โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

‘สิระ-มงคลกิตติ์’ จับหางอย่าลืมหัว!

แนวหน้า

เผยแพร่ 22 ส.ค. 2563 เวลา 19.00 น.

ขณะนี้ ผู้คนกำลังจับจ้องเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่าง นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กับนายสิระ เจนจาคะ สส.พรรคพลังประชารัฐด้วยเหตุการณ์ “ปลายเหตุ” ด้วยความตลกโปกฮากับสมเพชระคนกัน

ในการรับรู้ของคนหมู่มาก ทั้งคู่ไม่ใช่ สส.ประเภท “ไฮคลาส” แต่เป็นนักการเมืองประเภท “อยู่กับกระแส” ถนัด “ทำโชว์” และชอบ “เป็นข่าว”

โดยเฉพาะนายสิระ เจนจาคะ นั้น ดูได้จากการใช้โอกาสที่นายมงคลกิตติ์ตามตอแย โดยอ้างว่าจะมา“ขอเคลียร์” หลังนายสิระไปแจ้งความที่ สน.ทุ่งสองห้อง ก่อนจะกลับมาที่สัปปายะสภาสถาน เพื่อนำเรื่องไปร้องเรียนกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา

ขณะที่ นายมงคลกิตติ์จมอยู่กับสีหน้าไม่พอใจ และอยากจะ “ขอคุยหน่อย” นายสิระก็เล่นกับ “กล้อง” และ“นักข่าว” เสมือนนักมวย “ชกวน” คือ แย็บไปถอยไป ด้วยการเดินหนี และฟ้องกับกล้องว่านี่นะครับ สส.นักเลง เรียกตำรวจสภา บอกนักข่าว พร่ำพูดว่าตนเป็น สส.ที่ทำงานเพื่อประชาชน แต่ สส.อีกคน มีพฤติกรรมนักเลง

สมาธิดีมาก จดจ่ออยู่กับกล้อง เหมือนทำการถ่ายทอดสด หรือทำ “ภาพเหตุการณ์ให้มากพอ” เพื่อสื่อจะนำไปเผยแพร่ต่อได้ในทุกแพลตฟอร์ม

ในขณะที่นายมงคลกิตติ์จมอยู่กับ “ความไม่พอใจ” จนเสียท่า กลายเป็น “ตัวประกอบร้ายๆ” ในฉากนี้ไปเสีย

คุณูปการทางการเมืองของเรื่องนี้ คือ แย่งพื้นที่ข่าวออกมาจาก “ม็อบ” และ “นักเรียนชูสามนิ้ว” ได้บ้าง

ต้นทางของเรื่องนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 ที่รัฐสภา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ สส.บัญชีรายชื่อหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ใช้วิจารณญาณตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง หากไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ได้ภายใน 1 เดือน เพราะเชื่อว่าวันที่ 19 ก.ย.ที่จะมีการนัดชุมนุมใหญ่ จะไม่ได้มีเพียงนักเรียน นักศึกษา เท่านั้น แต่ทั้งคนตกงาน และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจจะออกมาร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก และกังวลว่าจะมาล้อมสภาฯ ในวันลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียพล.อ.ประยุทธ์ ควรตัดสินใจลาออก และให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ตามบัญชีนายกฯ ของพรรคการเมือง ซึ่งยังคงมีคนที่เหมาะสมหลายคน และ พล.อ.ประยุทธ์ ควรใช้วิจารณญาณตัดสินใจไม่รับตำแหน่งอีก

“ถ้าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ท่านต้องใช้วิจารณญาณที่จะปฏิเสธไม่กลับมาเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ถ้าท่านคิดว่ายังเอาอยู่ สถานการณ์ต้องดีขึ้นภายใน1 เดือน นับจากวันนี้ ก่อนถึงวันที่ 19 ก.ย.เราจะรู้เองว่านักเรียน นักศึกษามีความเข้าใจมากขึ้นและม็อบไม่มาล้อมสภาฯ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่านายกฯ มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาแต่ละด้านได้มากน้อยแค่ไหนหาก 1 เดือน ทำไม่ได้ ท่านต้องพิจารณา ดังนั้นขอให้ทำใจว่างๆ อย่ายึดติด” นายมงคลกิตติ์ กล่าว

เมื่อถามว่า การเสนอเช่นนี้ไม่กังวลว่าจะกระทบความสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะตนเตือนในฐานะที่เป็น สส.คนหนึ่ง และเป็นกัลยาณมิตร ที่อยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล แม้ที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ จะไม่เคยฟังใคร แล้วตนในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงนอกระบบ ไม่อยากเห็นผู้นำรัฐบาลใช้อคติในการแก้ปัญหา

เมื่อถามว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจริง และต้องเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ นายมงคลกิตติ์ จะโหวตหนุน พล.อ.ประยุทธ์ อีกครั้งหรือไม่ ว่า ต้องดูสถานการณ์ก่อน

จากนั้น นายสิระ เจนจาคะ ได้กล่าวว่า ตนเป็น 1 ใน สส.ของพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี วันนี้ตนรู้สึกงงกับสิ่งที่นายมงคลกิตติ์ออกมาพูดเช่นนี้ พฤติกรรมที่ผ่านมาของนายมงคลกิตติ์ ตั้งแต่เป็น สส.มีแต่วีรกรรมสร้างเรื่อง อย่างเช่น การพกสารก่อระเบิดเข้าสภา ออกมาแสดงตัวอยากเป็นรัฐมนตรี ตนขอแนะนำให้นายมงคลกิตติ์ ไปตักนํ้าใส่กะโหลกชะโงกดูเงา หันกลับไปมองตัวเองบ้าง

“นายมงคลกิตติ์ต้องการผลประโยชน์อะไรหรือไม่ที่ออกมาเรียกร้องเช่นนี้ หรือเพราะนายมงคลกิตติ์เงินหมด เนื่องจากบริจาคเงินเดือน สส.ให้ในสถานการณ์โควิดไปแล้ว ซึ่งหากนายมงคลกิตติ์เงินหมดจริง ก็ติดต่อมาบอกผมได้ ผมจะช่วยดูแลให้” นายสิระกล่าว

นายสิระยังกล่าวอีกว่า ตนไม่เข้าใจกับพฤติกรรมของนายมงคลกิตติ์ แต่ก็อยากจะแนะว่า ไปถามตัวเองก่อนว่าสมควรลาออกจาก สส.มากกว่าให้ พล.อ.ประยุทธ์
ลาออกจากนายกรัฐมนตรีหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่นายสิระแถลงข่าวเสร็จ นายมงคลกิตติ์ ได้โทรหานายสิระทันที แต่นายสิระไม่รับสายซึ่งนายมงคลกิตติ์ก็ยังไม่หยุดโทร และส่งข้อความไปหานายสิระว่า “ถ้าแน่จริงมาเจอกัน” จนนายสิระตัดสินใจปิดเครื่องก่อนไปทำภารกิจอื่นข้างนอกรัฐสภา แต่นายมงคลกิตติ์ยังไม่หยุดตามหาในสภาฯ จนกระทั่งมีสส.พรรคเล็กกังวลว่าจะมีเรื่องกันในสภาฯ เพราะนายมงคลกิตติ์ ของขึ้นระบุเลยว่าจะไปดักต่อยนายสิระที่ทางออกอาคารรัฐสภา จนมีผู้สื่อข่าวส่วนหนึ่งไปดักรอ แต่ก็ไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้น เพราะนายสิระได้ออกจากอาคารรัฐสภาไปแล้ว

กระทั่ง เวลา 17.00 น. นายมงคลกิตติ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คว่า “ไอ้สิระ กูเจอมึงที่ไหน กูจะเอาให้ฟันร่วงหมดปาก รู้จักกูน้อย” โดยมี สส.พรรคเล็ก เข้ามากดไลค์ข้อความนายมงคลกิตติ์ด้วย อาทิ นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทรักธรรม เป็นต้น

ส่วนแฟนเพจนายมงคลกิตติ์ต่างเข้ามาแสดงความเห็นกันอย่างหลากหลายกว่า 3.9 พันรายการ ยอดแชร์กระหน่ำกว่า 7.7 พันครั้ง ส่วนใหญ่ขอให้นายมงคลกิตติ์ ใจเย็นๆ อย่าใช้อารมณ์ ขณะที่บางส่วนเปิดอัตราต่อรองทันที โดยย้อนสมัยที่นายมงคลกิตติ์ เคยออกมาเปิดเผยว่า สมัยที่เรียน เคยมีเรื่องกับคู่อริ 30 ต่อ 1 มาแล้ว เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวได้โทรไปสอบถามนายสิระ ถึงกรณีที่เกิดขึ้นนายสิระตอบว่า “ผมได้เห็นข้อความดังกล่าวที่นายมงคลกิตติ์โพสต์แล้ว และเตรียมดำเนินคดีในข้อหาข่มขู่ ให้สังคมไปตัดสินเอาเองว่า คนที่จะมาเป็นสส.มีวุฒิภาวะแบบนี้ได้อย่างไร”

และได้แคปโพสต์ของนายมงคลกิตติ์ไปโพสต์ต่อ พร้อมข้อความว่า “เต้พลาดแล้ว พรุ่งนี้ 10.00 น. พบกันที่สน.ทุ่งสองห้อง”

น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐเล่นบท “เพื่อนไม่ทิ้งกัน” ด้วยการให้ความเห็นว่า การกระทำดังกล่าวของนายมงคลกิตติ์ ถือว่า ไม่มีวุฒิภาวะของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งการกระทำเช่นนี้เมื่อออกไปสู่สายตาของประชาชน ทำให้ภาพลักษณ์ของสภาเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกเหมารวมว่า สส.มีนิสัยนักเลงกันทั้งสภา เพราะฉะนั้นวันนี้จะปล่อยให้ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้องไม่ได้

“ในวันพรุ่งนี้เวลา 13.30 น. ดิฉันจะไปยื่นหนังสือต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ตรวจสอบจริยธรรมของนายมงคลกิตติ์ ว่ามีพฤติกรรมที่เหมาะสมพอที่จะเป็นตัวแทนของประชาชนต่อไปอีกหรือไม่เพราะหากสมาชิกทั้งสภาจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ดิฉันคิดว่าไม่ถูกต้อง ประเทศมีกฎหมายบังคับใช้ วันดีคืนดีนายมงคลกิตติ์ จะลุกขึ้นมาข่มขู่ทำร้ายใครตามอำเภอใจไม่ได้” น.ส.ปารีณา กล่าว

ส่งผลให้นายมงคลกิตติ์ ได้ลบโพสต์ที่มีถ้อยคำดุเดือดดังกล่าวออกไปจากหน้าเพจเฟซบุ๊ค พร้อมกับโพสต์ข้อความใหม่ ที่ระบุว่า “ผมยอมรับ ผมมันเลือดนักเลง ผมเป็นคนรักความยุติธรรม ไม่ชอบเห็นใครถูกรังแก ไม่เคยข่มเหงใครก่อน รักพวกพ้อง แต่ผมก็ไม่เคย เก็บส่วยบ่อน ตู้ม้า ตู้สลอต เข้าตัว มีแต่หาวิธีนำรายได้เข้ารัฐเพื่อช่วยเหลือประชาชน”

เต้-มงคลกิตติ์ก็มี “เพื่อนไม่ทิ้งกัน” เช่นเดียวกันนายศยุน ชัยปัญญา รองเลขาธิการพรรคไทยศรีวิไลย์ ว่า คำพูดของนายสิระ ถือเป็นคำพูดที่ดูถูกหัวหน้าพรรคและพรรคไทยศรีวิไลย์เป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่นายมงคลกิตติ์ มีมากกว่านายสิระแน่ๆ ก็คือความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เห็นเงินเป็นใหญ่ จึงทำให้ตนและสมาชิกพรรคต่างยอมรับและนับถือนายมงคลกิตติ์ นอกจากจะนับถือในฐานะหัวหน้าพรรค ดังนั้น ตนจึงอยากให้นายสิระ ถอนคำพูดที่มีลักษณะดูถูกเช่นนี้ด้วย

“ผมอยากฝากถามไปยัง นายสิระว่า ตอนที่เป่านกหวีดไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนทำให้เกิดรัฐประหารก็ไม่ใช่มาจากการที่ไม่ยอมลาออกหรือแต่เลือกที่จะซื้อเวลาและยุบสภา แล้วผลเป็นอย่างไรพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน กำลังที่จะกลับไปเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า เพราะท่านบอกจะแก้รัฐธรรมนูญ แต่เวลาไม่ได้บอกว่า จะใช้เวลากี่วันกี่เดือน หรือจะยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ มันก็อาจจะกลับไปสู่วงจรเดิมๆ อยากถาม นายสิระว่า ต้องการกลับไปเป็นแบบนั้นหรือ ซึ่งการที่พรรคไทยศรีวิไลย์เข้าร่วมรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องเห็นตรงกับรัฐบาลทุกเรื่อง สิ่งไหนที่เป็นประโยชน์ก็สนับสนุน สิ่งไหนที่ไม่ถูกไม่ควรก็ค้าน ไม่ใช่ เลียนายอย่างเดียว ดีครับนาย เห็นชอบครับผม ถูกต้องครับนาย เหมาะสมครับนาย มันไม่ใช่วิสัยของพวกผม ตัวอย่างก็มีให้เห็น ฉิบหายทุกราย ที่มีลูกน้องเชลียร์อย่างเดียว นักการเมืองต้องยึดหลักผลประโยชน์ ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่จะโชว์ป๋า และในฐานะที่เป็นประธานกรรมาธิการการกฎหมายและยุติธรรมฯ อย่าลืมเรียก ผบ.ตร.มาชี้แจ้งหมายจับของ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ที่โดนศาลฎีกาตัดสินให้จำคุกจนถึงวันนี้ตำรวจยังจับตัวไม่ได้เลย ถามว่าไปถึงไหนแล้วอย่าจับแต่เด็กที่เห็นต่างด้วย” รองเลขาธิการพรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าว

วันรุ่งขึ้น นายสิระไปแจ้งความที่ สน.ทุ่งสองห้อง จริงเมื่อกลับมาสัปปายสภาสถาน ก็เจอเต้-มงคลกิตติ์ จะขอคุยขอเคลียร์ จึงเกิดภาพสิระ “ชิงใช้สถานการณ์นั้น” เล่นกับกล้อง สร้างภาพให้นายมงคลกิตติ์รับบท “นักเลงอันธพาล” ได้อย่างมืออาชีพ!

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายสิระ กับนายมงคลกิตติ์ ว่า บอกตรงๆ ภาพพจน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับผลกระทบ แต่ต้องแยกระหว่างคนหมู่ใหญ่กับคน 2 คน ออกจากกัน อย่าเหมาว่าทุกคนในสภา จะมีสภาพแบบนี้ ตนตั้งใจว่าจะให้ทั้ง 2 คน ได้พบกันและคุยกัน เพราะว่าถ้าไม่คุยกันจะยิ่งขัดแย้งกัน โดยนายสิระ ยืนยันว่าจะเรื่องส่งกรรมการจริยธรรม พอดีกับสัปดาห์ที่แล้วเรากำลังประชุมกรรมการจริยธรรม เพื่อมอบให้นายนิกร จำนง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ไปร่างระเบียบ วิธีปฏิบัติก็จะเป็นหนึ่งในเรื่องที่ รวมเอาไว้เพื่อเสนอคณะกรรมการจริยธรรมต่อไป

ส่วนเรื่องความรุนแรง ขอร้องว่าอย่าให้เกิดขึ้น การขัดแย้งเรื่องวาจาไม่เป็นไร ค่อยว่ากันแต่เรื่องความรุนแรงอย่าให้เกิดขึ้น ตนพยายามที่จะเชิญทั้ง 2 ฝ่าย มาคุยกัน
แต่ทั้งคู่ไม่ยอมมาคุยกัน โดยคนที่ยืนกรานว่าจะไม่ขอคุยคือนายสิระ ซึ่งทางฝ่ายของนายมงคลกิตติ์ เองก็ไม่ต้องการเช่นกัน

เมื่อถามว่า หากมีการต่อยหรือตีกันในสภาฯ จริงๆ จะมีบทลงโทษอย่างไรบ้าง นายชวนกล่าวย้ำว่า “บอกแล้วว่า ยังไงก็อย่าให้เกิดขึ้น ผมคิดว่าดีที่สุดคือเอาคำพูด
ของแต่ละฝ่ายมารวบรวม เรียบเรียงว่าเริ่มต้นอย่างไรใครเป็นผู้ก่อเรื่องขึ้นมาก่อน และเรื่องตามมาอย่างไรส่วนเรื่องที่บอกว่าจะเอาให้ฟันร่วงหมดเลย เขาก็ยืนยันว่าเขาจะไม่ทำ”

ทั้งนี้ หลังจากที่นายมงคลกิตติ์เข้าพบนายชวนนายมงคลกิตติ์ได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง โดยกล่าวว่าได้มอบหมายให้ทนายความของพรรคไปฟ้องนายสิระที่ศาลอาญา ข้อหาหมิ่นประมาท ในวันจันทร์ที่ 24 ส.ค. แต่หากนายสิระมาขอโทษต่อสื่อมวลชน ทุกอย่างก็จบ

สรุป ::

1) ในที่สุด สังคมก็หลงประเด็น ลืมว่า หัวใจของเรื่องนี้ คือ ข้อเสนอที่นายมงคลกิตติ์มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ให้รีบจัดการปัญหาให้จบใน 1 เดือน เพราะเกรงว่าจะมีม็อบมาล้อม ที่ผสมโรงโดยคนตกงานและอื่นๆ ไม่เช่นนั้นให้ลาออกไป ให้สภาได้เลือกคนใหม่มาเป็นนายกฯ ประเด็นนี้ไม่มีการถกเถียงกันทั้งๆ ที่น่าถกเถียงอย่างที่สุด

2) นายสิระ ก้าวล่วงทางวาจานายมงคลกิตติ์ก่อนดูหมิ่นว่าเงินหมด ตนพร้อมจะดูแล มันเป็นการหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สมควรที่จะต้องดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาท แต่อีกด้าน มันก็จี้หรือย้ำไปที่ “ความรู้สึกของสังคม” จากข่าว “ลิงกินกล้วย” ก่อนหน้านั้นซึ่งเป็นประโยชน์ต่อนายมงคลกิตติ์ที่ควรเลิกการเล่นการเมืองแบบ “ตีหัวเข้าบ้าน” หรืออาจถูกมองว่า “ตีกิน” ได้ด้วยเช่นกัน

3) นายมงคลกิตติ์พลาดหนักที่ไปโพสต์ข้อความข่มขู่ จะต่อยให้ฟันร่วง อันเป็น “สันดานนักเลง” ที่รอบนี้“ขายไม่ได้” ซ้ำร้ายเป็นโทษแก่ตัวเองด้วย

สุดท้าย เรื่องนี้กลายเป็น “มวยถูกคู่ คนดูถูกใจ”จนลืมที่จะช่วยกันคิด ช่วยกันวิเคราะห์ข้อเสนอที่ว่า “หากภายใน 1 เดือน พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถจบความวุ่นวายภายในประเทศได้ ควรพิจารณาลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีเสีย และอย่ารับตำแหน่งอีก หากมีคนเสนอชื่อในการโหวตนายกฯ รอบใหม่ในสภา”

การแก้ปัญหาเช่นว่านี้ หรือคำขาดเช่นนี้ ควรได้รับการสนับสนุนหรือไม่ เพราะอะไร

มาถกเถียงกันเถิด!!!

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...