โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

7 ความเชื่อในอดีต ที่ตอนนี้เอามาใช้ไม่ได้แล้ว !

LINE TODAY ORIGINAL

เผยแพร่ 20 ธ.ค. 2563 เวลา 17.00 น. • เพื่อนตุ้ม

ความเชื่อเป็นสิ่งที่อยู่คู่คนมาช้านาน บ้างก็ว่าความเชื่อคือกุศโลบายที่คนโบราณที่ช่วยให้คนสมัยก่อนดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ความเชื่อจากยุคก่อนพอผ่านกาลเวลามาถึงตอนนี้ ก็ทำให้คนสมัยนี้แอบสงสัยไม่ได้ว่าคนสมัยก่อนเค้าใช้ชีวิตกันยังไง โน่นก็ห้าม นี่ก็ไม่ได้ ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี !

โดยเฉพาะบางความเชื่อที่พอมาถึงตอนนี้ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องอัศจรรย์ ทำไปทำไม เพราะความเชื่อส่วนใหญ่มักไม่มีเหตุผลใด ๆ มารองรับ พอมาลองค้นหาข้อเท็จจริงก็ยิ่งไม่ได้ข้อสรุป แค่บอกว่าเป็นความเชื่อที่ส่งต่อ ๆ กันมา ยิ่งทำให้คนสมัยนี้เชื่อไม่ลง ไม่ว่าจะด้วยยุคสมัย เหตุผลหรืออะไรก็ตามที่ยิ่งทำให้ 7 ความเชื่อต่อไปนี้กลายเป็นเรื่องเอาท์ ๆ จนยากจะเชื่ออีกต่อไป

● พุธห้ามตัด ศุกร์ห้ามเผา เสาร์ห้ามแต่ง ?

ความเชื่อที่ส่งต่อกันมานานแสนนานอย่างเรื่องการห้ามตัดผมวันพุธ เมื่อย้อนกลับหาข้อเท็จจริงว่าความเชื่อนี้มีต้นตอมาจากไหน ไม่มีที่ไหนสามารถระบุได้ชัดเจนเลย มีแต่บอกว่าเป็นความเชื่อ เป็นลางที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น บ้างก็ว่าที่ห้ามตัดผมวันพุธเพราะพระเจ้าแผ่นดินและพระบรมวงศานุวงศ์จะตัดผมกันวันพุธ คนธรรมดาอย่างเราจึงไม่ควรตีเสมอเจ้านาย แต่เมื่อค้นข้อเท็จจริงแล้วพบว่าเจ้านายในวังก็ไม่ได้ตัดผมวันพุธ ดังนั้นเหตุผลนี้จึงถือว่าตกไป

บ้างก็ว่าวันพุธเป็นวันเป็นวันเจริญหรือวันแตกหน่อ จึงห้ามตัด โยงไปถึงการตัดผมด้วย บางก็ว่าวันพุธเป็นวันอัปมงคล ถ้าตัดผมวันพุธจะนำมาซึ่งความไม่เป็นมงคลแก่ตัวเอง แต่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่าทำไมความเชื่อเรื่องการห้ามตัดพุธในวันพุธถึงถูกส่งต่อมาจนถึงทุกวันนี้

ปัจจุบันความเชื่อนี้แม้จะยังหลงเหลืออยู่ แต่ไม่มีใครเชื่อ ! อีกต่อไป ร้านตัดผมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้หยุดวันพุธ หรือถ้าหยุดก็เป็นเพียงการหยุดพักผ่อน ไม่ได้หยุดเพราะความเชื่อหรือเพราะไม่มีคนตัด ส่วนคนทั่วไปก็ไม่ได้คำนึงถึงวันอะไรกันแล้ว อยากตัดวันไหนก็ตัด เลยกลายเป็นว่าความเชื่อเรื่องนี้แม้จะยังมีอยู่ แต่ก็ไม่มีใครเชื่ออีกแล้ว !

นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับวันต่าง ๆ ห้ามเรื่องนั้นเรื่องนี้อีกมากมาย เช่น พุธห้ามตัด ศุกร์ห้ามเผา เสาร์ห้ามแต่ง หรือแม้แต่ห้ามโกนจุกวันอังคาร ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ก็เหมือนกับความเชื่อเรื่องการห้ามตัดผมวันพุธ คือไม่สามารถพิสูจน์ได้ และไม่มีข้อเท็จจริงปรากฏ แต่เหตุที่ห้ามมันก็มีระบุไว้อยู่

อย่างวันเสาร์ ว่ากันว่าเป็นวันแห่งความทุกข์โศก จึงไม่เหมาะกับการจัดงานมงคล ส่วนวันศุกร์ก็เป็นวันแห่งโชคลาภ และวันรื่นเริง จึงไม่เหมาะกับการไปงานศพหรือเผาผี และที่ห้ามโกนจุกวันอังคาร เพราะเป็นวันแรง หากใช้มีดหรือของมีคมก็อาจทำให้เลือดตกยางออกได้

ปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้น้อยคนที่จะรู้และสนใจ เพราะความเร่งรีบต้องใช้ชีวิต และมีสิ่งอื่น ๆ ให้สนใจมากกว่า ทำให้นอกเหนือจากพุธห้ามตัดแล้ว ก็ไม่มีความเชื่อไหนที่แพร่หลายอีก และคนสมัยนี้ก็ก้าวหน้าไปไกลเกินกว่าจะเสียเวลามาเชื่อ !

● ขวาร้าย ซ้ายดี ?

เป็นความเชื่อที่อยู่ในใจหลาย ๆ คน แม้จะไม่ได้เชื่ออย่างจริงจัง แต่ถ้าตาซ้ายกระตุกเมื่อไหร่ก็อนุมานว่าจะโชคดีทุกที

สำหรับ “ขวาร้าย ซ้ายดี” นอกจากเรื่องตากระตุกแล้ว การก้าวเท้าก็นับรวมเข้าไปด้วย ซึ่งอาการตากระตุกในทางการแพทย์อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นอาการขยับอย่างรวดเร็วของกล้ามเนื้อเปลือกตาโดยไม่ได้ตั้งใจ เกิดขึ้นได้ทั้งกับเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง แต่มักจะเกิดกับเปลือกตาบนและมักเกิดกับตาทีละข้าง

อาการตากระตุกสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ โดยผู้ที่มีอาการส่วนใหญ่จะพบว่าอาการไม่มีความรุนแรงใด ๆ แต่บางรายอาจพบว่ามีอาการกระตุกอย่างรุนแรงจนก่อความรำคาญ และบางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยจนไม่ได้สังเกตได้ อาการตากระตุกส่วนใหญ่ไม่เจ็บปวดและไม่เป็นอันตราย แต่ก็มีบางรายที่อาการตากระตุกอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเรื้อรังหรือมีความรุนแรง เช่น อัมพาตใบหน้า ภาวะคอบิดเกร็ง

สาเหตุที่ตากระตุก ในทางการแพทย์สรุปว่ามักเกิดขึ้นจากความเครียด การอดนอน การบริโภคคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์มาก ดังนั้นการที่อยู่ดี ๆ ตากระตุก ไม่ว่าจะขวาหรือซ้ายจึงไม่ได้บ่งบอกถึงโชคลาภหรืออะไรเลย แต่อาจเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างที่ร่างกายต้องการส่งถึงเราก็เป็นได้ และหากตากระตุกไม่หยุดติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างถูกต้อง

● เงินที่ตกบนพื้น: เก็บ VS ไม่เก็บ ?

เงินที่ตกพื้น ควรเก็บหรือไม่เก็บ มีทั้งที่บอกว่าไม่ควรเก็บ เพราะเงินนั้นเป็นเงินของผี ของวิญญาณ หากเก็บขึ้นมาก็จบพบแต่เรื่องที่ไม่ดี และมีอีกความเชื่อบอกว่าเห็นเงินตกพื้น ต้องรีบเก็บ เพราะไม่ว่าจะกี่บาทก็คือเงิน และเงินนั้นจะเปลี่ยนชีวิต เป็นเงินเรียกทรัพย์ให้กลายเป็นคนร่ำรวย หาเงินเก่ง มีความสุข และเห็นคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว

พอมีความเชื่อเป็น 2 ทางแบบนี้ คนส่วนใหญ่จึงเลือกเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเชื่อ ใครที่เชื่อว่าเป็นเงินผีก็มักจะมองข้าม ปล่อยผ่านไม่เก็บเงินที่ตกอยู่ ส่วนคนที่เชื่อว่าเงินนั้นเป็นเงินที่ดี เก็บแล้วจะหาเงินก็จะเก็บเงินนั้น หรือแม้แต่คนที่เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่งก็จะเงินเหล่านั้นไปทำบุญ ใส่ตู้บริจาค ส่งคืนหรืออะไรก็ตาม

เพราะฉะนั้นเรื่องของการเก็บเงินที่ตกพื้น แม้จะเป็นความเชื่อที่ส่งต่อกันมา แต่ก็ไม่มีใครฟันธงอย่างจริงจังว่าควรเก็บหรือไม่ควรเก็บเงินนั้นขึ้นมา และเก็บแล้วเอาไปไว้ไหน แต่สิ่งที่จริงแท้และแน่นอนยิ่งกว่าความเชื่อก็คือ เงินที่ตกพื้นไม่ว่าจะกี่บาทก็ล้วนมีเจ้าของด้วยกันทั้งนั้น ทางที่ถูกต้องคือส่งคืนเจ้าของดีที่สุด

● จิ้งจกทัก ห้ามออกจากบ้าน ?

ความเชื่อสุดคลาสสิกที่ส่งต่อกันมาช้านาน เมื่อกำลังจะออกจากบ้านแล้วมีจิ้งจกร้องทัก ห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด ยิ่งถ้าเสียงนั้นอยู่ด้านหลังหรือตรงศีรษะให้เลื่อนการเดินทาง แต่หากเสียงร้องทักอยู่ด้านหน้าหรือซ้าย ให้เดินทางได้ จะทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น

ที่มาที่ไปน่าจะมาจากคนโบราณที่สมัยก่อนบ้านมักจะมีต้นไม้เยอะ มีสุมทุมพุ่มไม้ซึ่งมักจะเป็นแหล่งอาศัยของงู การที่จิ้งจกร้องตอนที่เรากำลังจะออกจากบ้านก็อาจแปลว่าอาจมีงูอยู่แถว ๆ นั้น ทำให้จิ้งจกเกิดอาการกลัวและร้องออกมา คนเราก็เลยถือว่าเสียงร้องของจิ้งจกเป็นการหลีกเลี่ยงให้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับงูเงี้ยวเขี้ยวขอ เพราะอาจจะเจ็บตัวหรือไม่ก็ต้องตายได้

ความเชื่อที่ว่านี้ถูกส่งต่อผ่านยุคสมัยมาเนิ่นนาน ปัจจุบันบ้านเราไม่ได้มีต้นไม้เยอะแยะเหมือนสมัยก่อน และงูสมัยนี้ส่วนใหญ่ก็อยู่ในโถส้วม ทำให้แม้จิ้งจกจะทักแล้วทักอีก เราก็ยังต้องออกจากบ้านอยู่ดี ก็เลยทำให้ความเชื่อนี้เอาท์เกินกว่าที่เราจะเอามาใช้ปฏิบัติจริงได้

● ตุ๊กแกร้องตอนกลางวัน จะมีเหตุร้าย ?

นอกจากจิ้งจกทักแล้ว ก็ยังมีตุ๊กแกร้องอีกด้วย ว่ากันว่าส่วนใหญ่ตุ๊กแกจะร้องเฉพาะตอนกลางคืน ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่มันเกิดร้องตอนกลางวัน ก็อาจเป็นลางบอกเหตุถึงเรื่องร้าย ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับคนในครอบครัว เพราะคนโบราณมีความเชื่อว่าตุ๊กแกมีวิญญาณของบรรพบุรุษอยู่ เพื่อคอยดูแลคุ้มครองลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุข เมื่อร้องในเวลาที่ไม่ควรแสดงว่าจะมีเหตุร้ายจึงได้เตือนให้รู้ตัวล่วงหน้า

นอกจากความเชื่อเรื่องการร้องตอนกลางวันแล้ว ยังมีความเชื่อที่ว่าจำนวนครั้งที่ตุ๊กแกร้อง ก็บ่งบอกถึงอะไรบางอย่างด้วยเหมือกัน โดยถ้าร้อง 6 ครั้งเชื่อว่าเจ้าของบ้านจะมีเรื่องเดือดร้อนอึดอัดใจ ถ้าร้อง 7 ครั้งจะทำให้เสียทรัพย์ ถ้าร้อง 8, 9 หรือ 10 ครั้งจะโชคดี มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต และถ้าร้อง 11 ครั้งจะถือว่าได้โชคหลายชั้นมาก เจ้าของบ้านอาจพบเนื้อคู่ก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม มีเรื่องที่พิสูจน์ได้อย่างหนึ่งก็คือ การร้องของตุ๊กแกคือการประกาศอาณาเขต โดยกระบวนการร้องจะเริ่มจากการขับลมออกจากปอดผ่านส่วนลำคอที่แคบ ทำให้เสียงและจำนวนครั้งที่ร้องออกมาแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับชนิดของตุ๊กแก อีกทั้งยังเป็นการบอกความสมบูรณ์แข็งแรงของพวกมันอีกด้วย ยิ่งร้องได้ถี่มากเท่าไร ยิ่งแปลว่าตุ๊กแกตัวนั้นสุขภาพแข็งแรงดี

นอกจากนี้ยั งเป็นการเตือนตุ๊กแกตัวผู้ที่เข้ามาในอาณาเขตของตุ๊กแกตัวเมีย เพื่อทำการเลือกคู่ จึงทำให้การส่งเสียงร้องออกไปจะดังและถี่กว่าปกติ เหมือนเป็นการแสดงความพร้อม ยิ่งถ้าพวกมันอยู่ตามเพดานบ้าน หรือตามโพรงไม้ เสียงร้องก็จะยิ่งดังก้องกังวานกว่าเดิม

ดังนั้น เมื่อคนสมัยนี้ได้ยินความเชื่อนี้บวกกับเหตุผลในการร้องของตุ๊กแก ส่วนใหญ่ก็เลิกเชื่อไปโดยปริยาย เพราะนอกจากจะเกลียดและกลัวในรูปลักษณ์ของมันแล้ว การได้ยินเสียงร้องหลาย ๆ ครั้งของตุ๊กแกอาจเป็นการที่มันกำลังบอกว่ามันพร้อมจะเลือกคู่แล้วก็ได้

● นกขี้ใส่หัว คือลางร้าย ?

ความเชื่อโบราณท่านว่า หากเดินทางอยู่แล้วถูกนกขี้ใส่หัวเสียก่อน ให้หยุดการเดินทางทันที หรือเลื่อนกำหนดออกไปเป็นวันรุ่งขึ้น เพราะเป็นสัญญาณเตือนของลางร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น ถ้าเดินทางไกลก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้

ปัจจุบันความเชื่อนี้ยังคงมีคนพูดถึงอยู่บ้าง แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และบางพื้นที่ก็มีนกเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีโรคที่เกิดจากนกด้วย ดังนั้นสิ่งที่คนสมัยนี้กังวลเวลานกขี้ใส่น่าจะเป็นเรื่องความสะอาด และเชื้อโรคเสียมากกว่า เพราะการที่นกขี้ใส่อาจทำให้เป็นไข้หวัดนกได้ แม้เชื้อไข้หวัดนกส่วนใหญ่จะไม่สามารถแพร่สู่คนได้ แต่ก็มีเชื้อบางชนิดที่แพร่จากสัตว์สู่คนจนทำให้เกิดการระบาด ซึ่งการติดต่อของโรคก็มาจากสารคัดหลั่งของนก อย่างน้ำลาย และอุจจาระ ดังนั้นอยู่ดี ๆ เจอนกขี้ใส่ก็อาจได้รับเชื้อโดยไม่ตั้งใจได้เหมือนกัน

● นอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก จะอายุสั้น ?

คนโบราณเชื่อว่าทิศตะวันตกเป็นทิศคนตาย ดังนั้นจึงห้ามเอาหัวนอนไปทางทิศนี้ เพราะจะทำให้เจ็บป่วย อายุสั้น รวมทั้งยังเชื่อว่าหากยมบาลเห็นจะเข้าใจผิดคิดว่าเราตายไปแล้ว และจะดึงวิญญาณออกไป ทางที่ดีควรหันหัวไปทางทิศที่เป็นมงคล คือ ทิศเหนือ ทิศตะวันออก ส่วนทิศตะวันตก กับทิศใต้ ถือว่าเป็นทิศอัปมงคล ห้ามเด็ดขาด !

เรื่องนี้มีคำอธิบายทั้งในทางวิทยาศาสตร์และฮวงจุ้ยที่ค่อนข้างชัดเจน

วิทยาศาสตร์บอกว่า ปกติดวงอาทิตย์จะตกทางทิศตะวันตก ทำให้ช่วงบ่ายไปจนถึงเย็น แดดจัดแผดเผาตลอดเวลา ส่งผลให้ผนังด้านทิศตะวันตกจะสะสมความร้อนไว้มากกว่า พอช่วงค่ำ ความร้อนในผนังจะคลายออกมาในตัวบ้าน ทำให้นอนไม่สบายตัวเนื่องจากไอร้อน

ส่วนในทางฮวงจุ้ยบอกว่าการหันหัวนอนได้ทางทิศไหนก็จะส่งผลดีต่อชีวิต เสริมดวงชะตากับคน ๆ นั้น แต่จะต้องขึ้นอยู่กับปีนักษัตรของผู้นอนด้วย ซึ่งบางนักษัตรถ้าหันหัวไปทางทิศตะวันตกแล้วจะเป็นมงคลอีกต่างหาก

ในทางความเชื่อว่ากันว่าน่าจะเป็นกุศลโลบายอย่างหนึ่งของคนโบราณเสียมากกว่า เพราะการนอนโดยหันหัวไปทางทิศตะวันตกก็เท่ากับหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทำให้แสงอาทิตย์สาดเข้าหน้าเต็ม ๆ ซึ่งคนโบราณนอนเปิดหน้าต่าง ไม่มีม่าน มีแต่มุ้ง ทำให้ต้องเผชิญหน้ากับแสงอาทิตย์โดยตรง ก็เลยมีการอนุมานว่าน่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ทำให้คนโบราณไม่หันหัวไปทางทิศตะวันตกกัน และกลายเป็นความเชื่อที่ส่งต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

เดี๋ยวนี้ความเชื่อนี้ไม่ได้มีบทบาทมากนัก คนส่วนใหญ่ถ้าเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยก็จะเน้นไปทางนั้นโดยตรง ส่วนที่ไม่เชื่อและไม่ดูฮวงจุ้ยก็จะเน้นความสวยงามไม่ก็ความสะดวก ทำให้ความเชื่อนี้แม้จะยังมีอยู่แต่ก็ไม่ได้มีอิทธิพลมากนัก

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาทั้งเหตุผล วิทยาศาสตร์ และความน่าจะเป็นแล้ว บางความเชื่อก็ดูเป็นเหตุเป็นผล แต่บางความเชื่อก็ดูเบาหวิวจนเกินไปหน่อย แต่ยังไงความเชื่อก็คือความเชื่อ ซึ่งจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ และคนไม่เชื่อก็ไม่สิทธิ์ไปแขวะหรือไปอะไรทั้งนั้น เพราะความเชื่อคือสิทธิส่วนบุคคล

อ้างอิง

- ศิลปวัฒนธรรม 

- พบแพทย์

- พันทิป 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0