ในโลกแห่งความรอบรู้ชั้นสูง
ความฉลาดปราดเปรื่อง
เป็นเรื่องเยี่ยมมาก หากทุกคนจะมีข้อมูลของเรื่องต่างๆ มากมายรอบตัว
เก็บเอาไว้ในคลังสมอง
และนำมันออกมาขัดเกลา ประมวลผล ถกเถียง
เพื่อให้บทสนทนาของเรากับอีกฝ่าย
ถ่ายทอดออกมาอย่างมีรสชาต มีความสนุกมากยิ่งขึ้น
แต่บางครั้ง ความรอบรู้ และข้อมูลที่แน่นของเรา
มันอาจไป กด ความรู้สึกของใครเขาโดยไม่รู้ตัว
ยิ่งโดยเฉพาะในห้องของการบำบัดจิตใจกับคนไข้ด้วยแล้ว
ความรู้ทางจิตวิทยาและเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพจิตใจทั้งหลาย รวมไปถึงการสังเกตอาการ หยั่งรู้ความเสี่ยงอันตรายของคนไข้ที่จะทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายคนอื่น ความรู้เรื่องกฎหมายในวงการการบำบัด
ข้อมูลทุกอย่างนี้ นักจิตบำบัดต้องแม่นมากระดับหนึ่ง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดและเพื่อเข้าใจสภาวะอารมณ์และร่างกายของคนไข้ได้อย่างชัดเจนขึ้น
แต่!
หลายครั้งที่นักจิตบำบัด มองคนไข้ด้วยความรู้ที่เรียนมาเป็นหมอกปกคลุมบรรยากาศของการสนทนาทั้งหมด และรีบตัดสินว่าคนไข้เป็น ‘โรค’ อะไร
โดยลืมเผื่อระยะห่างของจิตใจ สร้างพื้นที่ให้คนไข้ได้อธิบายในสิ่งที่เขาเป็น
เป็นเพราะคนไข้ที่มาหาตัวเราเอง เป็นกลุ่มคนไข้ที่ ‘ไม่เป็นอันตรายรุนแรงต่อตัวเองหรือสังคม’
นั่นหมายถึง เป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้มีอาการทางจิตใจหนักถึงขั้นต้องส่งเข้าโรงพยาบาลหรือให้ยา
แนวทางการเยียวยาคนไข้ของเรา จึงเป็นการให้ ‘คนไข้เป็นใหญ่ และเป็นศูนย์กลาง’
แทนที่เราจะรับฟังคนไข้ด้วยการพยายามเปลี่ยน ‘ความคิดลบ’ ของคนไข้และรีบแทนที่มันด้วย ‘ความคิดบวก’ ตามบรรทัดฐานของสังคม
มันอาจจะฟังดูดาร์ค แต่เราจะค้นหา/ผจญภัยให้ลึกลงไปกับคนไข้เลยว่า
‘ความคิดที่คุณว่าลบน่ะ มันมีความหมายต่อตัวคุณอย่างไร หรือมันกำลังพยายามบอกอะไรคุณอยู่รึเปล่า’
เมื่อไหร่ก็ตามที่ความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกิดขึ้น
เมื่อนั้น คุณถึงจะเป็นอิสระต่ออารมณ์อะไรก็แล้วแต่ที่มันพันธนาการคุณมาเนิ่นนาน
ไม่เรียกคนไข้ด้วยชื่อโรค
คุณไม่ได้เป็น ‘ซึมเศร้า’
คุณแค่มี ‘อาการ’ ซึมเศร้า
มันเป็นสิ่งที่เข้ามาปะทะกับคุณ อาจเข้ามาฝังอยู่ในตัวคุณสักระยะ
แต่มัน ‘ไม่ใช่คุณ’ เมื่อมันเลือกจะมาได้ มันก็เลือกจะออกไปได้เหมือนกัน
การเรียกใครสักคนด้วยชื่อโรคตามที่ตำราบอกมา
มันปิดโอกาสให้คนไข้ได้ลองเลือกทางเดินชีวิตทางอื่นของเขาได้เลย
นอกจาก ‘โรค’ ที่เราโยนไปให้เขาต้องแบกไว้
แนวโน้มต่อไป คือการอยู่ในโลกนี้แบบ ‘เป็นเหยื่อ’ ของเขา
เป็นภาระ
เป็นศัตรูต่อความสดใส
เป็นภัยต่อส่วนรวม
และความเชื่อของสังคมต่อ ‘ป้ายชื่อโรค’ ต่างๆ ที่จะตามมา
แต่หากลองมองอีกมุม
คุณรู้สึก ‘เศร้า’
(เช่น) เพราะคุณโดนเพื่อนที่คุณไว้ใจที่สุดชีวิตหักหลัง
คนๆ นั้นสามารถคิดโทษตัวเองได้ว่า ฉันมันโง่ ปล่อยให้คนมาทรยศความรู้สึกตัวเองได้ยังไง
แต่ในชีวิตของคนๆ หนึ่ง ‘มันมีเส้นเรื่องมากมายที่อาจมาขนานกันจนเหมือนจะกลายเป็นเส้นเรื่องเดียว’
หากเราค่อยๆ ใช้เวลาเดินทาง ทำความเข้าใจไปในแต่ละเส้นเรื่อง
แล้วให้โอกาสคนไข้ ได้เลือกเส้นเรื่องที่เขารู้สึก ‘ใช่’ ที่สุด
อาจเป็นการบำบัดที่ยาวนาน แต่ความหมายของชีวิตที่ได้ มันจะมีค่าต่อจิตใจมากกว่า เพราะมันมาจากก้นบึ้งที่เป็นเรื่องจริง
‘การที่เราเสียใจจนเหมือนหัวใจแหลกสลาย เพราะเพื่อนที่เราไว้ใจที่สุดนั้นหักหลัง
นั้นแปลว่า หัวใจของเราบริสุทธิ์ และมีอานุภาพสูงในการมอบความรักที่หวังดีออกไปให้ใครสักคน ยิ่งรักมาก = ยิ่งเจ็บมาก หากเราไม่เสียใจเลย นั้นแปลว่า หัวใจของเรานั้นแข็งเป็นหิน ชินชาต่อโลกแห่งความรู้สึกนี้รึเปล่า เราอยากมีชีวิตที่หัวใจด้านชานี้ไหม? เราลองใช้เวลาสักนิดมาเชิดชูหัวใจที่น่ารักของเราหน่อยดีไหม’
เป็นต้น
เมื่อเราปล่อยให้คนไข้มีสิทธิดำเนินเรื่องชีวิตของเขาด้วยตัวเขาเอง
แล้วเราก็ทำหน้าที่ช่วยค้นหาเรื่องราวที่ มีค่าต่อจิตใจ สำหรับคนไข้
เราทำหน้าที่แค่เป็น ‘ผู้ร่วมเขียน’ เรื่องราวชีวิตของเขา
เรามองโลกของเขา ตามแบบที่เขามอง
โดยไม่ยัดเยียดความลำเอียงทางความเห็นใดๆ ไปให้
พลังที่เขาค่อยๆ สร้างขึ้นมาด้วยตัวของเขาเองเป็นหลัก
การรับรู้อย่างกระจ่างด้วยตัวเขาเอง
มันยิ่งใหญ่และหนักแน่น
เป็นช่วงเวลาที่น่าภูมิใจกว่าถ้าเราไปบอกเขา ให้เขามีความคิดตามแบบที่เราเชื่อเยอะเลย
---------------------------------------------------------------------------------
ในการดำเนินชีวิตปกติของเรา
มองคนให้เห็นเนื้อแท้ของเขาคนนั้น
ไม่ใช่สิ่งที่สังคมตีกรอบให้เขาเป็น
‘เธออยากให้เรามองเธอแบบไหน?’
ให้โอกาสเขาได้ให้ความหมายชีวิตของเขาที่มีต่อโลกด้วยตัวเขาเอง
ให้พื้นที่เขา ได้เป็นตัวตนที่แท้ของเขา
แล้วนั่นจะทำให้เราได้รู้จักใครสักคนอย่างลึกซึ้งและพิเศษขึ้นในทันที