โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

มู่หยวนจอมยุทธทะลุมิติสะท้านแผ่นดิน(อ่านฟรีจนจบเล่ม)

มู่หยวนจอมยุทธทะลุมิติสะท้านแผ่นดิน(อ่านฟรีจนจบเล่ม)
มู่หยวนชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าสวะได้มีโอกาสเข้าไปในดินแดนลึกลับที่ปรากฏขึ้นมาบนโลก หากสามารถสังหารสัตว์อสูรจะได้รับแต้มพรสวรรค์ทำให้สามารถเปิดจุดชีพจรกลายเป็นจอมยุทธที่มีกำลังภายในที่แข็งแกร่งเกินใคร

ข้อมูลเบื้องต้น

"ติ๊ง"

"ผลึกชีวิตของสัตว์อสูรมังกรทมิฬถูกกินแล้ว ท่านได้รับแต้มพรสวรรค์ระดับเทวะ 8 แต้ม”

เสียงแปลกประหลาดดังลั้นในหัวของมู่หยวนแล้วเขาก็รับรู้ได้ถึงการเปลื่ยนแปลงภายในร่างกายของตนภายหลังการกลืนกินผลึกชีวิตของสัตว์อสูร เส้นเลือด กล้ามเนื้อ ผิวหนัง กระดูก ดวงตา ตลอดจนอวัยวะต่างๆภายในร่างกายถูกพลังบางอย่างปรับเปลี่ยนพัฒนาไปจากเดิมอย่างมาก ซึ่งรวมไปถึงการก่อเกิดเส่นชีพจรขึ้นภายในร่างกาย เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ที่มีความสามารถใช้ลมปราณต่อไป

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.2558

ห้ามมิให้ผู้ใดคัดลอก ทำซ้ำ หรือดัดแปลงส่วนใดส่วนหนึ่งของเนื้อหาในนิยายเรื่องนี้ไปเผยแพร่

ทั้งในรูปแบบของอิเล็กทรอนิกส์และไฟล์เสียง

เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น

หน้าปกจัดทำโดย PYAKwang

***หากชอบกดถูกใจ หากโดนใจกดติดตาม***

***หากหลงรักเก็บขึ้นชึ้นได้เลย***

**ขอบคุณรีดทุกท่านที่ได้กดติดตามและกดขึ้นชั้นหนังสือ**

หมายเหตุทางผู้แต่งจะพยายามอัฟเดททุกสองวัน ตั้งแต่ตอนที่สามสิบเป็นต้นไป

หากเกิดความล่าช้าหรือผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

เริ่มตอนแรก วันที่ 9 เมษายน 2566 เวลา 18.00 น.

ชายหนุ่มที่ไร้ค่า

“เปรี้ยง….เปรี้ยง…..”

เสียงสายฟ้าดังสนั่นท่ามกลางสายฝนที่กำลังตกลงมาอย่างหนัก ชายหนุ่มสวมใส่ชุดเกราะเปื้อนเลือดกำลังถือทวนในมือไว้แน่นยืนอยู่บนลานกว้างขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหินผา แววตาของเขาที่กำลังกวาดสายตามองไปยังบรรดากองทัพเหล่าปีศาจที่อยู่เบื้องหน้ามากกว่าหนึ่งพันตัวอย่างไม่เกรงกลัว เขาเริ่มก้าวเดินอย่างเชื่องช้าๆ เข้าหากองทัพปีศาจที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเด็ดเดียว พร้อมด้วยเปลวไฟที่เริ่มจะลุกโซนออกมาจากปลายทวนของชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะเริ่มวิ่งเข้าหากองทัพนับพันด้วยตัวคนเดียว

“แปะ……แปะ……”

หยดน้ำที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าลงมาที่ใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังนอนหมดสติอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ เขาเริ่มลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจจนใช้มือยันตัวเองลุกขึ้นนั่งบนพื้นที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อป่นกับน้ำฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้า เขาชอบฝันเกี่ยวกับการสู้รบอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ไม่สามารถหาคำอธิบายอันใดได้ ชายหนุ่มรีบสะบัดหน้าไปมา เพื่อจะตั้งสติของตนอีกครั้ง เขาจดจำเหตุการณ์ก่อนหน้าได้เลือนร่างว่ากำลังถูกเจ้าตัวอาร์มาคิลโลพุ่งเข้าชนจนศีรษะไปกระแทกก้อนหินจนหมดสติไป

เขารีบพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมายืนอย่างทุลักทุเล ก่อนจะก้มลงไปหยิบดาบโลหะที่อยู่ข้างตัวขึ้นมาถือเอาไว้ ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังตัวอาร์มาคิลโลที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเขามากเท่าไรนัก มันกำลังจ้องมองสบสายตากับเขาด้วยแววตาที่ดุร้าย เขาเริ่มก้าวเดินเข้าไปหาด้วยแววตาที่เด็ดเดียว พร้อมถือดาบโลหะที่มีใบดาบยาวโค้งงอแล้วรีบพุ่งตัวเข้าไปฟาดฟันตัวอาร์มาคิลโลที่มีหน้าตาเหมือนหนูและมีกระดองแข็งอยู่รอบตัว ซึ่งมันพยายามหดตัวเป็นทรงกลมพุ่งเข้าโจมตีชายหนุ่มอย่างบ้าคลั่งและรุนแรง ซึ่งชายหนุ่มพยายามใช้ดาบโลหะปัดป้องการโจมตีของมันอย่างระมัดระวัง พวกเขาต่อสู้กันอยู่สักพัก ก่อนที่ชายหนุ่มจะอาศัยจังหวะที่อาร์มาคิลโลคายตัวจากทรงกลมคล้ายลูกบอลในขณะที่มันกำลังจะตกลงถึงพื้นดิน เขารีบใช้ดาบวาดกระบวนท่าเพลงดาบพื้นฐานที่เขาเคยเล่าเรียนมาในวัยเยาว์วาดดาบฟันไปที่หัวของมันจนขาดออกเป็นสองท่อน เลือดของมันพุ่งกระจายออกไปดังสายฝน

“อาร์มาคิโลถูกฆ่าแล้ว ท่านไม่ได้รับวิญญาณสัตว์อสูร เมื่อกินผลึกชีวิตของมันจะมีโอกาสได้รับแต้มพรสวรรค์ด้วยการสุ่มจาก 0-10 แต้ม”

เสียงแปลกประหลาดดังขึ้นมาในหัวของชายหนุ่มที่กำลังทรุดตัวลงกับพื้นดินนั่งพักเหนื่อยอยู่ริมลำธาร เนื่องจากเขาใช้เวลาต่อสู้กับมันมาสามชั่วยาม เขาพักเหนื่อยสักพักแล้วเริ่มพยุงตัวเองขึ้นเดินไปที่ตัวอาร์มาคิโลที่นอนตายไร้ศีรษะอยู่ไม่ไกลมากนัก เขาเอื้อมมือไปคว้ามีดสั้นออกมาจากเอวแล้วคอยลงมีดผ่าเข้าไปที่ตัวของมัน เพื่อค้นหาผลึกชีวิตสีน้ำเงินขนาดเท่าไข่ไก่ เขารีบหยิบขึ้นมาเช็ดทำความสะอาดเล็กน้อยค่อยเลียกินผลึกชีวิตสีฟ้าด้วยความหิว โดยความรู้สึกครั้งแรกที่ลิ้นเขาสัมผัสผลึกชีวิตสีฟ้านั้น มันละลายเป็นของเหลวราวไอศครีมไหลลื่นลงคออย่างง่ายดายและทุกครั้งที่เขากลืนกินของเหลวนั้นเข้าไปในลำคอ มันเหมือนกับมีพลังงานบางอย่างแพร่กระจายไปทั่วอนุภาคของเชลล์และตามเส้นเลือดของเขาทำให้ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นภายในร่างกายของตน

“ผลึกชีวิตของมาร์มาคิโลถูกกินแล้ว ท่านได้รับแต้มพรสวรรค์ระดับปฐพี 1 แต้ม”

เสียงแปลกประหลาดดังขึ้นในหัวชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะทรุดตัวลงกับพื้นอีกครั้งแล้วยกมือเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าของเขาด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

“ข้าช่างไม่มีดวงเอาเสียเลย”

ชายหนุ่มบ่นพึมพำออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินทางกลับเข้าเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากลำธารมากนัก

ในอดีตระยะเวลามากกว่าสองร้อยปีในโลกของการต่อสู้ใช้วิทยายุทธและอาวุธห้ำหั่นกันหรือแม้การต่อสู้ด้วยหมัดมวย โดยปราศจากกำลังภายในอาศัยเพียงกำลังของมนุษย์และทักษะการต่อสู้เพียงเท่านั้น หากจะกล่าวถึงดวงดาวนี้ถูกแบ่งแยกออกเป็นสามดินแดนด้วยกัน โดยในแต่ละดินแดนได้ก่อตั้งเป็นอาณาจักรที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่สิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงเวลาสองร้อยปีก่อนหน้าได้เกิดดาวหางขนาดใหญ่สามลูกตกลงมาจากท้องฟ้าลงมาสู่พื้นดินในดินแดนทั้งสามจนเกิดแรงระเบิดอย่างรุนแรงทำให้เกิดรอยฉีกขาดระหว่างมิติขึ้นและในเวลาต่อมานั้นเองได้กลายเป็นรูหนอนขนาดใหญ่ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังดินแดนลึกลับแห่งหนึ่ง ซึ่งภายในดินแดนดังกล่าวสามารถที่จะพัฒนาความสามารถของมนุษย์ให้เพิ่มมากขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด โดยในภายหลังการเกิดรูหนอน แต่ละดินแดนได้จัดส่งกลุ่มคนเดินทางเข้าไปสำรวจดินแดนลึกลับและรวบรวมข้อมูล ซึ่งก็พบว่าในดินแดนลึกลับดังกล่าวเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดมากมาย ซึ่งในเวลาต่อมาได้ตั้งชื่อสัตว์ประหลาดเหล่านั้นว่า สัตว์อสูรและเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ก็ได้เรียนรู้ต่อไปอีกว่า

หากสามารถสังหารพวกมันได้ก็จะได้รับแต้มที่เรียกว่า พรสวรรค์ โดยที่แต้มแสนพิเศษเหล่านั้นจะใช้ในการพัฒนาความสามารถของมนุษย์ไปอีกระดับและในเวลาต่อมาก็ทราบกันทั่วไปว่าร่างกายของมนุษย์สามารถสร้างเส้นชีพจรลมปราณขึ้นภายในร่างกายได้จากแต้มพรสวรรค์ มันจึงเป็นสาเหตุทำให้มนุษย์ธรรมดาทั่วไปกลายเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถขับเคลื่อนพลังลมปราณกลายเป็นบุคคลที่มีความสามารถเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป

เมื่ออาณาจักรทั้งสามได้ล่วงรู้ถึงความลับของดินแดนลึกลับดังก็ก่อเกิดความตื่นตัวกันอย่างมาก หากอาณาจักรใดมีผู้ใช้ลมปราณเป็นจำนวนมากก็จะสามารถยึดครองอีกอาณาจักรอย่างไม่ยากเย็นนัก ดังนั้นอาณาจักรต้าหยวนจึงได้ร่วมกันปรึกษาหารือจัดตั้งองค์กรทางทหารขึ้นมาควบคุมและดูแลรูหนอนที่เกิดขึ้น เรียกว่า สำนักลมปราณสวรรค์ โดยจะสามารถแบ่งการจัดการออกเป็นสองส่วนนั้นก็คือ หอหมื่นอักษรเป็นส่วนที่รวบรวมกลุ่มคนที่มีความเชียวชาญคิดค้นด้านวิทยายุทธที่ใช้กับพลังลมปราณและองค์กรที่สองเรียกว่า หอพันเนตรทำหน้าที่ในการควบคุมดูแลระเบียบกฎเกณฑ์ในการเข้าใช้งานรูหนอน

ชายหนุ่มคนหนึ่งมีนามว่า มู่หยวน ขยะไร้ค่าที่คนในเมืองต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี มู่หยวนได้เดินทางเข้ามาดินแดนลึกลับแห่งนี้เป็นครั้งแรกก็พบว่าเขาโดนสุ่มมาอยู่เมืองหยวนชิง เขามีอายุเพียงสิบหกปีและฐานะทางบ้านยากจนอย่างมาก ดังนั้นในครั้งแรกที่เขาเดินทางที่ดินแดนลึกลับแห่งนี้จึงไม่มีอาวุธหรือวิญญาณสัตว์อสูรติดตัวมาเลยสักชิ้น มันจึงเป็นเหตุผลที่เขาใช้ชีวิตในดินแดนลึกลับด้วยความยากลำบาก มู่หยวนได้เดินทางมาที่เมืองหยวนชิงได้หกเดือนและได้เรียนรู้ว่าดินแดนลึกลับแห่งนี้มีชื่อเรียกขานกันว่า แอเรียหนึ่ง

เขาใช้เวลาส่วนมากในการเดินทางออกไปล่าสัตว์อสูรเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก เนื่องจากเขาเพิ่งจะเรียนจบจากโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งที่สอนเพียงวิทยายุทธขั้นพื้นฐานเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะล่าสัตว์อสูรระดับสูงได้เลย ซึ่งในดินแดนแห่งนี้จะแบ่งระดับของสัตว์อสูรออกเป็นสี่ประเภทด้วยกันนั้นคือ ระดับปฐพี ระดับนภา ระดับราชาและระดับเทวะและในระหว่างที่มู่หยวนเดินเข้าประตูเมืองก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มตะโกนแทรกฝูงชนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นมิตร

“มู่หยวน วันนี้เจ้าล่าสัตว์อสูรอะไรได้บ้าง”

กงเฉินเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินสวนกับมู่หยวนที่กำลังเดินเข้ามาจากประตูเมือง

“ข้าว่า มันคงล่าได้แค่ระดับปฐพีเท่าละ”

โหยงห่าวเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที พร้อมกับใช้สายตาจับจ้องมองไปที่มู่หยวนที่เดินคอตกเข้ามาในเมืองด้วยแววตาที่แสนเศร้า

“เหอะ พอก็ได้”

มู่หยวนเอ่ยขึ้นมาแล้วรีบเดินหลบพรรคพวกของกงเฉินไปด้วยความรวดเร็ว เนื่องจากที่ผ่านมาเขาจะโดนพรรคพวกกงเฉินรังแกอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากเจ้าอ้วนกงเฉินในอดีตเป็นเพื่อนบ้านของเขาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าอ้วนกงเฉินจะตามจีบคุณหนูชูเหม่ยหลานมีศักดิ์เป็นลูกสาวของเจ้าเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ในขณะนี้ แต่ทว่าคุณหนูชูเหม่ยหลานไม่ได้สนใจเจ้าอ้วนกงเฉินเลย แต่เธอแอบมาเล่นกับมู่หยวนอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้เจ้าอ้วนกงเฉินเกิดความอิจฉามู่หยวนเป็นอย่างมาก

“ไอ้กระจอกอย่างเจ้ารีบออกจากแอเรียหนึ่งซะ ก่อนจะเอาชีวิตอันไร้ค่ามาทิ้งซะเปล่า ฮ่าฮ่า”

กงเฉินร้องตะโกนตามหลังมู่หยวนที่กำลังเดินจากไปด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหดหู่เจือป่นความแค้นเคือง เขาพยายามอดทนมาเป็นเวลานับสิบปี เนื่องจากไม่อยากให้ครอบครัวของตนเดือดร้อนจากบิดาของกงเฉินที่ทำงานเป็นถึงเลขาเจ้าเมืองที่เขาอาศัยอยู่ เขาจึงพยายามไม่โต้ตอบและหลีกเลี่ยงเจ้าอ้วนกงเฉินตลอดมา มู่หยวนรีบเดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง ซึ่งในครั้งแรกที่เขาเดินทางผ่านรูหนอนมายังเมืองหยวนชิงด้วยการสุ่มว่าจะได้เป็นอยู่เมืองใด เขาภาวนาในใจว่าอย่าส่งตัวเขาไปอยู่เมืองเดียวกับเจ้าอ้วนกงเฉินเลย แต่ดูเหมือนฟ้าจะไม่เป็นใจจับเขามาอยู่เมืองเดียวกับมันจนได้ โดยครั้งแรกที่เข้าเดินผ่านรูหนอนก็ได้มาปรากฏตัวที่ห้องพักห้องแห่งนี้ที่มีหมายเลขระบุ ซึ่งภายในห้องพักดังกล่าวจะไม่สามารถพาบุคคลอื่นนอกจากตัวเองเข้ามาได้ ดังนั้นมันจึงเปรียบเสมือนพื้นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้ที่จะเข้ามาแสวงหาโชคลาภหรือการพัฒนาตัวเองในดินแดนลึกลับแห่งนี้ เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักของเขาก็เดินตรงไปเอาดาบไปแขวนไว้ที่กำแพงของห้อง ก่อนจะเดินไปหยิบเนื้อสัตว์อสูรออกมาจากถังน้ำแข็งแล้วเริ่มทำอาหารกิน เพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้า

มู่หยวนเป็นชายหนุ่มอายุสิบหกปีที่เพิ่งจะเรียนจบการศึกษาจากโรงเรียนรัฐแห่งหนึ่งในเมืองซูโจว เขาได้รับการฝึกฝนการใช้อาวุธพื้นฐานเกือบทุกชนิดจากโรงเรียนแห่งนี้ แต่ก็ไม่ได้เรียนรู้วิทยายุทธระดับสูงเหมือนกับการเข้าศึกษาโรงเรียนเอกชนมีชื่อในตัวเมือง เขาตัดสินใจเข้ามาเสี่ยงโชคในแอเรียหนึ่ง เพื่อมีความหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือแม่และน้องสาวของตนที่กำลังประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนักหน่วงในขณะนี้ ซึ่งทางสำนักลมปราณสวรรค์ได้ผ่อนปรนให้ประชาชนทั่วไปสามารถลงทะเบียนเข้าไปในแอเรีย โดยกำหนดให้มีอายุมากกว่าสิบหกปี เนื่องจากทางองค์กรกำลังประสบปัญหาขาดกำลังคนที่ใช้ในการออกรบกับบางอย่างในแอเรียที่สูงขึ้นไป

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
0
0