โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

“แพทองธาร” ยันไม่ล้ม “ดิจิทัลวอลเล็ต” เร่งปรับแผนใช้งบ 1.57 แสนล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจ

ข่าวหุ้นธุรกิจ

อัพเดต 01 มิ.ย. เวลา 06.10 น. • เผยแพร่ 01 มิ.ย. เวลา 06.09 น. • ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์

ผู้สื่อข่าวรายงาน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลยังคงเดินหน้าดำเนินโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ท” โดยยังไม่มีการยกเลิก เพียงแต่จะเลื่อนการดำเนินงานในเฟสที่ 3 ออกไป เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายงบประมาณที่เหลืออยู่จำนวน 157,000 ล้านบาทในปีงบประมาณนี้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนและประเทศชาติในภาพรวม

โดยจะนำไปใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การบริหารจัดการปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง การพัฒนาเส้นทางคมนาคม และการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการปรับแผนตามข้อเสนอแนะของหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ สภาพัฒน์ ธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงความคิดเห็นจากประชาชนและพรรคการเมืองฝ่ายค้าน โดยรัฐบาลได้ประมวลความเห็นทั้งหมด เพื่อนำไปสู่แนวทางที่ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดของกรอบงบประมาณที่ต้องใช้ภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การบริหารจัดการน้ำเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนทั่วประเทศ ทั้งในด้านน้ำท่วมและน้ำแล้ง โดยเฉพาะพื้นที่เกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาน้ำเป็นหลัก ทั้งในแง่ของการบริโภค อุปโภค การเพาะปลูก และการผลิตเพื่อการส่งออก นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะเติบโต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่คาดว่าจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นในอนาคต การแก้ไขปัญหาน้ำจึงต้องดำเนินการแบบบูรณาการ มีการร่วมมือกันทุกภาคส่วน เพื่อให้ความเสียหายลดลงอย่างเป็นรูปธรรม

ในส่วนของการพัฒนาเส้นทางคมนาคม รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญในการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทั้งในและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรที่มีอายุการเก็บรักษาจำกัด หากสามารถส่งต่อได้รวดเร็วจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและภาคการผลิตในประเทศ ขณะเดียวกันงบประมาณส่วนนี้ยังสามารถนำไปใช้เพื่อเร่งรัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเดินทางและโลจิสติกส์ ซึ่งจะเป็นผลดีในเชิงยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจในระยะยาว

สำหรับด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนเองมีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศและเห็นถึงพัฒนาการด้านสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานในเมืองใหญ่ต่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยควรปรับปรุงและยกระดับแหล่งท่องเที่ยวให้มีความทันสมัย ปลอดภัย สะอาด และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะการลงทุนในระบบกล้อง CCTV และมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เป็นระบบ เพื่อเพิ่มความมั่นใจและยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศให้เป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำว่า การเลื่อนโครงการดิจิทัลวอลเล็ทในระยะนี้ไม่ได้เป็นการล้มเลิกแต่อย่างใด โดยยังคงเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ซึ่งจะกลับมาดำเนินการเมื่อเศรษฐกิจมีความพร้อมมากขึ้น โดยปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเร่งใช้งบประมาณให้เกิดผลในเชิงโครงสร้าง ซึ่งสามารถสร้างการจ้างงานได้ในวงกว้าง และกระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานรากในทันที ก่อนจะวางแผนสำหรับระยะกลางและระยะยาวต่อไป

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีระบุว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 จะต้องปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งในแง่ของมาตรการภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง และผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ โดยรัฐบาลจะใช้งบประมาณอย่างยืดหยุ่นและรอบคอบ เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้อย่างทันท่วงที

รัฐบาลยังคงเดินหน้าการลงทุนภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นรัฐบาลที่มีการลงทุนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ พร้อมทั้งเชิญชวนภาคเอกชนให้ร่วมมือกันอย่างบูรณาการ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงและต่อเนื่อง ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย แต่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงภารกิจระดับนานาชาติที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยได้เดินทางไปเยือนประเทศเวียดนามอย่างเป็นทางการ และร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมระหว่างไทย-เวียดนาม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เวียดนามจัดการประชุมในลักษณะนี้กับประเทศอื่น สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ รวมถึงการเข้าร่วมการประชุมผู้นำอาเซียน ณ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีการหารือครอบคลุมหลากหลายประเด็น ทั้งปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ยาเสพติด และผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของประเทศมหาอำนาจ พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนแนวทางในการขยายความตกลงการค้าเสรี (FTA) และความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหารและพลังงานในเวที ASEAN-GCC-China ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการรวมตัวกันของประเทศจาก 3 ภูมิภาคที่มีประชากรรวมกันกว่า 2,000 ล้านคน

สุดท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงโอกาสในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง (Formula 1) โดยระบุว่าการศึกษาและดูงานในครั้งนี้จะช่วยประเมินศักยภาพของประเทศไทยในการเป็น Man-made Destination เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งจะสร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างโอกาสการจ้างงานในหลายมิติ ตั้งแต่ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร การคมนาคม ไปจนถึงเทคโนโลยีและบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันกีฬา ทั้งนี้การจัดการแข่งขัน F1 ถือเป็นโอกาสในการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยได้มองเห็นเส้นทางใหม่ในการประกอบอาชีพและสร้างชื่อเสียงให้ประเทศในเวทีโลก

รัฐบาลยืนยันว่าจะใช้ทุกโอกาสในการขับเคลื่อนประเทศไทย ทั้งจากภายในและนอกประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน ความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ และการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับอนาคตของชาติ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...