แค่ขลังไม่พอต้องสวยด้วย! วิวัฒนาการเครื่องรางของขลัง“ไอเทมศักดิ์สิทธิ์” หรือ“กระแสแฟชั่น” !
ความเชื่อเรื่องวัตถุมงคล เครื่องรางของขลังเป็นหนึ่งในสิ่งที่อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนานและคงเป็นเช่นนี้ต่อไปตราบเท่าที่มนุษย์ยังต้องการที่พึ่งพิงบางอย่างในการดำรงชีวิต
เมื่อเวลาผ่านไป โลกขับเคลื่อนไปข้างหน้าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัย เราจึงได้เห็นการ ‘เปลี่ยนแปลง’ ในวงการเครื่องรางของขลังมีการปรับตัวให้กับโลกสมัยใหม่ที่น่าสนใจเกิดขึ้นในทุก ๆ ปี
คนที่มีความเชื่อเรื่องดังกล่าว ก็พร้อมที่จะเชื่อและสรรหาวัตถุมงคลต่าง ๆ มาบูชาอย่างสุดหัวใจ สำหรับคนที่ไม่เชื่อ อาจมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องงมงาย ไร้สาระ แต่ในอีกแง่หนึ่ง สำหรับคนที่สนใจปรากฏกาณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม การได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเครื่องรางของขลังในแต่ละยุคสมัย ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องน่าสนใจที่สะท้อนความคิด ความเป็นไปในสังคมได้เป็นอย่างดี
1. จุดเริ่มต้นเครื่องรางของขลังพื้นฐานที่อยู่คู่สังคมไทยมาถึงปัจจุบัน
ไม่มีการบันทึกไว้อย่างแน่ชัด ว่าจุดเริ่มต้นที่มาความเชื่อเรื่องโชคลางและวัตถุมงคลในประเทศไทยนั้นเริ่มต้นขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่พอจะคาดเดาได้ว่ามีมาช้านานนับจากคัมภีร์ใบลานที่เรียกว่า‘ปั๊บสา’ สมบัติตกทอดประจำตระกูลของชาวล้านนา ซึ่งจะมีบันทึกเกี่ยวกับ วิชาความรู้ สูตรเด็ดเคล็ดลับต่าง ๆ เช่นสูตรยา คาถา ยันต์ป้อนกันภัย รวมไปถึงขั้นตอนทำพิธีกรรมปลุกเสกสิ่งของต่าง ๆ โดยในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศจะมีตำราและความเชื่อทำนองนี้เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะต่างกันที่ภาษาแต่เนื้อหาโดยรวมนั้นคล้ายกันคือเสริมสร้างมงคล, เพิ่มความมั่นใจและป้องกันภยันอันตรายให้กับผู้ที่ครอบครอง
นอกจากการหวังผลด้านอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เครื่องรางของขลังบางอย่างยังแฝงกุศโลบายในการชีวิตไว้ได้อย่างแยบยล ยกตัวอย่างสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ คือ ‘ปลัดขิก’ หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ขุนเพชร’ เครื่องรางที่ทำขึ้นจากไม้หรือโลหะมีลักษณะเหมือนองคชาต ปราศจากหนังหุ้มปลาย ที่นิยมใช้เด็กอายุ 3-4 ขวบใส่
โดยวัตถุประสงค์หลักคือความเชื่อที่ว่าเด็กอายุเท่านั้นอยู่ในช่วงเพิ่งหย่านม มีภูมิคุ้มกันน้อย อาจถูกภูติผีมาหลอกให้เจ็บไข้ได้ป่วย จึงต้องหลอกว่าเด็กคนนั้นเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวด้วยการแสงสัญลักษณ์ผ่านองคชาตที่ปลายเปิดไม่มีหนังหุ้มของปลักขิก
แต่กุศโลบายที่แยบกว่านั้นคือ เด็กวัยนั้นกำลังอยากรู้อยากลอง และมักจะให้ความสนใจกับอวัยวะเพศของตัวเองมากเป็นพิเศษ คนโบราณจึงสร้างปลัดขิกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ และช่วยให้เด็กคนนั้นไม่หมกมุ่นเรื่องเพศตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเด็กบางคนที่ติดการเล่นอวัยวะเพศหรือช่วยตัวเองจนเป็นนิสัยตั้งแต่เด็ก อาจส่งผลกับการสมรรถภาพในการมีเพศสัมพันธ์ เช่นการหลั่งเร็ว หรือการติดสัมผัสของมือตัวเอง จนไม่อาจถูกกระตุ้นจากคู่รัก ได้ในอนาคต
2. องค์จตุคามรามเทพ ‘ของดี’ จากนครศรีธรรมราช
หนึ่งในวัตถุมงคลที่กลายเป็นปรากฏการณ์หน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย มีรากความเชื่อว่า "จตุคามรามเทพ" หมายถึง เทพรักษาวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช สององค์ คือ ท้าวขัตตุคาม และ ท้าวรามเทพ ซึ่งเดิมในความเชื่อของศาสนาพราหมณ์เป็นเทพชั้นสูง และมีอยู่ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย แต่เมื่อภูมิภาคแถบอุษาคเนย์นี้รับอิทธิพลของพุทธศาสนาเข้ามา ท้าวขัตตุคาม และ ท้าวรามเทพ จึงถูกเปลี่ยนสถานะเป็นเทวดารักษาพระบรมธาตุ และเปลี่ยนชื่อให้เป็นมงคล เป็น ท้าวจตุคาม และสถิตอยู่บนที่บานประตูทางขึ้นพระบรมธาตุ ในปี พ.ศ. 2530
และเมื่อปี พ.ศ. 2550 จากข่าวการพระราชทานเพลิงศพของ "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" อดีตนายตำรวจมือปราบ ผู้ร่วมการจัดสร้างวัตถุมงคลจตุคามรามเทพรุ่นแรกขึ้น และทำให้เกิดปรากฏการณ์‘จตุคาฯฟีเวอร์’ อย่างแท้จริง ม่ีพระเกจิอาจารย์หลายองค์ทำพิธีปลุกเสกองค์จตุคามฯขึ้นมาหลายร้อยรุ่น บางรุ่นเป็นที่นิยมถึงขนาดข่าวการทำร้ายร่างกายเพื่อแย่งชิงให้เห็นอยู่บ่อย ๆ
โดยเฉพาะวัตถุมงคลจตุคามรามเทพรุ่นแรก ที่ผลิตออกมาในปี พ.ศ. 2530 มีราคาพุ่งไปถึงกว่า 40 ล้านบาท จากเดิมที่มีราคาเพียง 49 บาทเท่านั้น! ก่อนที่จะค่อย ๆ ลดความนิยมลงไปในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี
3. กุมารทองให้คุณให้โทษขึ้นอยู่กับวิธีการเลี้ยงดู
ถึงแม้จะไม่ได้มีช่วงไหนที่ได้รับความนิยมจนถึงระดับปรากฏการณ์อย่างองค์จตุคามรามเทพ แต่กุมารทองก็ยังเป็นหนึ่งในเครื่องรางของขลังที่ช่วยเสริมดวงเรื่องความมั่งคั่งร่ำรวยที่อยู่คู่สังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน
แรกเริ่มเดิมทีกุมารทองมาจากวิญญาณของเด็กที่ตายในท้องแม่หรือที่เรียกว่าตายทั้งกลม ผู้มีวิชาอาคมจะไปนำพาวิญญาณเด็กนั้นมาเลี้ยงไว้เป็นลูก โดยต้องหาศพที่ตายทั้งกลม ประกอบพิธีกรรมผ่าเอาศพทารกในท้องนั้นมาย่างไฟให้แห้แล้วจึงลงรักปิดทองให้ทั่ว ต่อมาการสร้างกุมารทองจากศพทารกทำได้ยากขึ้น จึงได้มีการดัดแปลงกรรมวิธีการสร้างกุมารทองขึ้น โดยใช้ดินเจ็ดป่าช้าบ้าง ไม้รักซ้อนหรือไม้มะยมบ้าง ไปจนถึงโลหะ มาสร้างเป็นรูปกุมาร แล้วปลุกเสกตั้งจิต ตั้งธาตุทั้ง 4 และเรียกอาการสามสิบสองให้บังเกิดเป็นจิตวิญญาณของเด็กขึ้นมา
เมื่อมีผู้รับกุมารทองไปไว้ในการดูแล หากต้องการได้รับประสิทธิภาพของกุมารทองสูงสุด ผู้นั้นจะต้องเลี้ยงกุมารทองอย่างดีเหมือนลูกของตัวเอง ต้องให้ข้าวน้ำเซ่นสรวงด้วยของเล่น พูดคุยด้วยไม่ให้เหงา หากทำได้ดีกุมารทองก็จะช่วยค้ำคูณ อาทิ ช่วยคุ้มครองป้องกันเจ้าของและครอบครัวจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ช่วยให้ทำมาค้าขึ้น ไปจนถึงเตือนภัยล่วงหน้าอีกด้วย และจะคอยติดตามเฝ้าระวังบ้านเรือนจากโจรผู้ร้ายและศัตรูไม่ให้มากล้ำกราย แต่หากไม่เลี้ยงดูให้ดีก็อาจจะถูกกุมารทองที่เลี้ยงไว้รบกวนหรือทำโทษจนกลายเกิดเรื่องไม่ดีต่าง ๆ นานากับคนนั้นไปได้เลย
4. ลูกเทพปรากฏการณ์ที่จางหายไปอย่างรวดเร็ว
นับว่าเป็น ‘นวัตกรรม’ ทางเครื่องรางของขลังที่วิวัฒนาการต่อมาจากกุมารทองอีกทีหนึ่ง โดยมี ‘หมอแม็ค ขั้นเทพ’ เป็นคนสร้างกระแสขึ้นมาในปีพ.ศ. 2558 ที่เป็นผู้นำความเชื่อว่า สิ่งเหนือธรรมชาติที่สิงสู่อยู่ในตุ๊กตาจะดลบันดาลโชคลาภสวัสดิภาพต่าง ๆ มาให้ผู้ดูแล โดยมีจุดแตกต่างจากกุมารตรงที่ ต้องไม่ใช่แค่ตั้งไว้บนหิ้งพระ แต่ต้องพาพา ‘ลูกเทพ’ ติดตัวไปด้วยทุกที่ทุกเวลา
ความน่าสนใจของลูกเทพ อยู่ที่มีศิลปิน ดาราและคนในวงการบันเทิงหลายคน เป็นคนช่วยให้ลูกเทพกลายเป็นกระแสระดับชาติขึ้นมา ซึ่งเอาจริง ๆ เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่า บรรดาผู้ที่เลี้ยงลูกเทพเหล่านั้นได้ผลลัพธ์อย่างที่ใจตัวเองปรารถนาจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมาก ๆ คือ ‘ธุรกิจ’ ผู้ผลิตตุ๊กตา, คนปลุกเสก, ไปจนถึงจนคนผลิตเสื้อผ้า เครื่องประดับ หนักข้อไปจนถึงมีเมนูอาหาร, สปา สำหรับลูกเทพโดยเฉพาะ นี่ล่ะ ที่ประสบความสำเร็จแบบถล่มทลายจริง ๆ
จากนั้นภาพที่เราเห็นคนพาลูกเทพไปตามห้างหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็กลายเป็นภาพลูกเทพราคาแพงที่ถูกนำไปทิ้งไปไว้ตาม ‘สุสาน’ เครื่องรางของขลัง ร่วมกับม้าลาย, ตุ๊กตาเสียกบาล, กุมารทอง ฯลฯ ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี
5. ตะกรุดไลลา ส่วนผสมผสานระหว่าง ‘เครื่องรางของขลัง’, ‘แฟชั่น’ และ ‘ธุรกิจ’
เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น ทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังเองต้องมีการปรับตัวให้กับเข้ายุคสมัยไปพร้อม ๆ กัน อย่างที่เราเห็นได้จากการนำศาสตร์ลี้ลับของตัวเอง มาสร้างธุรกิจ ‘เบอร์มงคล’ ที่ถึงขนาดผู้ให้บริการหลักยังต้องมีบริการนี้เอาไว้รองรับลูกค้า, มีหินนำโชคที่เพิ่มมูลค่าให้กับ ‘เคสโทรศัพท์’ ธรรมดาให้กลายเป็นสินค้าราคาแพง หนักข้อไปจนถึงการมี ‘ร่างทรงออนไลน์’ ที่ทรงเจ้าผ่านสัญญาณไว-ไฟให้เห็นกันแบบสด ๆ ฯลฯ
ล่าสุดก็คือมีอีกหนึ่งนวัตกรรมมงคล ที่กำลังเป็นกระแสในวงการแฟชั่น ซึ่งปกติเป็นวงการที่เราได้เห็นความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องรางของขลังน้อยที่สุด เพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่อาจจะไปด้วยกันได้ยากอยู่สักหน่อย
แต่ตอนนี้เราได้เห็นสินค้าจาก LEILA AMULETS แบรนด์จิวเวลรีน้องใหม่ที่นำเหล่าเครื่องรางจากวัดดังทั่วสารทิศมาปรับเปลี่ยนเซตติ้งให้ดูร่วมสมัยขึ้น โดยตั้งแต่ ‘ตะกรุดไลลา’ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ไปจนถึงปี่เซี้ยะ, แมลงภู่คำหลวง, หน้าพรานจิ๋ว, ปรอทกรอ, ยันต์, สายสิญจน์ และสารพัดเครื่องรางของขลังหลากชนิดที่พอจะมาได้ มาดัดแปลงเป็นเครื่องประดับนานาชนิดที่ทั้งสวยและดูขลังไปในตัว
ความน่าสนใจของตะกรุดไลลาอยู่ที่ความสวยงามที่ไม่แพ้เครื่องประดับแฟชั่นอื่น ๆ สามารถสวมใส่ติดตัวไปได้ทุกที่โดยไม่ถูกมองว่าเป็นประหลาดหรือน่ากลัว ล่าสุดก็มีคนในวงการบันเทิงหลายคนที่สรรหาเครื่องรางเล่านี้มาใส่ ตั้งแต่ “ลิซ่าวงแบล็กพิงก์” ไอดอลวงเกิร์ลกรุปจากเกาหลี ที่ก็มีเครื่องรางชิ้นนี้ติดตัว รวมทั้ง “ขันเงินเนื้อนวล” และ “โต้งTwoPee” แรปเปอร์ระดับประเทศที่ตามปกติน่าจะอยู่ห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้มากที่สุด ก็ยังมีตะกรุดไลลาไว้เสริมความงามและเพิ่มความมงคลติดตัวด้วยเหมือนกัน
เป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก ว่าอนาคตของ ‘เครื่องรางของขลัง’ ในประเทศไทยจะถูกพัฒนาไปในรูปแบบใดต่อไป ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็น รถยนตร์รุ่นแคล้วคลาด, โทรศัพท์มือถือที่ผ่านการปลุกเสก, เกมมิ่งเกียร์ที่มีสรรพคุณดึงดูดชัยชนะในอนาคตก็เป็นได้
ท้ายที่สุดไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก็จะยังคงอยู่คู่กับ ‘มนุษย์’ ไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย และใครจะศรัทธาในสิ่งใดก็ล้วนเป็น ‘วิจารณญาณส่วนบุคคล’ ที่เราไม่อาจไปตัดสิน ตราบใดที่ความเชื่อเหล่านั้นยังอยู่ในกรอบไม่ล้ำเส้นความเชื่อของคนอื่น และคน ๆ นั้นไม่งมงายจนเสียทรัพย์ และอยู่ในพฤติกรรมที่ดี เหมาะสมกับคำว่า ‘มงคล’ ที่ควรได้รับนั้นจริง ๆ
อ้างอิง
https://www.thairath.co.th/content/1012685
https://cartoon.mthai.com/news/53449.html
https://www.vogue.co.th/vogue-projects/article/leila-amulets-voguetalks
ภาพประกอบ
ดุสิตโพล
Facebook Leila_Amulets
ความเห็น 8
TEE
ถ้ายิงคนตายแล้วไม่ติดคุกอยากท้าคนที่บอกมีของดี
01 ก.พ. 2562 เวลา 07.37 น.
สาโรช เจริญศรี
business is money not Buddhism
30 ม.ค. 2562 เวลา 01.03 น.
ผมจนคงเข้าถึงอะไรพวกไม่ได้ เป็นบุญของผมจริงๆสาธุ
29 ม.ค. 2562 เวลา 16.23 น.
Kitti42
ทำไมยึดติดกับแต่วัตถุกันจัง น่าจะยึดติดกับพระธรรมคำสอนมากกว่า
29 ม.ค. 2562 เวลา 16.19 น.
꧁༒ Ƀ⦿Ҹ ༒꧂
ของขลังบ้าๆ ไร้สาระ ถ้ามันดีจิง ยิง แทง ฟันไม่เข้าอยู่ยงคงกะพันจิงๆคนๆนั้นคงครองโลกแล้วละ ไร้สาระ
29 ม.ค. 2562 เวลา 15.29 น.
ดูทั้งหมด