โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

กอบศักดิ์ เจาะลึก สงครามการค้าโลก ของทรัมป์ พร้อมแนะทางรอดของ ไทย ใน 4 ปีหลังจากนี้

การเงินธนาคาร

อัพเดต 08 ก.พ. เวลา 17.33 น. • เผยแพร่ 06 ก.พ. เวลา 10.45 น.

เปิดมุมมอง กอบศักดิ์ ภูตระกูล หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดฉากสงครามการค้ารอบใหม่ อะไรจะเกิดขึ้น และ ไทย จะเอาตัวรอดอย่างไร ใน 4 ปีหลังจากนี้

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาให้ความเห็นผ่านรายการ ทันเศรษฐกิจ “By Bangkok Bank EP.02” ผ่านทางเฟซบุ๊ก Bnomics เกี่ยวกับประเด็น “สงครามการค้าโลกรอบใหม่” ซึ่งได้ก่อตัวขึ้นภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่ 2 และเป็นการเปิดฉากม่านแห่งความปั่นป่วนวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในช่วง 4 ปีหลังจากนี้

ภาษีศุลกากรสหรัฐในอดีต

ประเด็นสำคัญที่หลายคนกังวลใจในสงครามการค้าครั้งนี้ก็คือ ภาษีศุลกากร ซึ่งนายทรัมป์ได้จัดตั้งหน่วยงานจัดตั้งภาษีขึ้นมาเพื่อจัดการเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ โดยนายกอบศักดิ์เล่าว่า เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปดูในอดีตของสหรัฐ ซึ่งนายรีด สมูต สมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกันประจำรัฐยูทาห์ และนายวิลลิส ฮอว์ลีย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันประจำรัฐออริกอน ได้เสนอร่างกฎหมายภาษีศุลกากรฉบับใหม่ ในปี 2572 ซึ่งเป็นปฏิวัติระบบการเก็บภาษีศุลกากรสหรัฐและเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก นั่นก็คือ กฎหมาย “Smoot-Hawley Tariff Act” ซึ่งผ่านรัฐสภาและเดินหน้าบังคับใช้ในปี 2573

เดิมที่แล้วอัตราภาษีศุลกากรโดยเฉลี่ยที่สหรัฐกำหนดนั้นอยู่ที่ประมาณ 38% แต่ภายใต้กฎหมายฉบับใหม่ดังกล่าว สินค้ามากกว่า 20,000 รายการที่สหรัฐนำเข้านั้นถูกขึ้นภาษีเป็น 60% โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องสหรัฐในด้านการค้าและไม่ให้ต่างประเทศส่งสินค้าเข้ามาในสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด ในระหว่างนั้น บรรดาประเทศเศรษฐกิจใหญ่อื่น ๆ ก็ได้ออกมาตรการภาษีตอบโต้ โดย แคนาดา ปรับขึ้นภาษี 50% และหลายประเทศในยุโรปปรับขึ้นประมาณ 30%-40% และอังกฤษได้ให้สิทธิงดเว้นภาษีนำเข้าสำหรับประเทศในอาณานิคม และทำให้การนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น ๆ เป็นไปอย่างยากลำบาก โดยภายในระยเวลา 5 ปี การค้าโลกหายไป 60% ลดลงเหลือเพียง 40% เท่านั้น

ในช่วงเวลาดังกล่าวยังเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตระดับโลก ซึ่งก็คือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ที่ส่งผลกระทบในทุกภาคส่วน ตลาดหุ้นร่วงดิ่งลงเหว และประชาชนชาวอเมริกันไม่มีรายได้ เนื่องจากไม่มีงานทำ โดยอัตราการว่างงานสูงถึง 25% ภายในระยะเวลาเพียง 2-3 ปี และเกิดขึ้นต่อเนื่องนานถึง 10 ปีเต็ม ๆ เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่อัตราการตกงานของสหรัฐอยู่ที่ประมาณ 4-5% นายกอบศักดิ์กล่าวในช่วงเวลาดังกล่าว ชาวอเมริกันต่างต้องออกมาเดินขบวนถือป้ายประกาศหางาน ซึ่งนำไปสู่การเดินขบวนครั้งใหญ่ทุกเมืองทั่วประเทศ ผลกระทบเหล่านี้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญคือการจัดตั้งองค์กรต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า การค้าโลกที่หายไป การตกงานจำนวนมากถึง 1 ใน 4 และราคาหุ้นที่ร่วงอย่างหนักส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐย่อยยับ ดังนั้นบรรดานักเศรษฐศาสตร์ที่ได้เรียนรู้เหตุการณ์ในอดีตว่าหากมีลัทธิปกป้องทางการค้าเกิดขึ้นจะสร้างผลเสียอย่างมาก

ความกังวลเหล่านี้ได้เกิดขึ้นเมื่อนายทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้า 25% กับแคนาดาและเม็กซิโก และ 10% กับจีน โดยปฏิกิริยาของตลาดนั้นเห็นได้ชัดจากดัชนี Dow Jones และดัชนี Nasdaq ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ร่วงลง ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยได้ปรับตัวพุ่งสูงขึ้น ในขณะทีสกุลเงินดอลลาร์แคนาดาและเปโซเม็กซิโก อ่อนค่าลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แม้แต่บิตคอยน์ (Bitcoin) ก็ผันผวนอย่างหนัก

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นายทรัมป์ประกาศระงับการขึ้นภาษีออกไป 1 เดือน ดอลลาร์สหรัฐก็อ่อนค่าลง ส่วนทองคำปรับตัวพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และใกล้ ระดับ 2,900 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน และความปั่นป่วนนี้เกิดจากลมปากของคนคนเดียว และนั่นจะเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 4 ปี

ทำไมแคนาดา เม็กซิโก และจีน จึงตกเป็นเป้าหมายของทรัมป์

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า หากนายทรัมป์สามารถขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน ได้แล้วล่ะก็ ประเทศอื่น ๆ ก็สามารถตกเป็นเป้าหมายได้เช่นกัน 3 ประเทศนี้คือ คือคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด 3 อันดับแรกของสหรัฐ โดย ณ ปี 2566 มูลค่าทางการค้าระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโกอยู่ที่ 8.04 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แคนาดา 7.78 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และจีน 5.78 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนคำถามที่ว่าทำไมนายทรัมป์ถึงได้ตั้งภาษีกับเม็กซิโกและแคนาดา ทั้งที่เป็นประเทศพันธมิตรที่ดีกันมาอย่างยาวนาน นายกอบศักดิ์ชี้ว่า อยากให้มองดูภาพรวมเป็นหลัก ซึ่งนายทรัมป์มองว่าสหรัฐเสียเปรียบทางการค้าแก่ประเทศเหล่านี้เป็นอย่างมาก โดยข้อมูลในปี 2567 พบว่า สหรัฐนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก 4.756 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และส่งออกไป 3.232 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขาดดุล 15.7% ส่วนแคนาดานั้น สหรัฐนำเข้า 4.213 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งออกไป 353.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นขาดดุล 15.2% และจีน ซึ่งสหรัฐนำเข้า 4.272 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ส่งออกไปเพียง 1.478 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขาดดุล 11.3% ด้วยเหตุนี้ นายทรัมป์จึงต้องจัดการ 3 ประเทศนี้ก่อนเป็นอันดับแรก

ในขณะเดียวกัน แคนาดาและเม็กซิโกต่างเป็นประเทศที่เศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยการค้าเป็นหลัก และการส่งออกคิดเป็นส่วนใหญ่ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยเม็กซิโกส่งออกสินค้าไปสหรัฐมากถึง 74.2% จากการส่งออกทั้งหมด ในขณะที่แคนาดาส่งออกไปสหรัฐมากถึง 77% ดังนั้นเมื่อมีการขึ้นภาษีศุลกากรเกิดขึ้น ทั้งสองประเทศก็ต้องหาทางเลือกใหม่ หรือไม่ส่งออกได้เลย ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ปริมาณการค้าที่มีอยู่ก็ทำให้ต้องจำยอมถอยให้กับสหรัฐ และทั้งสองจะไม่สามารถอยู่ได้เลยหากไม่มีสหรัฐ โดยผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ทั้งนายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา และนางคลอเดีย เชนบาม ประธานาธิบดีเม็กซิโก ต่างก็ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายทรัมป์เพื่อเจรจา ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ได้เลื่อนการขึ้นภาษีออกไป 30 วัน

กอบศักดิ์ ภูตระกูล
กอบศักดิ์ ภูตระกูล

แนวคิดของทรัมป์

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า การจะทำความเข้าใจนายทรัมป์นั้นก็ต้องเรียนรู้วิธีคิดของเขา โดยนายกอบศักดิ์กล่าวถึง หนังสือ “The Art of the Deal” ซึ่งเป็นหนังสือที่นายทรัมป์เป็นผู้เขียน ได้มีการบ่งบอกถึงวิธีการการคิดของนายทรัมป์ โดยส่วนที่สำคัญมากคือวิธีการในการต่อรอง นายทรัมป์เป็นผู้ที่ชื่นชอบการต่อรองเป็นอย่างมาก และเขาจะตั้งเป้าให้สูงเอาไว้ก่อนและต้องคิดใหม่ใหญ่เข้าไว้ จากนั้นจึงผลักดันจนให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ บางครั้งบางครั้งอาจได้ในสิ่งที่ต่ำกว่าที่คาดไว้ แต่ส่วนใหญ่จะได้ในสิ่งที่ต้องการ ตั้งเป้าแล้วก็ตั้งให้ใหญ่ไปเลย ซึ่งนั่นทำให้นายทรัมป์มีความได้เปรียบในการเจรจา

ด้วยการเสนอนโยบายต่าง ๆ ในช่วงหาเสียงไปจนถึงการขึ้นภาษีล่าสุดนี้ หลายฝ่ายมองว่านายทรัมป์เป็นนักพนันและกำลังเสี่ยงดวงอยู่ แต่นายกอบศักดิ์กล่าวว่า นายทรัมป์ระบุไว้ในหนังสือว่าเขามาเคยพนันในชีวิตของเขา คนที่เล่นพนันคือคนที่ไปเล่นสล็อตแมชชีน แต่เขาคือเจ้าของสล็อตแมชชีนนั้น หรืออาจเป็นเจ้าของคาสิโนไปเลย นอกจากนี้แล้ว นายทรัมป์ยังให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นใน ซึ่งการเจรจาจะต้องมีตัวเลือกต่าง ๆ หลาย ๆ อย่างด้วยกัน และไม่ยึดติดกับตัวเลือกเดียวมากเกินไป เพราะหลายครั้งการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ แม้ว่าจะมีโอกาสสัมฤทธิ์ผลก็ตาม

นอกจากนี้แล้ว นายกอบบศักดิ์กล่าวว่า หัวใจในการเจรจาของนายทรัมป์คือาการรู้จักตลาด รู้ว่าจะกำลังทำอะไรอยู่ และมีสัญชาติญาณในเรื่องนี้ นายทรัมป์จะไม่เชื่อข้อมูลการสำรวจตลาดจากคนอื่น แต่จะสำรวจข้อมูลนั้นด้วยตนเองและตัดสินใจเองทั้งหมด ส่วนสิ่งที่ไม่ควรทำและนับว่าแย่ที่สุดในการเจรจา คือการแสดงออกว่าตนเองต้องการอะไร เพราะจะเป็นการเปิดแผลให้ฝ่ายตรงข้ามตะครุบ และเสียเปรียบ การเจรจาที่ดีต้องมีความเข้มแข็งและใช้ข้อได้เปรียบให้เป็น เช่น แคนาดาและเม็กซิโก นายทรัมป์รู้ว่าสหรัฐต้องการสินค้าจาก 2 ประเทศนี้ และทั้ง 2 ประเทศเองก็ต้องการพึ่งพาสหรัฐในการส่งออกเป็นอย่างมาก นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาได้เปรียบ เพราะไม่ว่าเขาจะกำหนดภาษีอะไรเท่าใด แคนาดาและเม็กซิโกก็จะต้องยอม และจะต้องยอมต่อไปเรื่อย ๆ

นายกอบศักดิ์กล่าวอีกว่า นายทรัมป์ยังได้วางแผนไทม์ไลน์ในการกำหนดภาษีไว้แล้ว โดยสาเหตุที่เลือกวันเสาร์ที่ 1 ก.พ. นั่นเป็นเพราะให้โอกาสแคนาดาและเม็กซิโกได้หารือกับบรรดานักการทูต นักธุรกิจ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลก็คือการงัดข้อกับสหรัฐนั้นไม่ใช่ทางออก ซึ่งนายกอบศักดิ์ชี้ว่า นี่คือตัวตอกย้ำว่านายทรัมป์ไม่เล่นพนัน อีกประเด็นคือการกล้าตกเป็นที่ถกเถียง กล้าตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และตกเป็นข่าว และการเป็นผู้ควบคุมสิ่งที่สื่อจะนำไปรายงาน โดยนายทรัมป์จะพูดทุกอย่างผ่าน Truth Social ของเขา และสื่อก็จะรายงานไปตามที่เขาพูดออกไป

เป้าหมายที่แท้จริง

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า เป้าหมายที่แท้จริงของการปรับขึ้นภาษีศุลกากร 25% กับแคนาดาและเม็กซิโก ไม่ได้อยู่ที่เรื่องผู้อพยพ หรือเรื่องยาเสพติด โดยมองว่าสิ่งที่นายทรัมป์คิดอยู่ในใจคือ ข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ปี 2537 ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นข้อตกลงที่ทำให้สหรัฐเสียเปรียบมากที่สุด โดยนายทรัมป์มองว่าสหรัฐโง่เขลามากที่ไปลงนามในข้อตกลงนี้ ซึ่งการขึ้นภาษี 25% จะทำให้สหรัฐกลับมาได้เปรียบอีกครั้ง

สำหรับจีน คำถามที่ว่าทำไมนายทรัมป์ถึงตั้งภาษีกับจีนเพียง 10% นั้น นายกอบศักดิ์กล่าวว่า สหรัฐได้มีการตั้งภาษีศุลกากรกับสินค้าจีนอยู่แล้วตั้งแต่การดำรงตำแหน่งสมัยแรก เรื่อยมาจนถึงสมัยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน และการขึ้นภาษีเพิ่มจะทำให้อัตราอยู่ที่ 25% แต่สิ่งสำคัญคือการยกเลิกเพดานภาษี 800 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับบรรดาสินค้าเล็กน้อย ๆ ราคาต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ ที่ได้รับการยกเว้นภาษี และแพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมถึง Temu ได้ใช้ช่องว่างนี้ในการส่งสินค้ามายังสหรัฐ ซึ่งเป็นการปกป้องธุรกิจขนาดเล็ก หรือ SME ของสหรัฐ ไม่ให้ตายลงเพราะสินค้าราคาถูกจากจีน

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า แคนาดากับเม็กซิโกนั้นแตกต่างจากจีน เพราะทั้งสองประเทศนี้จะยอมการต่อรองของนายทรัมป์ แต่จีนจะไม่ยอมอย่างแน่นอน และมูลค่าการค้าไปยังสหรัฐนั้นไม่ได้ทำให้จีนเดือดร้อนขนาดที่ขาดสหรัฐไม่ได้ จีนจึงนิ่งมากและแทบไม่แสดงท่าทีกับการขึ้นภาษีของนายทรัมป์ และตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสำหรับ ถ่านหิน ก๊าซ น้ำมัน และเครื่องจักรการเกษตร เครื่องจักรใหญ่ และแร่ธาตุยากต่าง ๆ ซึ่งมีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้แล้ว จีนยังได้ร้องเรียนไปยังองค์การการค้าโลก (WTO) ว่าสหรัฐผิดกติกาการต้า พร้อมกับดำเนินการสอบสวนกูเกิล (Google) ด้วยประเด็นการผูกขาดตลาด โดยภาษีกับจีนอาจมีมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประชาชนชาวอเมริกันจะต้องรับภาระในส่วนนี้ แต่ก็นับว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจสหรัฐที่มีมูลค่า 29 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเหตุนี้ จีนจึงต่างจากเม็กซิโกและแคนาดา เพราะจีนต้องการเดินหน้าสงครามการค้าอย่างแท้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง

นายกอบศักดิ์กล่าวอีกว่า ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี นั้น สหรัฐนำอยู่เพียง 4 ด้าน ในขณะที่จีนนำอยู่มาก 37 ด้าน จากทั้งหมดกว่า 40 ด้านทั่วโลก ทั้งที่จีนเพิ่งเปิดประเทศได้ไม่นาน และเริ่มเปิดเศรษฐกิจในช่วงปี 2543 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีของจีนกล่าวไกลไปมาก เซินเจิ้นที่เดิมทุ่งนาได้กลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีและสตาร์ตอัป ซึ่งประเด็นนี้ได้สร้างความกังวลแก่สหรัฐเป็นอย่างมาก ดังนั้นสิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่ Trade War แต่เป็น Tech War โดยสหรัฐกังวลว่าหากปล่อยให้จีนเป็นแบบนี้ต่อไป สหรัฐจะไม่สามารถแข่งขันได้ทันในด้านเทคโนโลยี และการเปิดตัวอย่างฮือฮาของ AI อย่าง DeepSeek ก็แสดงให้เห็นว่าสหรัฐยังตามหลังอยู่

DeepSeek ได้สร้างความวิตกกังวลอย่างมากแก่สหรัฐ และกำลังเร่งดำเนินการหาทางตรวจสอบว่า DeepSeek ใช้ชิปชนิดใดในการขับเคลื่อนระบบ ซึ่งทำให้สามารถแข่งขันกับ ChatGPT ของ OpenAI ได้ ซึ่งนายกอบศักดิ์มองว่า การถือกำเนิดของ DeepSeek น่าจะนำไปสู่การห้ามส่งชิปไปจีนอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้จีนก้าวหน้าได้ไกลไปมากกว่านี้ในด้าน AI และเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ นอกจากนี้แล้ว การแข่งขันกันในด้านระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์มือถือ ทั้ง iOS และ Android รวมถึง Harmony ของ Huawei ก็จะเข้มข้นมากยิ่งขึ้น

นายกอบศักดิ์ยังได้กล่าวถึง นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จับตามองนโยบายหลัก ๆ ของนายทรัมป์อยู่ 4 ประการด้วยกัน ได้แก่ ภาษีศุลกากร ซึ่งเป็นลำดับความสำคัญอันดับหนึ่ง และต้องติดตามว่าสงครามการค้าจะลุกลามไปมากแค่ไหน ประการที่สองคือ ผู้อพยพ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน ค่าจ้างและอัตราเงินเฟ้อ ประการที่สามคือ นโยบายด้านภาษีเงินได้และการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของสหรัฐ และประการสุดท้ายคือ กฎระเบียบและการกำกับดูแลต่าง ๆ โดยพาวเวลกล่าวว่า การติดตามสงครามการค้าครั้งนี้อยู่ที่ว่าอัตราภาษีจะสูงแค่ไหน สงครามดำเนินไปยาวนานแค่ไหน

อย่างเช่นกรณี Great Depression ก็ใช้เวลาประมาณ 4-5 ปี และคลี่คลายลงในช่วงปี 2477 เมื่อสหรัฐเริ่มเจรจาต่อรองกับประเทศอื่น ๆ เพื่อความร่วมมือระดับทวิภาคี นอกจากนี้ ยังรวมถึงว่า ใครบ้างจะได้รับผลกระทบและประเทศเหล่านั้นจะตอบโต้อย่างไร สุดท้ายแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นส่งผ่านเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างไร และอยากให้จับตาว่าในอะไรจะเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนหลังจากนี้ ซึ่งคาดว่ามีประเทศเล็ก ๆ เท่านั้นที่จะยอม และประเทศยักษ์ใหญ่จะสู้กันเอง

ในด้านคริปโทนั้น นายกอบศักดิ์กล่าวว่า แม้คริปโทจะมีความผันผวนมาก แต่มองว่าคริปโทจะได้อานิสงส์ที่ตามมา เพราะนายทรัมป์หาเสียงหนุนคริปโทมาโดยตลอด และตั้งเป้าจะให้สหรัฐเป็นเมืองหลวงคริปโตโลก ซึ่งจะนำไปสู่การร่างกฎหมาย หรือกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เอื้อต่อสกุลเงินดิจิทัล นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกี่ยวข้องที่มีจุดยืนต่อต้านคริปโท รวมถึง นายแกรี่ เจนสเลอร์ ประธานสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) และนายไมเคิล บาร์ รองประธานเฟด ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งไป หลังจากที่นายทรัมป์เข้าสู่ทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการ ซึ่งนั่นเป็นการเปิดทางให้นายทรัมป์แต่งตั้งพันธมิตรที่มีมุมมองสนับสนุนคริปโท ขึ้นมาแทนที่ โดยนายกอบศักดิ์มองว่า ในระยะยาว ทั้ง SEC และ เฟด จะช่วยกันวางมาตรฐานให้คริปโทฝังรากลึกในสหรัฐได้ในช่วง 4 ปีข้างหน้า และจะส่งเสริม และนำบทเรียนจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มาปรับใช้และวางกรอบที่เหมาะสมและทำให้คริปโท ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ ให้เติบโตได้ที่ที่เหมาะสม และก้าวไปอีกระดับได้

การแข่งขันเพื่อเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก

นายกอบศักดิ์ยังชี้อีกว่า การแข่งขันในสงครามครั้งนี้คือ การแย่งกันเป็นที่ 1 ของโลก โดยสหรัฐและพวกพ้องต้องการกีดกันจีนออกจากห่วงโซ่อุปทาน เพื่อไม่ให้ระเบียบของโลกเปลี่ยนขั้วไปอยู่ที่จีน และการรักษาตำแหน่งของดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศอันดับ 1 ของโลก ซึ่งเป็นเหตุผลที่นายทรัมป์ออกมาข่มขู่กลุ่ม BRICS ซึ่งประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ไม่ให้สนับสนุนสกุลเงินอื่นนอกเหนือจากดอลลาร์สหรัฐ และหากตั้งสกุลเงินอื่นขึ้นมาเป็นของตัวเอง ก็จะโดนขึ้นภาษีศุลกากรในอัตรา 100% เพื่อเป็นการลงโทษที่แย่งความเป็นที่ 1 ไปจากสหรัฐ

นอกจากนี้แล้ว สหรัฐยังพยายามทุกวิถีทางในการสกัดกั้นแผนการ “หนึ่งแถบเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ของจีน และแย่งอิทธิพลเหนือคลองปานามาจากจีน เพื่อสกัดอิทธิพลจีนในการค้าโลก ซึ่งนี่จะทำให้โลกแยกขั้ว กลายเป็นสหรัฐ กลุ่ม BRICS และประเทศที่เหลือต่าง ๆ และห่วงโซ่ก็จะหมุนในสองขั้วเหล่านี้ ดังนั้นการค้า หรือยาเสพติด เป็นเพียงข้ออ้างในการสู้รบปรบมือกันเพื่อเป็นผู้นำโลกเท่านั้น ด้วยเป้าหมายก็คือว่า ใครจะชนะและเป็นที่ 1 ของโลกในช่วง 10-20 ปีข้างหน้านี้

นายกอบศักดิ์ย้ำกว่า ทุก ๆ ครั้งที่โลกมีการเปลี่ยนมือของมหาอำนาจอันดับ 1 ก็มักจะเกิดขึ้นหลังจากความขัดแย้งครั้งใหญ่เสมอ นับตั้งแต่ช่วงล่าอาณานิคมเป็นต้นมา ยกเว้นเพียงแค่กรณีอังกฤษ ที่สูญเสียอันดับ 1 ไป เนื่องจากความบอบช้ำจากสงครามโลก และปล่อยนให้สหรัฐขึ้นมาเป็นที่ 1 แทน และแน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่จบง่าย ๆ และจะเป็นภาพยนตร์ยาวนาน 4 ปี ที่เพิ่มเริ่มต้นเพียงแค่การฉากแรกของเรื่องเท่านั้น และอย่างลืมว่า สงครามนี้คือการสู้กันระหว่าง 1 คน กับทั่วโลก การสู้กับเม็กซิโกและแคนาดา คือการรังแกเด็ก ส่วนการสู้กับจีน คือสงครามที่แท้จริงที่สูสี

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า นายทรัมป์กล่าวอยู่ตลอดเวลาว่าอเมริกาจะจะต้องไม่เสียเปรียบใคร ซึ่งนอกจากจีนแล้ว สหภาพยุโรป (EU) ก็ถูกมองว่าเอาเปรียบสหรัฐอย่างไม่เป็นธรรมและสหรัฐขาดดุลเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังจากที่จบการจัดการเม็กซิโกและแคนาดาแล้ว ก็จะถึงเวลาที่นายทรัมป์จะวางกรอบว่าจะจัดการสหภาพยุโรปอย่างไรยังไง ซึ่งเป็นอีกคู่ต่อสู่ที่สมน้ำสมเนื้อ เพราะสหภาพยุโรปก็มีท่าทีไม่ยอมง่าย ๆ เฉกเช่นเดียวกันกับจีน นอกจากนี้ก็ยังมีเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศในเอเชียที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากจีนและฮ่องกง ส่วนไทยอยู่ในอันดับ 13 โดยเกินดุลการค้ากับสหรัฐราว 4.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

สงครามการค้าทรัมป์จะกระทบกับไทยอย่างไร

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ไทยมี 5 ช่องทางในการตรียมตัว ได้แก่ การค้า การท่องเที่ยว เงินลงทุน ความผันผวนของสินทรัพย์ต่าง ๆ และความเชื่อมั่น

ในด้านการค้านั้นมีหลากหลายด้านมาก ซึ่งสิ่งสำคัญคือสินค้าที่ไทยจะส่งออกไปยังสหรัฐ เช่น SME ต่าง ๆ โดยนายกอบศักดิ์อย่างเตือนถึงภาคส่วนนี้ ที่เคยส่งไปแล้ว แต่ส่งไปไม่ได้ ซึ่งต้องมาคิดว่าจะต้องส่งไปไหน และแน่นอนว่าจะกระทบกับผู้ผลิต และมีความเป็นไปได้ว่าโรงงานจีนในไทย อาจเป็นเป้าหมายของสหรัฐ ในกรณีที่นายทรัมป์ไม่ได้ดำเนินมาตรการโดยตรงกับไทยทั้งหมด และหากสหรัฐกับจีนจะเข้าสู่ความขัดแย้งกันแล้วนั้น องค์การการค้าโลก (WTO) ก็จะไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ เพราะนายทรัมป์น่าจะนำสหรัฐออกจาก WTO อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับการถอนตัวจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และแม้แต่ องค์การสหประชาชาติ เพราะนายทรัมป์มองว่าสหรัฐเสียเปรียบและเสียเงินไปมาก

ประเด็นต่อมาคือ การท่องเที่ยว ซึ่งสงครามการค้าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวมากแค่ไหน ก็ต้องจับตามองต่อไป นอกจากนี้แล้ว อีกประเด็นคือ เงินลงทุน ทั้งเงินลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ต่อจากนั้นก็คือ ความผันผวนของสินทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งตลาดทั่วโลกปั่นป่วนมากหลังจากที่นายทรัมป์ประกาศภาษีศุลกากรกับแคนาดา เม็กซิโก และจีน ซึ่งไทยก็โดนหางเลขไปด้วย แม้ไม่เกี่ยวโดยตรงก็ตาม เช่น กรณีสงครามรัสเซียกับยูเครน ซึ่งสุดท้ายแล้วไทยก็ได้รับผลกระทบอย่างมากจากราคาน้ำมัน ราคาปุ๋ยและสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ

แล้วคนไทยจะทำอะไรได้บ้าง นายกอบศักดิ์กล่าวว่า เริ่มต้นคือต้องมองจากมุมมองของนายทรัมป์ โดยนายทรัมป์มีมุมมองว่าสหรัฐเสียเปรียบ และไทยเราต้องมองว่า ประเด็นแรกคือ เราได้เปรียบเขาอย่างไร และเราเอาเปรียบเขาอย่างไร ประเด็นที่สองคือ สิ่งที่เราจะเป็นประโยชน์กับเขา ประเด็นที่สามคือ สิ่งที่เราจะซื้อจากเขาได้ และประเด็นสุดท้ายคือการเตรียมแนวทางในการเจรจา ทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะเป็นดุลการค้า และการที่จีนใช้ไทยเป็นฐานในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐ เช่น การลงทุนของกลุ่มทุนไทยในในสหรัฐ เพื่อให้เข้าข่ายแนวคิด America First และการลงทุนจะไปอยู่ตรงจุดใดในสหรัฐ จึงจะสามารถตอบสนองกับแนวคิด Make America Great Again ซึ่งรวมไปถึงสินค้าที่ไทยจะซื้อจากสหรัฐ เช่นเครื่องบินโบอิ้ง ที่น่าจะเป็นเป้าหมายอย่างแน่นอน

นายกอบศักดิ์เตือนว่า หากนายทรัมป์ทำกับคู่ค้าหลักอย่างเม็กซิโก แคนาดา และจีนได้โดยไม่สนใจ ดังนั้นประเทศคู่ค้าเล็ก ๆ ก็จะไม่รอดและโดนอย่างแน่นอน ดังนั้นเป้าหมายสำคัญในการเตรียมตัวคือทำอย่างไรให้ผ่านไปได้ โดยในช่วง 4 ปีข้างหน้านั้น นายกอบศักดิ์แนะนำว่าไทยต้องทำตัวเงียบ ๆ นิ่ง ๆ อย่ากระโตกกระตาก และอย่ากระโจนเข้าไปร่วมสงคราม ซึ่งนั่นจะเป็นเรื่องดี อย่างไรก็ตาม แม้มีความผันผวนต่าง ๆ ก็อาจเป็นเรื่องดีก็ได้ และที่การทะเลาะกันนั้น ก็อาจมีช่องให้ไทยอยู่ได้และอยู่รอด แต่ต้องไม่ไปร่วมกับสงครามโดยตรง และท่ามกลางความขัดแย้งอยู่นี้ เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เคยไหลไปจีบก็จะกลับมาอาเซียนอีกครั้ง

ไทยก็อาจได้เปรียบ ถ้าเดินตามทางนี้ ดังนั้นอย่างกัวลใจว่าจะแย่ไปทั้งหมด ในเรื่องภาษีนั้น ไทยก็น่าจะโดนแน่นอน เพราะเกินดุลอยู่ และไทยอาจโดนในแง่ของบางโรงงาน ในบางจุด แต่นั่นก็ยังไม่แน่นอน และขึ้นอยู่กับไทยวางตัวยังไง และเจรจากับนายทรัมป์ยังไง เพราะนายทรัมป์ชอบเจรจา ต้องคุยว่าเขาอยากได้อะไร และหาจุดร่วมร่วมกันให้ได้ และไทยจะได้ประโยชน์

นายกอบศักดิ์ย้ำว่าไทยแค่อย่าไปยุ่ง และไม่ต้องไม่มีส่วนในความขัดแย้งกับสงครามการค้าครั้งนี้ ในตลอด 4 ปีข้างหน้า และขณะเดียวกัน สิ่งสำคัญคือ นายทรัมป์สู้กับทั่วโลก และนายทรัมป์จะอยู่ในตำแหน่งได้เพียง 4 ปีเท่านั้น ดังนั้นการค้าโลกหลังจากที่นายทรัมป์ออกจากตำแหน่งไปแล้ว ไม่ว่าจะรัฐบาลชุดถัดไปจะเป็นพรรคเดโมแครต หรือพรรครีพับลิกัน สหรัฐก็น่าจะกลับไปแนวคิดเดิมคือ Free Trade และ Free Market รวมถึงกลับไปดำเนินแนวทางอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศตามเป้าหมาย Net Zero อีกครั้ง และไทยก็ต้องมองดูว่า 4 ปีข้างหน้า โลกจะหมุนไปยังไง

สุดท้ายแล้ว สงครามการค้าที่จะเกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และสิ่งทีเกิดขึ้นนี้เป็นเพียงฉากแรกที่เพิ่งเริ่มต้นเท่าเนั้น โดยนายกอบศักดิ์ย้ำว่านายทรัมป์จะต้องเจรจาและต่อรองกันแคนาดาและเม็กซิโกให้มากที่สุด ซึ่งสองประเทศนี้จะยอมจำนวนแน่นอน ส่วนจีนก็ไม่ยอมและจะสงครามการค้าจะลุกลามคุกรุ่นมากขึ้น อัตาภาษีก็จะเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะเป็นภาพรวมของการต่อสู้ของมหาอำนาจ และจะใช้การค้า ภาษีต่าง ๆ เป็นเครื่องมือในการขึ้นเป็นที่ 1 ของโลก และหลังจากนี้อีก 4 ปี โลกจะผันผวนมากขึ้น นักธุรกิจและนักลงทุนก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

อ่านข่าว เศรษฐกิจทั่วไทย ทั้งหมด ได้ที่นี่

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0