โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

เปิดประวัติกว่าจะเป็น “ชินคันเซ็น” ที่เรารู้จัก!

conomi

อัพเดต 26 ก.ค. 2567 เวลา 12.42 น. • เผยแพร่ 04 ส.ค. 2567 เวลา 00.00 น. • conomi.co

รถไฟชินคันเซ็นของญี่ปุ่นเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลกในฐานะรถไฟความเร็วสูงที่ช่วยร่นเวลาการเดินทางระยะไกลได้อย่างสะดวกสบายและตอบโจทย์ในหลาย ๆ ด้าน นอกจากนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้หลายประเทศทั่วโลกหันมาพัฒนารถไฟความเร็วสูงของตัวเองกันด้วย แต่ทราบหรือไม่คะว่ากว่าจะมาเป็นชินคันเซ็นที่รู้จักกันแพร่หลายอย่างในปัจจุบันนี้ ชินคันเซ็นมีประวัติความเป็นมาอย่างไรบ้าง?

บทความนี้เราจะมาแนะนำให้รู้จักกับ “Dream Super Express” ซึ่งเป็นชินคันเซ็นสายแรกจากเครือข่าย Tokaido Shinkansen ที่เปิดให้บริการเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.1964 นับเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้วตั้งแต่เปิดให้บริการ แม้จะเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควรทั้งด้วยการวิ่งรถด้วยความเร็วสูงและระยะเวลาที่อาจส่งผลต่อการเสื่อมสภาพต่างๆ แต่กล่าวได้ว่า Dream Super Express มีความปลอดภัยสูงพอกับความเร็วที่วิ่งได้เลย เพราะไม่เคยเกิดอุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้โดยสารเลยแม้แต่ครั้งเดียว แค่กิตติศัพท์ยังยอดเยี่ยมขนาดนี้ ถ้าอยากรู้ประวัติความเป็นมาแล้วล่ะก็ เราจะพาย้อนกลับไปสู่ต้นกำเนิดชินคันเซ็นกันซึ่งเริ่มตั้งแต่ยุคก่อนสงครามโลกกันเลย

จากรถไฟหัวกระสุนก่อนสงครามโลกสู่รถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็นในปัจจุบัน

ชินคันเซ็น

ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ.1872 (ปีเมจิที่ 5) ญี่ปุ่นได้เปิดฉากการคมนาคมครั้งใหม่ด้วยทางรถไฟสายแรกที่เปิดให้บริการระหว่างชินบาชิในโตเกียวถึงโยโกฮาม่าในจังหวัดคานากาว่า รถไฟสายนี้ได้นำเทคโนโลยีจากประเทศอังกฤษเข้ามาใช้ และถูกออกแบบให้เป็นรถไฟรางแคบ (มีความกว้างเพียง 1,067mm เท่านั้นเมื่อเทียบกับรางแบบมาตรฐานที่กว้างประมาณ 1,400mm) ตามคำแนะนำของวิศวกรชาวอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันรถไฟ JR ของญี่ปุ่นเองก็เป็นแบบรางแคบด้วยเช่นกัน

ต่อมาในปีค.ศ. 1939 (ปีโชวะที่ 14) เมื่อรถไฟรางแคบมีข้อจำกัดทางการขนส่ง จึงมีแผนสร้างรถไฟสายใหม่ที่ใช้รางกว้างกว่าเดิมและใช้รถไฟความเร็วสูงที่เรียกว่า “รถไฟหัวกระสุน” ขึ้น แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 จากฝั่งทะเลแปซิฟิกย่ำแย่ลงจึงต้องเป็นอันพับโครงการเก็บไป

และแล้วแผนพัฒนาโครงการก็ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง

โซโก ชินจิ (十河 信二)

เมื่อเวลาล่วงเลยไปการสร้างทางรถไฟสายใหม่ที่เคยถูกพับเก็บไปก็ถูกเปิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และถือกำเนิด “บิดาแห่งชินคันเซ็น” คือ โซโก ชินจิ (十河 信二) ผู้เป็นประธานการรถไฟแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan National Railways: JNR) ในยุคนั้นด้วย ซึ่งการก่อสร้างในครั้งนี้ไม่ธรรมดาเพราะมีผู้มีบทบาทสำคัญหลักอีก 3 คนจากตระกูลชิมะมาร่วมพัฒนาโครงการสร้างชิงกันเซ็นในครั้งนี้ด้วย เริ่มจาก ชิมะ ฮิเดโอะ (島 秀雄) ที่โซโก ชินจิแต่งตั้งให้เป็นวิศวกรประจำโครงการ นอกจากนั้น บิดาของชิมะ ฮิเดโอะเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารงานด้านเทคนิคของการรถไฟ นอกจากนี้ยังมีลูกชายคนโตของ ชิมะ ฮิเดโอะ ผู้เป็นวิศวกรที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการชินคันเซ็นครั้งนี้ด้วย ถือเป็นการก่อสร้างที่มีบุคคลถึงสามรุ่นมาคนร่วมมือกันทำให้สำเร็จขึ้นมาได้

ความสำเร็จของชินคันเซ็นสร้างแรงกระตุ้นการพัฒนารถไฟความเร็วสูงไปทั่วโลก

ช่วงแรกในปีค.ศ.1957 เมื่อแนวคิด Tokaido Shinkansen เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเพราะต้องการแก้ไขข้อจำกัดทางการขนส่งของรถไฟ Tokaido Line ที่เป็นรางแคบ จากนั้นก็ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนเสียงคัดค้านมากมายที่อ้างถึงความตกต่ำของธุรกิจรถไฟในสหรัฐอเมริกา ในที่สุดเมื่อ Tokaido Shinkansen เปิดตัวในปี ค.ศ.1964 ก็มีผู้ให้ความสนใจและใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ชินคันเซ็น

ต่อมาได้ดำเนินการเพิ่มกำลังการขนส่งให้มากขึ้นโดยการเพิ่มจำนวนขบวนรถไฟและเพิ่มตู้รถไฟ เป็น16 ตู้ เพื่อรองรับการจัดงาน World Exposition ที่โอซาก้าในปี ค.ศ. 1970 จึงเปิดตัว Sanyo Shinkansen ที่ให้บริการระหว่างสถานี Shin-Osaka และสถานี Okayama และในปี ค.ศ.1975 ก็ได้ขยายระยะเดินขบวนไปจนถึงเขตฮากาตะในจังหวัดฟุกุโอกะ และก่อนที่จะเปิดให้บริการถึงเขตฮากาตะ ชินคันเซ็นยังเปิดให้บริการตู้เสบียงขึ้นมาอีกด้วย

อีกด้านหนึ่งในปีค.ศ.1970 เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น รางรถไฟ Tokaido Shinkansen เกิดการทรุดโทรมและส่งเสียง รวมถึงมีแรงสั่นสะเทือนตลอดเส้นทางวิ่งจนมีการร้องเรียนจากเหล่าผู้อยู่อาศัยใกล้ทางรถไฟ ปีค.ศ.1974 – 1982 จึงกำหนดการตรวจสอบและบูรณะซ่อมแซมรางรถไฟอย่างต่อเนื่อง โดยแต่ละครั้งจะปิดให้บริการประมาณครึ่งวัน และแก้ไขปัญหาเรื่องเสียงและแรงสั่นสะเทือนที่กระทบต่อผู้อยู่อาศัยเลียบทางรถไฟโดยการติดแผงกั้นและปรับปรุงล้อรถไฟเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว

แม้จะมีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นมาบ้าง แต่ก็ถือว่าชินคันเซ็นประสบความสำเร็จในด้านการให้บริการที่สามารถขนส่งผู้โดยสารแต่ละเที่ยวได้อย่างปลอดภัย รวมถึงในแง่ของยอดขายก็ดีด้วยเช่นกัน ความสำเร็จนี้ส่งแรงกระตุ้นอย่างมากให้หลายประเทศทั่วโลกเริ่มการพัฒนารถไฟความเร็วสูงขึ้น เช่น TGV ของฝรั่งเศส (เริ่มให้บริการ ค.ศ.1981), ICE ของเยอรมนี (เริ่มให้บริการ ค.ศ.1991) เป็นต้น โดยเฉพาะ TGV ของฝรั่งเศสที่วิ่งด้วยความเร็ว 270 กม./ชม. แซงหน้าความเร็วสูงสุดของรถไฟชินคันเซ็นในขณะนั้นที่วิ่งได้ 210 กม./ชม. ไปเสียอีก เพื่อไม่ให้น้อยหน้า ญี่ปุ่นจึงพัฒนาความเร็วของชินคันเซ็นให้เร็วขึ้นตามไปขึ้นด้วย

ชินคันเซ็น

เมื่อการแข่งขันของธุรกิจรถไฟความเร็วสูงเริ่มเข้มข้นขึ้นอย่างหนักหน่วง ปีค.ศ. 1962 ญี่ปุ่นจึงลงมือพัฒนา Linear motor car ซึ่งขับเคลื่อนด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำให้เกิดการลอยตัวขณะวิ่ง เพื่อเพิ่มความเร็วของรถไฟให้ได้มากยิ่งขึ้น และจากการทดสอบปีค.ศ.1997 ก็ประสบความสำเร็จด้วยความเร็วสูงสุดถึง 531 กม./ชม. แต่การพัฒนาก็ยังไม่หยุดนิ่งเพียงเท่านี้เพราะญี่ปุ่นกำลังดำเนินการพัฒนา Linear Chuo Shinkansen โดยมีเป้าหมายที่จะเปิดให้บริการระหว่างโตเกียวและนาโกย่าในปี 2027 ซึ่งหากเสร็จสมบูรณ์แล้วคาดว่าจะวิ่งได้ด้วยความเร็วถึง 505 กม./ชม.เลยทีเดียว

การส่งออกระบบชินคันเซ็นประสบความสำเร็จมากแค่ไหน?

ชินคันเซ็น

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ละบริษัท JR ที่ให้บริการรถไฟชินคันเซ็นได้เริ่มส่งออกระบบชินคันเซ็นที่มุ่งเน้นการให้บริการในรอบความถี่ที่สูงและตรงตามตารางเวลา มีความปลอดภัยด้วยสถิติอุบัติเหตุร้ายแรงที่ถึงแก่ชีวิตผู้โดยสารเป็น 0 นอกจากนี้ระบบชินคันเซ็นของญี่ปุ่นนั้นมีลักษณะเฉพาะอยู่ด้วย เช่น สายที่แยกออกมาเฉพาะจากสายธรรมดา การบริหารจัดการแบบรวมศูนย์โดยศูนย์ควบคุม และระบบควบคุมรถไฟอัตโนมัติ (ATC) ที่สามารถควบคุมความเร็วของรถไฟได้ เป็นต้น

แต่อย่างที่เราทราบกันว่าปัจจุบันทั้งจีนหรือไต้หวันมีรถไฟความเร็วสูงที่เทียบเท่าหรืออาจจะเหนือกว่าชินคันเซ็นของญี่ปุ่นเสียด้วยซ้ำ ซึ่งรถไฟความเร็วสูงเหล่านั้นเป็นเทคโนโลยีใหม่จากยุโรป และในต่างประเทศเองก็ไม่มีการกล่าวว่านำระบบชินคันเซ็นของญี่ปุ่นมาใช้งานเลย แม้ว่าสหรัฐอเมริกาและอินเดียจะแสดงความสนใจในการนำเทคโนโลยีชินคันเซ็นไปใช้กันมากขึ้นก็ตาม จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าการส่งออกระบบชินคันเซ็นนี้จะประสบความสำเร็จได้หรือไม่กันแน่

Timeline แผนพัฒนาชินคันเซ็นในอนาคต

ชินคันเซ็น
  • 2025 มีกำหนดเปิดให้บริการ Hokuriku Shinkansen ระหว่าง Kanazawa และ Tsuruga
  • 2027 มีกำหนดเปิดให้บริการ Linear Chuo Shinkansen ระหว่าง Shinagawa และ Nagoya
  • 2035 มีกำหนดเปิดให้บริการ Hokkaido Shinkansen ระหว่าง Shin-Hakodate Hokuto และ Sapporo
  • 2045 มีกำหนดเปิดให้บริการ Linear Chuo Shinkansen ระหว่าง Nagoya และ Shin-Osaka

การเดินทางระหว่างโตเกียวและโอซาก้าที่สะดวกมากยิ่งขึ้น

ชินคันเซ็น

แน่นอนว่าข้อดีของรถไฟความเร็วสูงนั้นทำให้เราสามารถเดินทางข้ามจังหวัดโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันเราสามารถเดินทางระหว่างโตเกียวและโอซาก้าด้วยชินคันเซ็นได้โดยใช้เวลาราว 2.30 ชั่วโมงมาตั้งแต่ตั้งแต่ปีค.ศ. 2015 ซึ่งเป็นการเดินทางที่รวดเร็วทันใจสุด ๆ จากเดิมในปีค.ศ.1960 ที่ใช้เวลาเดินทางถึง 6.30 ชั่วโมงเลยทีเดียวล่ะค่ะ

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปก็อดไม่ได้ที่จะทึ่งกับเทคโนโลยีที่ไม่เคยหยุดนิ่งเลยล่ะค่ะ กว่าจะมาชินคันเซ็นให้เราโดยสารกันอย่างสะดวกสบายอย่างทุกวันนี้แล้ว เจ้ารถไฟหัวกระสุนนี้ผ่านอะไรมาต่าง ๆ มากมายว่าที่คิดอีก นับว่ายาวนานเกินกว่าชั่วอายุของคนเสียอีก สมแล้วล่ะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของญี่ปุ่นโดยแท้จริง

สรุปเนื้อหาจาก: nippon.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...