ต่างชาติทึ่ง! คนกรุงเทพฯโคตรเก่ง! ฝ่ารถติดเช้า-เย็น! ทนกันได้ไง?
เรียกได้ว่าเป็น “มหากาพย์รถติดแห่งชาติของคนกรุงเทพฯ” ในช่วงสัปดาห์ปลายเดือนสิงหาคมนี้เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะเวลาเลิกงานที่ฝนเทกระหน่ำ ส่งผลให้ถนนแทบทุกเส้นในกรุงเทพฯ กลายเป็นสีแดงยาวนานต่อเนื่องหลายชั่วโมง ถึงแม้ว่าชาวกรุงเทพฯ จะพากันบ่นระงมในโลกโซเชียล เราก็ยังคง “ทนอยู่” กันแบบนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ !!
ทราบหรือไม่ว่า…จากสถานการณ์ฝนตกรถติดอย่างหนักหนาสาหัสทั่วกรุงเทพมหานคร เมื่อวันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมานั้น เว็บไซต์ TRAFFIC LONGDO ได้รายงานภาพรวมของสภาพความติดขัดบนท้องถนน กทม. และปริมณฑล ซึ่งพบว่า วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561 เวลา 17.40 น. เป็นช่วงเวลาที่มีดัชนีรถติดสูงสุดติดอันดับ1 ใน 10 ประจำปี 2561 โดยมีดัชนีอยู่ที่ 8.0 (ตัวเลขดัชนี 0 = รถไม่ติดเลย , ตัวเลขดัชนี 10 = รถติดทุกถนนใน กทม. และปริมณฑล)
ล่าสุดเว็บไซต์ TOMTOM TRAFFIC INDEX รายงานสถิติความแออัดบนท้องถนนจากทั่วโลก พบว่า กรุงเทพมหานครได้ขึ้นแท่นเป็นอันดับ2 ของโลกด้านการจราจรติดขัดโดยมีระดับความแออัดบนท้องถนนสูงถึง61% รองจากเม็กซิโกซิตี้ ทั้งนี้เปอร์เซ็นต์ความแออัดบนท้องถนนของกรุงเทพฯ ทิ้งห่างจากเม็กซิโกซิตี้ อยู่เพียง 5% เท่านั้น หาก กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ไม่ได้รับการเยียวยาและแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด เราก็อาจคว้าแชมป์โลกในฐานะเมืองแห่งการจราจรติดขัดสูงสุด ในอีกไม่นานนี้
ปัญหาการจราจรติดขัดไม่เพียงส่งผลเสียต่อการเดินทางเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเสียต่อสุขภาพจิตอย่างร้ายแรงแบบที่นักจิตวิทยาเรียกว่าเป็น “ระเบิดเวลา” ทั้งนี้ ดร.เมเรียม โอมาร์ ดิน นักจิตวิทยาของมาเลเซีย กล่าวว่า เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่บีบคั้นอาจทำให้ผู้ขับขี่บางคนระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรงอีกทั้งดร.รอซมี อิสเมล ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการจราจรระบุว่า ความเครียดและความโกรธเกรี้ยวบนท้องถนน เกิดจากความเห็นแก่ตัวและความรีบเร่งที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ทั้งนี้ยังมีผลสำรวจว่า ผู้ขับขี่รถราว80% จะมีความก้าวร้าวมากกว่าปกติเมื่อนั่งหลังพวงมาลัยรถยนต์
ปัญหารถติด ถือเป็นอาการป่วยเรื้อรังของคนกรุงเทพฯ ที่ไม่อาจยกเพียงสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งมาพิจารณาได้ เพราะที่มาของปัญหาการจราจรย่ำแย่ใน กทม. มีมากมายและพัวพันซับซ้อน ทั้งเรื่องผังเมือง ระบบขนส่งมวลชน นโยบายทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถยนต์ รวมถึงพฤติกรรมของผู้ขับขี่เองด้วย
แม้ปัญหานี้จะแก้ไม่ได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่หากปล่อยให้ “ทนอยู่” กันแบบนี้ต่อไป อาการป่วยทางจิตของคนกรุงเทพฯ จะส่งผลร้ายแรงกว่าที่เราคาดคิดแน่ๆ
แหล่งข้อมูล
