริงแล้วเสด็จมาถึง ๑ ทุ่ม ช้ากว่านัดหมายตั้ง ๓ ชั่วโมง ทรงทําให้ข้าพเจ้าต้องซ้อมถอนสายบัวอยู่จนแล้วจนเล่า จึงเป็นการเกลียดเมื่อแรกพบมากกว่ารักเมื่อแรกพบ ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่า พระองค์ท่านทรงรักข้าพเจ้า เพราะเวลานั้นอายุเพิ่งย่าง ๑๕ ปี ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นนักเปียโน เป็นนักเปียโนที่แสดงในงานคอนเสิร์ต 

“ตอนพระองค์ท่านประทับที่โรงพยาบาลหลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ มีพระอาการหนักมาก ตํารวจเขาโทรศัพท์ไปกราบบังคมทูลสมเด็จพระราชชนนี พระองค์ท่านรีบเสด็จไปทันที แต่แทนที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จะมีพระราชปฏิสันถารกับพระองค์ท่าน กลับทรงหยิบรูปข้าพเจ้าออกมาจากกระเป๋าโดยที่ข้าพเจ้าไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า พระองค์ทรงมีรูปของข้าพเจ้าอยู่ แล้วพระองค์ก็ตรัสให้นําตัวข้าพเจ้าเข้าเฝ้า พระองค์ทรงรักข้าพเจ้า ตอนนั้นข้าพเจ้าคิดถึงแต่เรื่องที่จะอยู่กับคนที่ข้าพเจ้ารักเท่านั้น ไม่ได้นึกไปไกลถึงหน้าที่ และภารกิจของพระราชินีเลย…"

ความที่ม.ร.ว.สิริกิติ์เข้าเฝ้าฯ และถวายการพยาบาลอย่างใกล้ชิด ทําให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ในเดือน กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ ม.จ.นักขัตรมงคลเข้าเฝ้าฯ ที่นครโลซาน ทรงมอบหมายให้ ม.จ.จักรพันธุ์เพ็ญศิริ  จักรพันธุ์ เป็นผู้ทูลเกริ่นทาบทามเรื่องที่จะทรงขอหมั้นก่อน ขณะที่พระองค์เองมีพระราชดํารัสเป็นการส่วนพระองค์กับม.ร.ว.สิริกิติ์ล่วงหน้าแล้ว 

พระราชพิธีทรงหมั้นจัดขึ้นเป็นการภายใน ณ โรงแรมวินด์เซอร์ เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๔๙๒ โดยค่ำวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๔๙๒ มีงานเลี้ยงที่สถานทูตไทยในกรุง ลอนดอน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศข่าวทรงหมั้นให้คนไทยทราบ โดย  จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเป็นผู้ประกาศ 

ข่าวที่เผยแพร่ออกไปนํามาซึ่งความดีใจ แก่ประชาชนไทยเป็นอย่างยิ่ง สื่อมวลชนหลายสํานักทั่ว โลกต่างนําเสนอข่าวนี้ หลังพระราชพิธีหมั้นผ่านไป ๗ เดือน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัติประเทศไทยทางชลมารค โดยมีม.ร.ว.สิริกิติ์และครอบครัว  รวมถึงข้าราชบริพารตามเสด็จ

หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล  ประมาณ ๑ เดือน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสขึ้นในวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๔๙๓ ณ วัง สระปทุม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์ อ่านสถาปนา ม.ร.ว.สิริกิติ์ เป็น “สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์” 

วันต่อมาเสด็จฯ ไปประทับพักผ่อนพระอิริยาบถและฮันนีมูนที่พระตําหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อําเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเวลา ๓ วัน พร้อมด้วยคณะผู้ตามเสด็จโดยรถไฟ ตลอดเส้นทางที่เสด็จฯนั้นมีประชาชนมาเฝ้าฯ รับเสด็จเนืองแน่น ส่วนหนึ่งต้องการยลพระสิริโฉมของพระราชินีนั่นเอง 

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทรงปฏิบัติหน้าที่ภรรยาโดยไม่ขาดตกบกพร่อง โดยเสด็จฯ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อยู่เสมอ ทั้งในและต่างประเทศและในถิ่นทุรกันดาร 

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งปี ๒๕๐๓ ในขณะที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา ได้มีนักข่าวต่างประเทศกราบบังคมทูลถามว่า “ทำไมพระองค์จึงทรงเคร่งขรึมนัก ไม่ทรงยิ้มเลย” พระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปทาง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และมีพระราชดำรัสว่า 

“She is my smile.” หรือแปลว่านั่นไงรอยยิ้มของฉัน”

 

เอกสารประกอบเรื่องราวจาก 

FB :นิทรรศการพลังแผ่นดิน อัศจรรย์งานศิลป์ แผ่นดินสยาม http://www.facebook.com/Signnagas

หนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้าสตรี ๑๐ ก.พ. ๒๕๕๕ 

ภาพยนตร์สารคดี เรื่อง "ขวัญของชาติ"

 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0