ทำไม “ช็อคโกแลต” จึงถูกใช้สื่อความรักในวันวาเลนไทน์

รู้กันหรือไม่ ว่าเหตุใด “ช็อคโกแลต” ถึงได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แสดงออกถึงความรักในวันวาเลนไทน์ ทั้งๆ ที่เรื่องราวของความรักน่าจะเกี่ยวพันกับดอกไม้ต่างๆ กับความหมายอันงดงามที่แฝงอยู่ เคยสงสัยกันหรือไม่ว่าความสัมพันธ์ของช็อคโกแลตกับความรักนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? และประเพณีการให้ช็อคโกแลตในวันวาเลนไทน์เกิดขึ้นได้อย่างไร?

ประวัติความเป็นมาของวันวาเลนไทน์ที่ต้องย้อนกลับไปสู่ยุคโรมัน แต่ช็อกโกแลตกลายเป็นขนมหวานที่มีบทบาทสำคัญจึงถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าความเป็นมาของมันคืออะไรกันแน่?

ว่ากันว่าบางทีสาเหตุนั้นอาจเกิดมาจากผลงานทางความคิดอันชาญฉลาดในการทำการตลาดของ Richard Cadbury (ช็อคโกแลต Cadbury นี่เอง) เมื่อในช่วงประมาณปี ค.ศ.1800 ครอบครัวของเขาเคยผลิตช็อคโกแลตแท่งคุณภาพชั้นดีในราคาไม่แพง เล่าย้อนกลับไปว่าก่อนหน้านั้นช็อกโกแลตเป็นของกินราคาแพง ทำให้ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะสามารถลิ้มลองช็อกโกแลตได้ จนกระทั่ง Cadbury สามารถผลิตช็อคโกแลตที่มีรสชาติอร่อย ในราคาที่ทุกคนจับต้องได้ เขาก็ได้คิดแผนการตลาดหัวใสด้วยการออกแบบกล่องบรรจุช็อคโกแลตรูปหัวใจ ประดับตกแต่งด้วยกามเทพและดอกกุหลาบแสดงถึงความโรแมนติก จึงทำให้ทั้งรูปแบบบรรจุภัณฑ์และรสชาติของช็อคโกแลต Cadbury ในยุคนั้นครองใจชาวอังกฤษได้ไม่ยาก ช็อคโกแลตของเขากลายเป็นที่ถูกปากทุกคนที่ได้ลองชิม และขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ว่ากันว่าเขาเป็นคนแรกที่คิดค้นช็อกโกแลตใส่กล่องรูปหัวใจและด้วยไอเดียอันบรรเจิดนี้จึงได้เปลี่ยนอารมณ์วันวาเลนไทน์ให้ยิ่งโรแมนติกยิ่งขึ้นนับแต่นั้นเป็นต้นมา

ข้ามมาที่ฝั่งอเมริกา ก็จะมีอีกหนึ่งแบรนด์ช็อคโกแลตชื่อดัง Milton Hershey ที่โด่งดังจากช็อคโกแลตทรงหยดน้ำชื่อน่ารัก 'kisses' แต่หากจะกล่าวไปความคิดอันสร้างสรรค์ในการเชื่อมโยงช็อคโกแลตให้เข้ากับความโรแมนติกต้องยกให้ Russell Stover เธอนำช็อคโกแลตมาบรรจุใส่กล่องผ้าซาตินรูปหัวใจ ตกแต่งด้วยลูกไม้สีดำ เธอและสามีได้ร่วมกันริเริ่มการขายช็อคโกแลตที่ห่อด้วยกล่องรูปหัวใจนี้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1923 โดยตั้งชื่อช็อคโกแลตกล่องนี้ว่า ‘Secret Lace Heart' ซึ่งดูเป็นของขวัญอันโรแมนติกอย่างที่สุด และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา

ว่าแต่ทำไมช็อคโกแลตถึงได้ซีนไปเต็มๆ ในช่วงวันวาเลนไทน์ โดยไม่มีขนมหวานชนิดอื่นแย่งซีนไปได้?

ด้วยเทรนด์ขนมและของหวานมากมายที่มาไม่หยุดไม่หย่อน ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ ชานม ครัวซองต์ และอีกมากมาย แต่ในวันวาเลนไทน์ผู้คนส่วนมากก็ยังคงไม่ลืมที่จะนึกถึงช็อคโกแลต.. มันจะต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับช็อคโกแลตที่ เพราะไม่ใช่เพียงในฝั่งยุโรปหรืออเมริกาเท่านั้น แต่ในฝั่งเอเชียเองก็มีหลายประเทศที่ให้ความสำคัญกับช็อคโกแลตในช่วงวันวาเลนไทน์ มีการมอบช็อกโกแลตให้กับคนที่คุณรัก แม้แต่กล่องช็อกโกแลตก็ยังถูกใช้เป็นที่เก็บความทรงจำดีๆ เชื่อว่าปัจจุบันก็ยังมีคนที่เก็บของกระจุกกระจิกไว้ในกล่องช็อคโกแลตแล้วซุกไว้สักที่ในห้องนอน ยิ่งถ้าเป็นในซีรีส์ย้อนยุคสมัยคุณยาย นางเอกจะต้องเก็บจดหมายรัก ภาพถ่าย และของที่ระลึกเล็กน้อยแทนใจพระเอกนางเอกทั้งงหลายเก็บใส่ไว้ในกล่องช็อคโกแลต รอวันถูกเปิดออกมาอ่านอีกครั้ง

นอกจากเรื่องของบรรจุภัณฑ์ที่สวยจนต้องเก็บไว้ และรสชาติที่หอมละมุนของช็อคโกแลตแล้ว เชื่อว่ายังมีเหตุผลอีกเล็กๆ น้อยๆ คอยสนับสนุนให้เข้าใจได้ว่าเจ้าช็อคโกแลตมามีบทบาทสำคัญในวันแห่งความรักนี้ได้อย่างไร

เหตุผลแรก : ช็อคโกแลตเป็นอาหาร “ปลุกราคะ”!

ตั้งแต่สมัย Aztecs (อ่านว่า “แอซเท็ก” เป็นชื่อของชนเผ่าอินเดียน ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในทวีปอเมริกากลาง ก่อนที่ Columbus จะพบทวีปอเมริกานับพันปี) ชาวแอซเท็กได้กล่าวกันว่าช็อคโกแลตมีสารที่ก่อให้เกิดความปรารถนา และทำให้ใครก็ตามที่กินมันเข้าไปจะเข้าสู่ห้วงแห่งความรักได้ง่ายขึ้น ตามหลักทางวิทยาศาสตร์อาจมีความจริงบางส่วน ล่าสุดคือมีการทดลองพบว่า ผู้หญิงที่กินช็อกโกแลตมีความปรารถนามากขึ้นเมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ไม่กินช็อคโกแลต อาจเป็นเพราะช็อคโกแลตปล่อยสารเคมีที่ช่วยผ่อนคลายสมองซึ่งจะเพิ่มพลังงานและระดับความปรารถนาก็เป็นได้

เหตุผลที่สอง : เพราะช็อกโกแลตเป็น "อาหารสำหรับพระเจ้า"

ช็อกโกแลตมาจากต้นโกโก้ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า ‘Theobroma cacao’ ซึ่งเป็นวิธีการพูดภาษากรีกว่า ‘food for the Gods’ ในอารยธรรมชนเผ่ามายาโบราณ โกโก้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คำนี้มีความหมายทางจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก ชาวแอซเท็กเคยแลกเปลี่ยนเมล็ดโกโก้เป็นเงินตราและเป็นอาหารและเครื่องดื่มสำหรับผู้มีสิทธิพิเศษระดับ VIP ดังนั้นหากช็อคโกแลตเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับพระเจ้า มันก็อาจจะดีพอสำหรับคนสำคัญหรือแม้แต่ต่อตัวคุณเอง

เหตุผลที่สาม : ช็อกโกแลตมีผลทางอารมณ์

ความจริงแล้วช็อคโกแลตมีผลต่อร่างกายและอารมณ์อย่างมาก การให้ช็อคโกแลตไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความรัก แต่ยังมอบให้เป็นวิธีแสดงความยินดี, การบอกรัก, แทนคำขอโทษ, การเริ่มต้นของมิตรภาพ เพราะการรับประทานช็อคโกแลตล้วนทำให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้น

เหตุผลข้อที่สี่ - ช็อกโกแลต (โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาร์กช็อคโกแลต) ดีต่อสุขภาพ

ยิ่งมีความเป็นช็อกโกแลตเข้มเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อสุขภาพ ดาร์กช็อกโกแลตมีสารเคมีที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคหัวใจ เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและฟลาโวนอยด์ซึ่งต่อสู้กับอนุมูลอิสระ และยังช่วยลดความดันโลหิตและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด นอกจากนี้แล้วดาร์กช็อกโกแลตยังมีสารออกฤทธิ์ที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นและความชุ่มชื้นของผิว และมีหลักฐานมากมายที่บอกว่าดาร์กช็อกโกแลตช่วยเพิ่มการทำงานของสมองเนื่องจากโกโก้มีสารกระตุ้นเช่นคาเฟอีนและธีโอโบรมีน เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์รอบด้าน ไม่เพียง แต่เป็นวิธีที่ดีในการแสดงความรัก แต่ยังดีต่อหัวใจจริงๆ และยังมอบความเปล่งประกายและความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้าพร้อมกับการเพิ่มขีดความสามารถในจิตใจของคุณ อย่างไรก็ตามเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ในวันแห่งความรักสิ่งสำคัญคือต้องเลือกดาร์กช็อกโกแลตออร์แกนิกที่มีปริมาณโกโก้สูงๆ ยิ่งเข้มข้นยิ่งดี

เหตุผลข้อที่ห้า - แทบทุกคนที่ชื่นชอบช็อกโกแลต

ไม่ใช่แค่รสชาติอร่อยเท่านั้น การกินช็อกโกแลตทำให้รู้สึกผ่อนคลายราวได้พักผ่อนจากชีวิตประจำวัน แต่เนื่องจากช็อคโกแลตไม่สามารถรับประทานได้ทุกวันเพราะหากมากเกินไปล้วนส่งผลเสียต่อสุขภาพ ขอแนะนำให้กินช็อคโกแลตในปริมาณปานกลางะดื และดื่มมด่ำกับรสชาติของมันเป็นครั้งคราว เช่นในช่วงวันวาเลนไทน์นี่แหละ

เพราะความหมายของวันแห่งความรักมีความละมุนไม่ต่างจากรสชาติของช็อกโกแลต ดังนั้นการกินช็อคโกแลตอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเฉลิมฉลองความรัก ด้วยความดีงามอันอุดมสมบูรณ์ วาเลนไทน์นี้คุณได้ (รับประทาน) ช็อคโกแลตบ้างหรือยังคะ?

ข้อมูลจาก

smithsonianmag.com

theplate.nationalgeographic.com

history.com

exhibits.mannlib.cornell.edu/chocolate/

emedihealth.com

santabarbarachocolate.com