“จะต้องขึ้นไปอยู่สูงแค่ไหน เราถึงจะรู้ตัวว่า ที่จริงแล้ว เรานั้นตัวเล็กนิดเดียว”
Japan : Tokyo sky tree
ด้วยความสูง 634 เมตรของโตเกียวสกายทรี หอคอยที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และสูงเป็นอันดับสองของโลก ก็บอกผมเป็นนัยๆ แล้วว่า แค่นี้ก็น่าจะสูงพอให้แกรู้สึกตัวได้แล้วนะ
ผมแวะมาที่นี่ในช่วงเย็นย่ำ ด้วยความที่อยากเห็นพระอาทิตย์ตกในโตเกียว แบบที่ถ้ายืนมองที่หน้าต่างในโรงแรม ก็คงไม่มีวันได้เห็นอะไรมากไปกว่าไฟจากป้ายร้านสะดวกซื้อ
ใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาที ลิฟต์ประจำหอคอยก็ลากผมจากพื้นขึ้นไปจนถึงจุดชมวิวติดท้องฟ้า อาการหูอื้อแวะมาสะกิดให้ต้องกลืนน้ำลายทำลายมันลงไป
เวิ้งกว้าง 360 องศา ที่ทำให้เราเห็นความเวิ้งว้างเหนือยอดตึกของเมือง ภูเขาไฟฟูจิที่อยู่ไกลออกไป มองจากตรงนี้แล้วเอานิ้ววัดๆ ดู ก็เล็กนิดเดียวเอง ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนตอนที่อยู่ใกล้ๆ แต่อย่างใด
เล็กนิดเดียวเองเนอะ ถ้ามองจากตรงนี้
มองในมุมกว้าง ระยิบไฟที่ส่องระยับจากตึกและถนนตรงนั้น ตรงที่มองไปแล้วคล้ายดาวดวงเล็กๆ ที่เรียงเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ ถ้าดวงใดดวงหนึ่งดับไป จะมีใครสนใจ จะมีใครรู้มั้ยนะ
มองจากตรงนี้แล้วถ้าใครสักคน คนที่อยู่ตรงมุมตึก คนที่กำลังข้ามถนน คนที่อยู่ในห้องนั้น คนที่เราไม่ได้รู้จักเค้าหายไป ข้างในใจมันจะรู้สึกอะไรรึเปล่า ?
แต่ผมก็คงไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะบางครั้งเราก็ไม่เคยรับรู้การเปลี่ยนแปลงอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องของเราเอง
ทำไมเวลามองเรื่องของตัวเองที่เกิดขึ้นในชีวิต ความผิดพลาด ความสำเร็จ ความทุกข์ ความสุข ทุกอย่างมันถึงได้ดูยิ่งใหญ่ไปหมด ผมถามตัวเองขณะที่สายตามองไกลออกไป จับผิดว่าจะมีไฟสักดวงในตึกนั้นมันจะดับไปมั้ย
เราหัวเราะเสียงดังมีใครสักคนเดินเข้ามา และสะอื้นร้อง ปล่อยโฮเมื่อมีบางอย่าง หรือใครสักคนเปลี่ยนไป เรายึด เราถือ เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราเผชิญ มันคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ทุกอย่างดูยิ่งใหญ่ รัชดาลัยจนบางครั้งพื้นที่ก็ไม่พอที่จะให้เกิดขึ้นในใจเล็กๆ ของคนคนนี้
ต้องสูงขนาดนี้เลยหรอ เราถึงจะรู้สึกได้ ?
ทำไมการที่ยืนอยู่ที่นั่น ที่ที่เราได้พบกับทุกเรื่องราว มันถึงมองออกมาไม่ได้ไกลแบบนี้ ?
หรือการได้อยู่ใกล้ ทำให้เรามองภาพที่แท้จริงของชีวิตตัวเองไม่ออก ?
ลองถอยออกมาสักก้าว เวลาเจอเรื่องอะไรสักอย่าง เราอาจจะเข้าใจอะไรมากขึ้น แต่จริงๆ ชีวิตก็ไม่ค่อยบอกเราเลยว่าต้องถอยกี่ก้าว ต้องไปไกลขนาดไหน เราถึงจะเข้าใจมัน ถึงจะมองภาพชีวิตของตัวเองออก ซึ่งบางทีก็คิดว่าไกลแล้วนะ เหนื่อยแล้วด้วย ทำไมถึงยังไม่เข้าใจอะไรสักที
วันนี้ขึ้นมายืนบนนี้แล้ว ไม่ได้นับเหมือนกันว่าถ้าเป็นจำนวนก้าวจะเรียกว่าเป็นเท่าไหร่ แต่ถอยออกมาไกลและสูงขนาดนี้ (โตเกียวเลยนะแก….) ภาพชีวิตจริงของตัวเอง ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับโลกใบนี้และโลกของใครสักเท่าไหร่เลย
จะเรียกว่าเข้าใจ ก็คงจะไวไปสักหน่อย แค่ขึ้นหอคอยแค่ไม่กี่นาที ก็เข้าใจชีวิตแล้วหรอ ไม่ง่ายไปหน่อยหรอ ตื้นเขินเกินไปหรือเปล่า นี่ขึ้นตึกแถวบ้านก็ได้ ไม่ต้องถ่อมาไกลถึงที่นี่หรอก (เสียงจากที่ไหนสักทีแว้บเข้ามาในหัว)
เราไม่เคยเข้าใจอะไรหรอก เราแค่รู้สึก ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในชีวิต ณ ขณะที่บางอย่างเข้ามากระทบ ให้อารมณ์มันกระเพื่อม เราก็เรียนรู้กับสิ่งนั้น แต่การเรียนรู้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง จะติดอยู่ในชีวิต ในความรู้สึกเราได้นานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่าเส้นของความทรงจำเส้นนั้น บางหรือทึบทับจิตใจเราอย่างไร
อยู่บนนี้ตัวเล็กนิดเดียว แต่ถ้าลงไปแล้วตัวเราก็คงใหญ่เท่าเดิม
ทุกอย่างมันก็เหมือนเดิมแหละ ไม่ได้ใหญ่ขึ้น ไม่ได้เล็กลง ถ้าเราไม่เคยได้เรียนรู้อะไรจากมัน
น่าจะเคยเป็นกันอยู่ เวลาเจอเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจอะไร ช่วงเวลาที่เจอก็เสียอกเสียใจ อยากตาย อยากหายไปจากตรงนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หายไปไหน แต่เรื่องที่เคยพบเจอต่างหากที่ค่อยๆ ผ่อนคลายไปเมื่อเวลาผ่านมา มองกลับไปแล้วไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตมากเท่าที่แสดงออกในตอนนั้น
ถ้าทุกอย่างเป็นแบบนั้นจริงๆ แสดงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้ ก็คงเช่นเดียวกัน ถ้าสุดท้ายแล้วมันก็จะค่อยๆ เยียวยา แล้วกลายเป็นเรื่องที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับมัน วันนี้ที่เกิดขึ้น เราน่าจะจัดการตัวเอง จัดการความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้อย่างมีสติและดีกว่า
สูงขนาดนี้ เสียวเหมือนกันนะถ้าจะต้องตกลงไป
ยิ่งสูง ยิ่งทำให้เรามองได้กว้าง มองได้ไกล แต่ถ้าเราอยู่สูงเกินไป ก็จะไม่มีใครขึ้นมาอยู่ข้างๆ เราเหมือนกัน
นอกจากมองไปข้างล่างที่เห็นทุกอย่างเล็กเหมือนเมืองของเล่นแล้ว มองมาข้างบนก็รู้สึกได้เหมือนกันนะว่า ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาวอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ นั่นแหละ ไม่ได้หมายถึงว่าตอนนี้บนหอคอยเปิดแอร์จนหนาวหรอกนะ
ถ้าต้องยืนสูงแล้วก้มมองคนที่อยู่ข้างล่างแบบนี้คนเดียวนานๆ ก็น่าจะเหงาอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าได้ใครสักคนขึ้นมายืนอยู่ด้วย ไม่ต้องสูงเท่านี้หรอก เอาเท่าที่ชีวิตจะนำพากันไปได้ พอถึงจุดที่สูงที่สุดของชีวิตแล้ว จะได้มีใครสักคนร่วมดื่มด่ำกับบรรยากาศของความสูงแบบนี้ไปด้วย
แต่จริงๆ แล้วเราเข้าใจว่าไม่ว่าเราจะยืนอยู่ที่ไหน ข้างบนนี้ หรือข้างล่างที่ปกติใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงไป จะยืนอยู่คนเดียวหรือมีคนรายล้อมอยู่ด้วย
สุดท้ายแล้วเราก็จะเรียนรู้ได้เองว่า มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องใหญ่ในโลกใบนี้ มันแค่เป็นเรื่องของเรา ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งน่าจะมีความสุขกับชีวิตในวันต่อไปมากขึ้นนะ
ส่วนตัวไม่อยากยืนอยู่บนนี้นานสักเท่าไหร่ อยากลงไปใช้ชีวิตเป็นคนตัวเล็กๆ แบบที่ไม่มีใครสักเกต เพราะถ้าวันนึงเราหายไป เราก็ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องสำคัญกับใครอยู่ดี
ความเห็น 6
ความสุขมันอยู่ที่ใจ ขอเพียงแค่ให้รู้จักกับการพอเพียง.
06 ก.ย 2562 เวลา 09.14 น.
• ห ญิ ง •🌾 nantiya
จะสุขหรือทุกข์อยู่ที่เราจัดการความรู้สึกนึกคิดของตัวเรา..
06 ก.ย 2562 เวลา 10.30 น.
J.. E.. W🥢
🎈 ไม่คิดจะยืน .. 🐾 ในที่ที่ดีที่สุดหรอก 🍃
แค่อยากยืน .. ในที่ที่ทำ .. 🌸 .. ให้เรามีความสุข .. ก็พอ 🌱
06 ก.ย 2562 เวลา 08.28 น.
Peeradech Phone
เป็นความจริงเสมอว่าเรื่องคนอื่นเรื่องเล็กเรื่องตัวเองเรื่องใหญ่ การจะปล่อยวางต้องใช้ประสบการณ์ชีวิตและการฝึกฝน
06 ก.ย 2562 เวลา 08.22 น.
เพียงก้าวผ่าน พานพบแล้วพรากจาก วนเวียนซ้ำซาก สุขทุกข์ จนกว่าจะหลุดพ้นกันไป
06 ก.ย 2562 เวลา 09.00 น.
ดูทั้งหมด