ในช่วงการเมืองอันร้อนระอุไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้
หลายคน เห็นชัดว่าช่องว่างและความต่างระหว่างวัย ของทั้งรุ่นเราและรุ่นครอบครัวของเรานั้น มันช่างห่างอย่างยากที่จะเชื่อมต่อกันติดเหลือเกิน
แต่หลายคน อาจรู้สึกถึงความไม่ลงรอยกันทางความคิดระหว่างตัวเรากับครอบครัว
มาเป็นเวลานานมากแล้ว เนื่องด้วยประสบการณ์ชีวิตที่เรามี สิ่งแวดล้อมรอบตัวและสิ่งที่เราเลือกเสพ, หรือเพื่อนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ที่เราเลือกจะเสวนา
เราเข้าใจคนที่ ‘เห็นด้วย’ กับเราอย่างสุดหัวใจ
แต่เรากลับลืมไปว่า คนที่ ‘เห็นต่าง’ กับเรานั้น
มันก็ไม่ผิดเลย ที่เราจะเลือกมอบความ ‘พยายามจะเข้าใจ’ ให้พวกเขาด้วยเหมือนกัน
ถึงแม้ เราอาจคิดว่ามันจะยากมากมายเหลือเกินก็ตาม
ผู้เขียนเอง เห็นเพื่อนบ่นในเฟซบุคสเตตัส
ว่าถ้าหากต้องมามีแฟนที่คิดต่างกับฉัน อาจเปรียบได้เหมือนนรกเลย ขอเลิกกันซะยังดีกว่า
‘คงจะทนไม่ได้’
แต่ผู้เขียนกลับคิดว่า
ถ้าหากใครสักคนที่อยากจะใช้พลังของตัวเอง ลองสมานความสัมพันธ์นั้นไว้
เพราะมันก็มีความทรงจำและคุณค่าต่างๆ ที่เราได้จากการรักคนๆ นี้
และจากความรักของคนๆ นี้ที่มอบให้เรา
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คนรัก หรือคนสนิทที่ไหน
ขอมาลองดูอีกซักตั้งในการประนีประนอม อย่างไม่สูญเสียความเป็นตัวเองมากนัก
จะมีวิธีไหนได้บ้าง?
- เอาใจเขา มาใส่ใจเราก่อน อันดับแรก
เข้าใจก่อนว่า การเอาใจเขามาใส่ใจเรา
คือการเข้าใจเขา ที่เขาเป็นเขา ไม่ใช่พยายามให้เขาเข้าใจเรา อย่างที่เราเป็นเรา
ลองคิดดูว่า หากเขาไม่ได้มีสายตาดวงเดียวกับที่เราใช้มองโลก
ไม่ได้มีภาษาเดียวกับที่เราใช้สื่อสาร
เราจะเข้าใจเขา จากความต่างตั้งแต่รากเหง้านี้ ได้ยังไงบ้าง
ถึงแม้เราอาจต้องลบ ‘ความรู้/ความเข้าใจ’ จากฝั่งเราออกใหม่หมดก็ตาม
เพื่อเปิดใจมองเขาได้อย่างไม่มีอคติ
- แต่ละคน มีลำดับความสำคัญในการมองโลก ไม่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ทุกการตัดสินใจแต่ละครั้ง และความเห็นที่แต่ละคนมองต่อประเด็นๆ หนึ่ง
เลยมีน้ำหนักของความใส่ใจได้ไม่เท่ากัน
ซึ่งหากคนที่เรารักคนนั้น ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องที่เราคิดว่ามันคือเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งของชีวิตนี้
มันอาจไม่ได้แปลว่า เขาไม่เคยเห็นเรื่องนี้สำคัญเลย
โลกไม่ได้มีแต่สีขาว-ดำ ไม่ได้มีแค่บวก-ลบ
และอย่าลืมว่า ‘คุณค่า’ ที่แต่ละคนเลือกมอบให้กับโลกใบนี้
มันมีรากฐานมาจาก วัฒนธรรม/ประเพณี และประสบการณ์การใช้ชีวิตมากมายที่หล่อหลอมให้เราเชื่อว่า สิ่งที่เรายึดมั่นอยู่นี้ คือสิ่งที่ใช่
มันจึงยาก ที่จะมองเรื่องที่เราเชื่อมาตลอด เป็นอย่างอื่น
ยกตัวอย่างเช่น
เมื่อวันก่อน เราไปกินข้าวกับแม่ และเพื่อนของแม่อีกสองคนที่เป็นผู้ชาย
คุณลุงหนึ่งในนั้นได้เล่าเรื่องลูกชายตัวเอง ที่เมื่อก่อนเป็นคนเกเร ชอบหาเรื่องชกต่อย สร้างความเดือดร้อน แต่คุณลุงได้เล่าเรื่องนี้ด้วยอารมณ์ความตลก ทุกคนก็ขำไปกับเรื่องที่ลุงเล่า แต่เรารู้สึกเจ็บปวดมากกับการที่ใครสักคน เห็นเรื่องความรุนแรง เป็นเรื่อง ‘ปกติ’ ที่สามารถคุยได้อย่างสบายใจ ไม่รู้สึกผิดอะไรในวงสนทนาระหว่างทานข้าว
เราต่อต้านและรู้สึกว่าอยากจะถก ถึงความเห็นที่ว่า ทำไมพวกเขาถึงโอเคกับเรื่องแบบนี้
แต่แม่เรารู้สึกว่า ‘สิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง’ คือมารยาทและกาลเทศะ ที่ไม่ควรจะ ‘พูดขัด’ ในวงสนทนา
แต่เรากลับรู้สึกว่า ‘สิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง’ คือการยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง นั่นคือการไม่ทำร้ายใคร
หรืออีกตัวอย่าง
หากภรรยาคนหนึ่ง ทะเลาะกับสามี ‘เรื่องช่วงเวลาพิเศษ ที่ไม่ค่อยมีให้กัน’
ภรรยา อาจให้ความสำคัญกับ ‘ช่วงเวลาพิเศษที่มีด้วยกัน’
แต่สามีอาจให้ความสำคัญกับ ‘การขยันทำงาน เพื่อมีเงินให้ครอบครัวอยู่อย่างสบาย’
นั่นไม่ได้หมายความว่า สามี ไม่ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาพิเศษด้วยกัน แต่เขาแค่เห็นบางเรื่องที่มีความสำคัญอันดับต้นกว่า ทั้งคู่จึงควรเจรจาคุยกันโดยพยายามฟังสิ่งที่อีกฝ่ายมีอยู่ในใจด้วย
- การเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องน่ากลัว
บางคนที่ต่อต้านความเปลี่ยนแปลง
ไม่ได้แปลว่า เขาไม่อยากมีชีวิตที่ดี
แต่หลายครั้ง เมื่อชีวิต ‘คุ้นชิน’ กับแบบแผนใดๆ มาเป็นเวลานานแล้ว
‘ความคุ้นชิน’ จะสร้างความรู้สึกเหมือน ‘ความปลอดภัย’
เมื่อความเปลี่ยนแปลงมาเคาะประตูชีวิตพวกเขา พวกเขาอาจรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ และความไม่ปลอดภัย เลยทำให้กลับไปโอบกอดและยึดติดกับอะไรที่คุ้นชินเหมือนเดิมได้อย่างง่ายดาย
ยกตัวอย่างเช่น คู่สามี-ภรรยา คุ้นชินกับการที่ สามีเป็นคนยอมภรรยาทุกอย่าง
อยู่มาวันหนึ่ง สามีลุกขึ้นมาต่อต้าน และไม่อยากทำตามสิ่งที่ภรรยาร้องขอทุกอย่างเหมือนเดิมแล้ว อยากมีความคิดเป็นของตัวเอง และเริ่มมีปากมีเสียงกับภรรยา
ภรรยา รู้สึกว่า สามีเปลี่ยนไป ไม่รักตัวเองเหมือนเดิมแล้ว
แต่จริงๆ สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ‘แบบแผนการใช้ชีวิต’ –ความรักที่มีอยู่ อาจจะเหมือนเดิมก็ได้
แต่ความรู้สึกของเรา มันแค่รู้สึกเหมือนไม่ปลอดภัย เท่านั้นเอง
- วิธีการพูดจาที่นุ่มนวล
เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เราเลือกใช้วิธีเจรจา ด้วยการโยนความผิดไปให้เขา พูดจากระแนะกระแหน หวังอยากให้อีกฝ่ายสำนึกว่าอีกฝ่ายนั้นผิดขนาดไหน
เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้รับพลังงานจากเราแบบนี้แล้ว
แน่นอน เขาก็จะปิดตัวเอง และปิดการรับรู้ทุกอย่างทันที
ไม่มีใครชอบเป็นฝ่ายถูกกระทำ
พูดจากับเขาด้วยความนุ่มนวล เพื่อให้เขาเปิดใจและลองรับฟังสิ่งที่เราอยากจะสื่อสารออกมา
- ทุกคนต้องปรับทั้งนั้น ไม่ใช่แค่เขา หรือเราฝ่ายเดียว
เข้าใจกันก่อนว่า การพูดจาปรับความเข้าใจในครั้งนี้ คงจะต้องปรับทั้งสองฝ่าย
จุดประสงค์เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเราและคนที่เรารักนี้ไว้
น่าจะเป็น ‘ความประนีประนอม’ ไม่ใช่ ‘การเอาชนะ’
ดูอย่างเวลาที่เด็กรุ่นใหม่บอกว่า ‘โลกนี้ไม่ใช่ของผู้ใหญ่ฝ่ายเดียว’
ความจริงก็คือ ถูกต้อง โลกไม่ใช่ของผู้ใหญ่ฝ่ายเดียว แต่โลกก็ไม่ใช่ของเด็กฝ่ายเดียวเหมือนกัน ถึงจะเป็นความจริงที่กล้ำกลืนลำบาก
แต่การให้เขาเข้าใจเราอยู่ฝ่ายเดียว แปลว่าเรานั้นเห็นแก่ตัวนะ
อย่าลืมซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง
พยายามทำความเข้าใจคนที่เรารัก โดยที่ไม่ต้องไปฝืนจนสูญเสียความเป็นเรา
ทำให้ดีที่สุด ในการปรับความเข้าใจครั้งนี้
แต่ถ้าทุกครั้งที่พูด มันมีแต่ความระเบิด มีแต่ความปะทุ
เราคงต้องถอยออกมา แล้วก็มองสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ว่า
เราเข้าใจเขาได้แค่ไหน
อาจต้องลบความเชื่อที่ว่า หากจะรักใครสักคน เราต้องรักและสนับสนุนในทุกเสี้ยวตัวตนของเขาออกไป
เราอาจไม่สามารถเข้าใจ ทั้งหมดในความเป็นเขา
บางครั้งเราก็อาจรักใครสักคนได้ เท่าที่ความสามารถของเราจะรักไหว
ก็เท่านั้นแหละ
อ่านบทความใหม่จากเพจ Beautiful Madness by Mafuang ได้ทุกวันพุธบน LINE TODAY
ความเห็น 7
🙂🙂
21 พ.ย. 2563 เวลา 23.01 น.
Nooda 🦋
😊😊
21 พ.ย. 2563 เวลา 16.56 น.
Tharapong
มีแบบชอบยุยง หรือเสี้ยม ใครหนอ
12 พ.ย. 2563 เวลา 11.20 น.
μηχανικός
เลิกกันไปเลยครับ
สมัยก่อน ปชป ชาติไทย ประชากรไทย กิจสังคม
บลาบลาบลา ยังอยู่ด้วยกันได้
พอมี จำลอง พลังธรรม เข้ามาก็เริ่มแตกคอกัน เฮียเหลี่ยม take over ปั๊บ เริ่มบ้านแตก
มายุคนี้ ไอตี๋น้อยกับปิแยร์ บรรลุผลขั้นสุดถึงสถาบัน เห็นต่างสถานการณ์นี้ เลิกกันไปเลย
12 พ.ย. 2563 เวลา 10.44 น.
โฉ ธนภัทร
มันไปถึงขั้น ไม่มองหน้ากันแล้วนิ คนอยู่บ้านเดียวกัน
เพราะเห็นต่างกัน แย่แล้วครอบครัวนั้น
12 พ.ย. 2563 เวลา 10.43 น.
ดูทั้งหมด