“เครียดจัด ฆ่าตัวตาย” เพื่อสอบเข้า “มหาลัย” ปัญหาร้ายที่ไม่ควรละเลย!
เป็นเรื่องที่น่าสลดใจทุกครั้งที่ได้ยินข่าวว่ามีนักเรียน-นักศึกษา “เครียดจัด ฆ่าตัวตาย” ซึ่งข่าวแบบนี้จะมีให้เห็นอย่างหนาหูหนาตาเป็นพิเศษในช่วงของการสอบปลายภาค หรือสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยเฉพาะเรื่องของการฆ่าตัวตายในช่วงก่อนและภายหลังรู้ผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 นั้น เป็นเรื่องที่มีมาให้เห็นกันทุกปี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ประเทศเราจะต้องสูญเสียบุคลากรอันเป็นอนาคตของชาติไปเช่นนี้
เรื่องนี้ผิดที่ใคร? ผิดที่เด็กจิตใจอ่อนแอ? ผิดที่ความคาดหวังของครอบครัว? หรือผิดที่ระบบการศึกษามีการแข่งขันสูง?
จิตใจอ่อนแอเองหรือเปล่า?
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมา หลาย ๆ คนจะตั้งคำถามว่า “จิตใจอ่อนแอเองหรือเปล่า?” “ทำไมมีแค่เด็กบางคนที่ฆ่าตัวตาย?” “แล้วเด็กคนอื่นเขาไม่เครียด ไม่กดดันหรือ ทำไมเขายังผ่านมาได้ รอดมาได้?” ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความคิดเช่นนี้อันตรายมาก เพราะเป็นมุมมองที่ละเลยปัญหาและเป็นมุมมองที่โยนความผิดให้แก่ผู้เลือกกระทำการฆ่าตัวตายมากจนเกินไป
เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนักหากจะมองว่ามีเพียงแต่ผู้ป่วย "โรคซึมเศร้า"เท่านั้นที่จะตัดสินใจฆ่าตัวตาย ที่จริงแล้วมีหลายสาเหตุที่เป็นปัจจัยที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ความเครียดความวิตกกังวลและ ความซึมเศร้าก็เป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง ดังนั้นในกรณีที่มีเด็กฆ่าตัวตายจำนวนมากในช่วงสอบวัดผลการเรียนปลายภาคเห็นได้ว่า ความเครียดในระดับสูงก็สามารถนำไปสู่การตัดสินใจจบชีวิตตนเองได้เช่นกัน ผู้ที่มีความเครียดสูงนั้นอาจตัดสินใจกระทำการอะไรบางอย่างจากความเครียด ซึ่งนำมาสู่ผลลัพธ์ที่น่าวิตกกังวลได้
หลายคนจะชอบว่า “แค่นี้เอง เราก็เคยผ่านมาได้” แต่ก็อย่าลืมว่าเมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่ เรื่องอะไรของเด็ก ๆ ก็คงจะดูเป็นเรื่องเล็กไปเสียหมด เพราะเรามองดูด้วยมุมมองของคนที่อายุมากกว่า ทั้ง ๆ ที่สำหรับเด็กบางคนแล้วปัญหาเหล่านั้นอาจเป็นปัญหาที่ใหญ่มากสำหรับวัยอายุเท่านั้น…ดังนั้นจึงไม่ควรมองโลกของเด็กและตัดสินปัญหาของพวกเขาด้วยสายตาของคนที่โตแล้ว แต่ควรมองด้วยความเข้าอกเข้าใจต่างหาก ที่สำคัญ ความเครียด ความซึมเศร้า ไม่ใช่เรื่องของความอ่อนแอ แต่เป็นสภาวะทางจิตใจที่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันอื่น ๆ เช่น…
แบกรับความคาดหวังของครอบครัวไม่ไหว
ทุกครอบครัวย่อมอยากเห็นบุตรหลานของตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิต จึงมีการพยายามผลักดันให้พวกเขาเดินไปบนเส้นทางที่พ่อแม่ผู้ปกครอง “คิดว่า” พวกเขาจะประสบความสำเร็จที่สุด เช่นค่านิยม “ต้องเรียนสายวิทย์จบมาเป็นหมอจะได้สบาย” “ต้องเรียนเก่งๆสอบเข้าเป็นข้าราชการจะได้เป็นเจ้าคนนายคน” ซึ่งในความเป็นจริงแล้วค่านิยมเก่าๆเหล่านี้เป็นค่านิยมที่กำลังฆ่าเด็กอย่างช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว เด็กบางคนเติบโตมาในครอบครัวที่มีการแนะแนวและคาดหวังแบบนี้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถเห็นทางที่จะประสบความสำเร็จทางอื่นนอกจากเป็นหมอ เป็นพยาบาล เป็นครู เป็นข้าราชการ…และเมื่อเขาทำไม่ได้ตาม ความคาดหวังที่หนักอึ้งของครอบครัว เด็กอาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นความล้มเหลว…ทำให้พ่อแม่เสียใจ และก็อาจนำไปสู่ความคิดที่ต้องการจะจบชีวิตในที่สุด
นอกจากนี้ ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เด็กสอบไม่ติด เช่น เรื่องของการยื่นคะแนนในคณะที่ไม่เหมาะสม หรือจำนวนอัตรารับเต็มแล้วทั้ง ๆ ที่คะแนนของเด็กห่างกันเพียงแค่นิดเดียว ปัจจัยเหล่านี้เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ และไม่ได้แปลว่าเด็กเหล่านั้นไม่ได้พยายามมากพอ ดังนั้น ทางที่ดีสำหรับพ่อแม่และครอบครัวในยุคสมัยนี้ก็คือ “อย่าคาดหวังมากเกินไป” การคาดหวังจนสร้างกรอบไปครอบให้เด็กนั้นจะทำให้พวกเขาเกิดความเครียด และรู้สึกไม่มีค่าเมื่อไม่สามารถทำได้ตามที่หวัง การคาดหวังให้ลูกประสบความสำเร็จเป็นเรื่องที่ดี และถ้าหากเขาทำได้ก็เป็นเรื่องที่ดียิ่งกว่า แต่อย่าลืมบอกกับลูกว่าการที่เขาไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่ได้ทำให้เขาด้อยค่า และไม่ได้ทำให้คุณรักเขาน้อยลง…ซึ่งสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้วที่ลูกของคุณอยากได้ยิน
ระบบการศึกษาที่มีแต่การแข่งขัน?
การสอบแข่งขันไม่ใช่เรื่องใหม่ ในเมื่อ “ที่นั่ง” ในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของประเทศนั้นมีจำกัด นักเรียนจึงต้องพยายามสอบแข่งขันกันเพื่อที่จะช่วงชิงที่นั่งเหล่านั้น สำหรับเด็กวัยมัธยมแล้ว การได้เข้ามหาวิทยาลัยที่ฝันนั้นไม่ใช่เพียงแต่จะทำให้พ่อแม่ภูมิใจ แต่ยังเป็นเรื่องของ "ศักดิ์ศรี"และ "ความภาคภูมิใจในตัวเอง"ของพวกเขาด้วย เด็กบางคนจึงต้องแบกรับทั้งความเจ็บปวดและความผิดหวังเมื่อพวกเขาพลาดหวัง
การศึกษาในแบบที่ไม่แข่งขันกันนั้นคงจะเป็นไปได้ยาก เพราะมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างก็ยังต้องการรักษาระดับและชื่อเสียงทางการศึกษาของพวกเขาในการผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพออกมา ซึ่งคุณภาพของบุคลากรเหล่านี้จะถูกประเมินตั้งแต่การสอบเข้า…แต่สิ่งที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็คือ ทัศนคติของคนในวงการการศึกษาอย่างแรกก็คือต้องยอมรับเสียก่อนว่า“คนเก่งไม่ได้มีแบบเดียว” และนักเรียนที่ไม่ได้เรียนเก่งก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาล้มเหลวในชีวิต
เราควรชื่นชมคนเรียนเก่งแต่พอประมาณ พอที่จะเหลือพื้นที่ไว้ให้คนเรียนไม่เก่งได้ยืน และผลักดันให้พวกเขาเติบโตในด้านอื่น ๆ ต่อไป เพื่อที่ว่าจะได้ไม่มีเด็กคนไหนรู้สึกถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวหรือไม่ดีพอ เพียงแค่เพราะว่าเขา…เรียนไม่เก่ง…สอบไม่ติด…หรือทำข้อสอบไม่ได้…
เพราะคุณค่าของคนไม่ควรจะถูกชี้วัดกันแค่เพียงเรื่องเหล่านี้เท่านั้น